ตอนที่ 221 มังกรจู๋หลง (3)
“เจ้ากรมใหญ่ สถานการณ์ที่นี่…ไม่ดีแล้ว”
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยที่นั่งยองบนชายคาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ตามจริง
“หลิงสวินลงไปนอนกับพื้นแล้ว เขาศิลาเต่าโดนเฉาหลันจัดการหมด ดูแล้วคนที่มังกรจู๋หลงแดนอุดรคนนี้จะจัดการคนต่อไป…คือจวนขุนนางรองท่องกระบี่ของหนิงอี้”
อากาศภายในตรอกร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เสียงของอวิ๋นสวินกลับไม่รีบร้อน นุ่มนวลและเรียบนิ่ง
“ตามเขาไปเถอะ”
ตามเขาไปเถอะ…ตามเขาไปหรือ
เจ้ากรมน้อยมีสีหน้าแปลกไปนิดๆ
คำพูดนี้ดังก้องในความคิดเจ้ากรมข่าวกรองน้อย เขามักจะรู้สึกว่าผู้บัญชาตนไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้ ด้วยกำลังรบที่เฉาหลันแสดงออกมาตอนนี้ แค่ใช้พลังเล็กน้อยก็รื้อได้ทั้งจวน หรือท่านอวิ๋นสวินจะไม่กลัวเรื่องในคืนนี้ใหญ่ขึ้นเลยหรือ
เจ้ากรมน้อยมองไปในฟ้ายามราตรี
บุรุษชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงคนนั้นเคาะประตูแล้ว
เขาเคยเห็นภาพนี้มาก่อน แทบจะเหมือนเดิมทุกประการ เพียงแค่เปลี่ยนคนเคาะประตูเท่านั้น
ศิษย์เขาศิลาเต่าแดนบูรพารวมค่ายกลนอกจวน หลิงสวินเคาะประตูด้วยตัวเอง ทว่าหนิงอี้ในจวนไม่ตอบกลับเลย แต่เป็นเสียงสตรีตอบกลับมาแทน
ครั้งนั้นตอบมาเป็นคำว่า ‘ไปให้พ้น’ อย่างตรงไปตรงมา
และครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้เขาเหลือเชื่อคือยังคงเป็นเสียงสตรีตอบมาจากในจวน
และยังเป็นคำเดียว
แต่ไม่ใช่ ‘ไปให้พ้น’
แต่เป็น…
“เข้ามา”
ไม่ใช่แค่เจ้ากรมข่าวกรองน้อยที่นั่งยองบนชายคาที่ตกใจ แม้แต่หลิงสวินที่นอนหมอบบนพื้นยังตกใจจนสงสัยในชีวิต เขาหน้าซีดขาว ย่ำแย่ถึงที่สุด จ้องจวนนั้น ไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยินเลย จนกระทั่งประตูทองสัมฤทธิ์ของจวนขุนนางรองท่องกระบี่เปิดออกช้าๆ
หลิงสวินกัดฟันกรอด เส้นเลือดเขียวปูดขึ้นบนหน้าผาก
เลือดไหลลงมาเป็นสาย
“มีสิทธิ์อะไร…”
เพลิงโทสะร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เขาหลับตาลง ไม่มองอีก
“หนิงอี้ ข้าจะรอเจ้าถูกเฉาหลันโยนออกมา!”
……
เฉาหลันที่ยืนอยู่นอกจวนและหันหลังให้ทุกคนเลิกคิ้วขึ้น เขายกแขนเสื้อ ยันต์กั้นเสียงแผ่นหนึ่งลอยออกไป หยุดอยู่นอกประตูจวนขุนนางรองท่องกระบี่
จากนั้นเขาเดินเข้าไป
ประตูจวนปิดลง
คนอื่นไม่เห็นสภาพแวดล้อมข้างใน และไม่ได้ยินเสียงอะไร
ประตูจวนปิดลง แสงดาราในลานบ้านไหลมารวมกัน กระจายไปรอบๆ เฉาหลันยื่นมือมาข้างหนึ่ง เก้าอี้กลองเอวหนักตัวนั้นพลันลอยเข้ามา ก่อนถูกเขากดไว้กับพื้น
บุรุษสวมงอบแดงนั่งยิ้มตาหยีบนเก้าอี้กลองเอว พิงประตูใหญ่จวน พิจารณาสภาพภายในลานบ้าน
ทางนั้นของโต๊ะแปดเซียน หนิงอี้ยังคงหน้าซีดขาว นั่งบนเก้าอี้หิน กำลังหลับตาพักผ่อน สองมือประสานมุทราวางลงตรงตันเถียน ไอสีดำชั่วร้ายแผ่มาจากในหน้าเสื้อไม่หยุดตามจังหวะหายใจ
ภายในลานบ้านเงียบสงัด
หลังเฉาหลันก้าวเข้ามาในลานบ้านก็ไม่ได้ก้าวไปอีก
ความเงียบสงบเช่นนี้ไม่ได้คงอยู่นานนัก
เฉาหลันทำหน้าจนปัญญานิดๆ เขายกสองมือขึ้นพลางถามด้วยรอยยิ้ม “แบบนี้จะไม่ยุติธรรมไปหน่อยหรือไม่”
ภายในลานบ้านจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ประตูห้องเปิดออกก่อนแล้ว แสงสว่างเย็นเยือกเรียงรายกันเต็มไปหมด กระบี่นับไม่ถ้วนขยับไปตามสายลม ปลายกระบี่ชี้ไปที่บุรุษสวมงอบสีแดงเพลิงที่ตอนนี้รักษาระยะปลอดภัยที่สุดไว้
เฉาหลันมองไปยังเด็กสาวคนนั้นข้างหลังหนิงอี้
ชุดกระโปรงของเด็กสาวถูกปราณกระบี่พัดขึ้น นางเอ่ยนิ่งๆ ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ
“เจ้าเคาะประตู เป็นแขก ข้าเปิดประตู เป็นเจ้าบ้าน แขกก็ต้องตามเจ้าบ้าน”
เฉาหลันยิ้มและพยักหน้า “เหมือนจะมีเหตุผล”
เฉาหลันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามด้วยความแปลกใจ “จะว่าไปข้าก็ถือว่าช่วยเจ้าทุบตีแขกไม่ได้รับเชิญนอกจวนนะ เจ้าต้อนรับข้าด้วยกระบี่พวกนี้หรือ”
“เทียบกับพวกเขาแล้ว เจ้าต่างหากคือแขกไม่ได้รับเชิญตัวจริง” เผยฝานพูดอย่างเย็นชา “คนเขาศิลาเต่าแดนบูรพาพวกนั้น ถ้าข้าไม่ให้พวกเขาเข้ามา พวกเขาก็เข้ามาไม่ได้ แต่เจ้าไม่เหมือนกัน”
“หากเจ้าไม่เปิดประตู ข้าก็เข้ามาได้อยู่ดี”
เฉาหลันยิ้มแล้วพิงไปข้างหลัง ลดสองมือลงช้าๆ การกระทำนี้ทำให้เด็กสาวเพ่งสายตามองเล็กน้อย แต่บุรุษคนนี้กลับมีท่าทีสบายใจมาก เอามือหนุนหลังศีรษะก่อน เหมือนพบว่าท่านี้ไม่สบายเลยบ่นอุบอิบในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่ากอดอก พิงประตูทองสัมฤทธิ์ในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ด้วยสีหน้าเฉยชา ราวสามสี่ลมหายใจ ทั้งประตูทองสัมฤทธิ์ก็เกิดเสียงดัง ควันร้อนพวยพุ่งออกมา
“ข้าแค่อยากพบหนิงอี้แห่งเขาสู่ซานที่มีชื่อเสียงโด่งดังเสียหน่อย ดื่มชากัน สนทนามรรคเท่านั้น” เฉาหลันยิ้ม มองเด็กหนุ่มชุดดำที่หน้าซีดขาวและหลับตาอยู่นานพลางทำเสียงจิ๊ๆ “เมื่อนานมาแล้ว ข้าเดินทางในแดนอุดร ตอนนั้นข้ายังไม่เคยมาเมืองหลวงเลย ตอนนั้นข้าคิดว่าหยวนฉุนแห่งหอบัวเป็นเพียงคนที่แสวงหาแต่ลาภยศ สร้างรายนามดาราขึ้น แต่ข้ากลับอยู่เพียงอันดับสาม เหนือกว่าข้ายังมีลั่วฉางเซิงแล้วก็หญิงคลั่ง”
“ต่อมาข้าประมือกับลั่วฉางเซิง ข้าก็ได้รู้ถึงความใหญ่ของโลก มีสิ่งอัศจรรย์มากมาย ที่แท้เมื่อก่อนข้าก็เป็นแค่กบในกะลา ในรุ่นเยาว์มีปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่จริงๆ” เฉาหลันเลิกคิ้วขึ้น “ตอนนั้นข้าคิดว่าคุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัวเป็นยอดผู้บำเพ็ญคงแก่เรียนที่แท้จริง จากนั้นมาไม่นาน ข้าสู้กับเยี่ยหงฝู แล้วก็ข้าเปลี่ยนแนวความคิดอีกครั้ง”
“ลั่วฉางเซิงนั่งอยู่บนหัวข้าอยู่พักหนึ่ง ข้าตามเขาไม่ทัน ข้ายอมรับ” เฉาหลันแสยะปากยิ้ม “แต่เยี่ยหงฝู นางไม่คู่ควร”
เผยฝานฟังคำพูดพวกนี้เงียบๆ
จิตนางยังคงหยุดอยู่กลางทะเลสาบจิตของหนิงอี้ ไม่ได้เบนความสนใจมามากเกินไป
กระบี่ส่วนนี้ที่นำออกมาจากกระบี่ซ่อนข่มขู่เฉาหลันได้ช่วงสั้นๆ นี่เป็นเรื่องดีเหนือความคาดหมายแล้ว ถ้าผู้บำเพ็ญพเนจรแดนอุดรคนนี้ชอบพูด ก็ให้พูดเยอะๆ หน่อย นานๆ หน่อย
เผยฝานต้องการเวลา
“หลังสู้กันสองครั้ง ข้ารู้สึกว่าคุณชายหยวนฉุนไม่ใช่ว่าจะเก่งไปเสียทุกอย่าง เขาเองก็พลาดได้ อย่างเช่นจัดข้าอยู่อันดับสามรายนามดารา…” เฉาพลันพูดอย่างเฉยเมย “ข้าน่าจะอยู่อันดับสอง อย่างน้อยก็เหนือกว่าเยี่ยหงฝู”
ปุถุชนบอกว่าเฉาหลันเป็นผู้บำเพ็ญพเนจรที่มีปณิธานสูงมาก พรสวรรค์เหนือชั้น และยังอวดดี
เขามีต้นทุนในการอวดดีจริงๆ
“เจ้าคงจะได้ยินที่คุยกันข้างนอกแล้ว ข้าเจอชายชราร่างแยกดอกบัวม่วงที่ป่าตะพาบโบราณแดนอุดร” เฉาหลันพูดปลง “ข้ารู้ว่าข้าพลาด คุณชายหยวนฉุนรู้ทุกอย่าง เขาจัดข้าอยู่อันดับสามเพราะมีเหตุผล อย่างน้อยในขอบเขตที่สิบ ข้าก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่มากพอ”
แผ่นหลังเฉาหลันออกห่างจากประตูทองสัมฤทธิ์ทีละนิด ประตูโบราณคุณภาพดีและหนักไหม้เป็นรู น้ำทองสัมฤทธิ์ไหลย้อยลงมาเหมือนหินหนืด เมื่อแผ่นหลังออกจากประตูโบราณ ของเหลวนั้นก็แข็งตัวอย่างรวดเร็ว
นี่ต้องมีอุณหภูมิน่ากลัวเพียงใด
มังกรเพลิงร่างมนุษย์ตัวเป็นๆ ชัดๆ
เด็กสาวหรี่ตาแคบลง
“วันนั้นที่ลั่วฉางเซิงทะลวงดาราชะตา ออกจากรายนามดารา ความจริงข้าเสียดายมาก แต่ก็ดีใจเช่นกัน” เฉาหลันมองไปที่หนิงอี้ที่กำลังหลับตา เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่ข้าไม่ได้เอาชนะเขาในขอบเขตที่สิบ แต่ปล่อยเขาขึ้นไปขอบเขตดาราชะตาเช่นนี้ และข้าก็ดีใจ ที่อันดับหนึ่งใต้ฟ้ารุ่นเยาว์ต้าสุยมาถึงข้าเสียที”
ทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มของเฉาหลันก็หายไปโดยพลัน
ในดวงตาเขามีความโกรธขึ้นมา
“ใต้ฟ้านี้จะมีลั่วฉางเซิงคนที่สองโผล่มาจากไหนอีก ข้าคิดถึงสิ่งที่จะทำและพูดหลังกลับจากแดนอุดรไว้แล้ว แต่ข้ายอมรับไม่ได้ว่าในขอบเขตที่สิบยังมีใครนั่งอยู่เหนือหัวข้าอีก ดังนั้นข้าจึงถามคุณชายหยวนฉุน เขาไม่ตอบ แต่ให้ข้ามาดูที่จวนนี้ด้วยตาตัวเอง”
เฉาหลันยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง แก้วหินบนโต๊ะแปดเซียนพลันพุ่งเข้ามาในมือ ถูกเขาบีบไว้ คุมแรงไว้อย่างดีมาก ผิวแก้วหินเกิดรอยร้าวขึ้น ควันลอยขึ้นช้าๆ น้ำเย็นในนั้นเดือดพล่านขึ้นในชั่วอึดใจ
“หนิงอี้ดูดซับกลิ่นอายมรณะของศิลาหินวิถีกระบี่ทั้งหมดในหุบเขานิรันดร์ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว” เฉาหลันพูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “อวี๋ชิงสุ่ยผู้บำเพ็ญพเนจรแดนทักษิณเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็เคยทำเช่นนี้ เขายืมกลิ่นอายมรณะมาทะลวงด่าน ทำเรื่องพลิกฟ้าสะท้านโลกสำเร็จ น่าเสียดายอวี๋ชิงสุ่ยล้มเหลว ข้ามองออกว่าเขาอยู่ในคุก เจ้ากำลังช่วยเขาปราบกลิ่นอายมรณะ พวกเจ้าสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมที่กำลังหมดหวัง”
เด็กสาวทำเป็นไม่ได้ยิน
“เขาน่าสนใจ แต่เจ้าน่าสนใจกว่า” เฉาหลันกวาดสายตามองหนิงอี้กับเผยฝาน สุดท้ายก็มองข้ามเด็กหนุ่มที่แผ่กลิ่นอายมรณะนั้นมามองเด็กสาว ดวงตามีความชื่นชอบ “คุณชายหยวนฉุนไม่ได้หลอกข้า ในจวนนี้…มีสิ่งที่ข้าต้องการจริงๆ เจ้าชื่ออะไร ข้าอยากสู้กับเจ้า”
คนคลั่งยุทธ์ขนานแท้
เด็กสาวเงียบไปชั่วขณะก่อนพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าอยากตัดสินอย่างยุติธรรม ข้าก็ยินดี”
เฉาหลันหรี่ตาลง
“เจ้าก็เห็นแล้วนี่ ข้าต้องการเวลา” น้ำเสียงเด็กสาวมีความครุ่นคิด ลึกๆ ในใจนางมีความกังวลอยู่เล็กน้อย หากคนนี้เป็นคนคลั่งยุทธ์จริงๆ มาตามหาการต่อสู้อย่างยุติธรรม เช่นนั้นเฉาหลันก็น่าจะให้เวลาได้เต็มที่
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ พอได้ยินแบบนั้น เฉาหลันก็เข้าสู่ความเงียบ เหมือนกำลังตรึกตรองอยู่
เฉาหลันพยักหน้าเหมือนเห็นด้วยกับเหตุผลของเด็กสาว เขาพูดยิ้มๆ “กำราบกลิ่นอายมรณะไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น…ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งถ้วยน้ำชา”
ม่านตาเด็กสาวหรี่แคบลง
“คุณชายหยวนฉุนเป็นคนดี เป็นคนมีเมตตา แต่ข้าไม่ใช่” เฉาหลันพูดอย่างเฉยชา “ข้ามาต่อสู้ หากในจวนมีลั่วฉางเซิงคนที่สอง ข้าก็จะยอมรับ ต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน เมื่อแสงดาราข้าระเหยน้ำชาในถ้วยนี้หมด ข้าจะลงมือ อย่าหาว่าข้าฉวยโอกาสแล้วกัน”
เด็กสาวเพ่งมองแก้วหินนั้น
เฉาหลันปล่อยสองมือ แก้วหินตกลงพื้นอย่างมั่นคง น้ำชาร้อนกระเด็นออกมาสองหยด ยังไม่ทันตกลงพื้นก็ระเหยหายไป
เผยฝานหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ด้วยความเร็วเช่นนี้ อย่าว่าแต่แก้วหินเลย ต่อให้เป็นถังน้ำก็ไม่ได้เวลาเท่าไร
เฉาหลันจ้องแก้วหินบนพื้นพลางนับสิบในใจเงียบๆ คิดว่าเมื่อนับครบก็จะลุกขึ้นและลงมือ
เขารอมานานเกินไปแล้ว
อดใจรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้นั่งไม่นิ่ง ดวงตาลุกโชติช่วง
“สิบ…เอ็ด”
สำหรับเฉาหลันแล้ว สิบลมหายใจผ่านไปช้ายิ่ง มันอัดอั้นในอกเขาถึงที่สุดแล้ว
ไอร้อนพวยพุ่ง แก้วหินแห้งเหือด
เฉาหลันลุกขึ้น ทั่วทั้งตัวส่งเสียงถั่วระเบิดดังเปาะแปะ แสยะปากยิ้ม “ล่วงเกินแล้ว!”
………………………………