เจาะเวลาสู่ต้าถัง 5

ตอนที่ 5
เมืองที่รกร้างว่างเปล่า

 

 

 

ม้าของเฉิงฉู่มั่ววิ่งมาเร็วมาก เห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่แต่ไกล จึงกระโดดลอยตัวลงมาจากหลังม้า ม้วนหน้าเพื่อลดแรงกระแทกอย่างสวยงาม กอดอวิ๋นเยี่ยและหัวเราะเสียงดังลั่น ตบหลังซึ่งกันและกัน กระโดดโลดเต้นไม่หยุด

 

 

ขณะที่ยังดีใจไม่หาย เฉิงฉู่มั่วก็ปล่อยอวิ๋นเยี่ยแล้วกระโดดขึ้นรถม้าตระกูลอวิ๋น ใช้กริชตัดผ้าใบกันน้ำที่ผูกบนรถม้าแล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนนั้น ผู้ใต้บัญชาของเขาต่างก็ยืนมองท่านนายพันหยิบของกินเข้าปากไม่ยอมหยุดจนตาค้าง อยากกินจนได้แต่กลืนน้ำลาย แต่ทว่าโหวเหยียแห่งต้าถังยืนอยู่ด้านข้าง พวกเขายังไม่กล้าพอที่จะออกไปร่วมสนุก

 

 

อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกับฉู่มั่ว ก็เหมือนเป็นพี่น้องของข้า ของที่อยู่บนรถม้าเดิมก็มีส่วนของพวกเจ้าอยู่แล้ว หากตอนนี้ยังไม่เข้าไปเอา อีกครู่หนึ่งคงหมดแน่ นิสัยของฉู่มั่วพวกเจ้าไม่รู้หรือ”

 

 

เมื่อเสียงพูดเพิ่งจะจบลง ความชุลมุนก็เกิดขึ้น รถม้าตระกูลอวิ๋นที่น่าสงสาร ชั่วพริบตาก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์มะรุมมะตุ้มจนรถแทบแตก เฉิงฉู่มั่วทั้งเตะและต่อยพยายามที่จะหยุดทุกคนที่เข้ามาแย่ง แต่ผลออกมาไม่ดีนัก  ตัวเขาเองก็โดนหมัดและเท้าจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นว่าคนเดียวแพ้คนหมู่มาก จึงคลึงเบ้าตาแล้วกระโดดลงจากรถม้า ในปากยังคาบกุนเชียงอยู่อีกท่อนหนึ่ง

 

 

จึงเตะอย่างแรงเข้าที่บั้นท้ายของพวกที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างบ้าคลั่งไปหลายคน ซึ่งถือว่าได้แก้แค้นแล้ว

 

 

อวิ๋นเยี่ยดึงกุนเชียงออกจากปากเขาแล้วพูดกับเขาว่า “นี่เป็นของดิบ ต้องนึ่งสุกก่อนจึงกินได้ หรือจะบอกว่าเมืองซั่วฟางไม่มีอาหารให้กิน”

 

 

ไม่ถามยังดี เมื่อถามถึงเฉิงฉู่มั่วก็น้ำตาไหลริน สีหน้ามีแต่ความเศร้า “น้องชายข้าก็ถูกตามใจจนเสียแล้ว ทั้งยังกินข้าวที่บ้านเจ้ากินจนปากสูง ไหนเลยจะเคยเจอความทุกข์เช่นนี้ พวกเขาปรุงอาหารเป็นอยู่วิธีเดียวก็คือต้ม หากนำเนื้อสัตว์ ผักและข้าวต้มรวมกันก็ยังพอว่า แต่ยังไม่บังคับเรื่องความอิ่ม แต่บอกว่ามันคือการประหยัดเสบียงอนุญาตให้แต่ละคนกินให้อิ่มเพียงแปดส่วนเท่านั้น พี่ชายข้าอยู่ในวัยกำลังโตนะ มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะกินมากขึ้นอีกหน่อย คราวก่อนจะเอาขนมเปี๊ยเพิ่มอีกสองชิ้นพ่อครัวก็ไม่ให้ จึงต่อยพ่อครัวไปหนึ่งหมัด ผลที่ตามมาคือเกือบจะโดนโบย เราสองพี่น้องเตะบั้นท้ายของพ่อครัวทั่วทั้งหล่งโย่ว ก็ไม่มีการลงโทษเสียหน่อย ได้ยินว่าเจ้าจะมา พี่ชายกำลังรอคอยเจ้าอย่างเป็นทุกข์อยู่ทุกเช้าค่ำ เมื่อเจ้ามาก็ดีแล้ว พี่ชายจะได้ไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป อาหารเหล่านี้ก็ปล่อยให้พวกตัวหายนะเพลิดเพลินไปกับมันก็แล้วกัน”

 

 

เพิ่งจะดีใจได้ชั่วครู่ ขณะที่เฉิงฉู่มั่วกำลังจะโอ้อวดผลงานการศึกของตัวเองให้อวิ๋นเยี่ยดู แขนเสื้อยังไม่ทันได้ถกขึ้นมาก็ถูกเหล่าหนิวถีบจนหน้าคะมำ

 

 

“ใครสอนให้เจ้าต้อนรับแขกกันแบบนี้ เจ้ากำลังบุกจู่โจมหรือกำลังเล่นปา**่กัน เจ้าไม่รู้หรือว่าเท้าของเจี้ยนหู่บาดเจ็บได้อย่างไร ถ้ายังกล้าเล่นอะไรพิเรนทร์อีก ข้าจะตัดขาเจ้าทิ้งเสีย”

 

 

เดิมทีเหล่าหนิวนั้นดีใจมาก เมื่อเห็นว่าคนที่มาต้อนรับเขาคือเฉิงฉู่มั่ว เห็นเขาอยู่ดีครบสามสิบสองก็ดีใจมาก ใครจะคิดว่าเฉิงฉู่มั่วจะโผล่มาด้วยการกระโดดเหาะมาจากกลางอากาศ จึงเกิดหัวเสียขึ้นมา เท้าของหนิวเจี้ยนหู่ต้องบาดเจ็บก็เพราะเล่นพิเลนไม่เข้าท่า เขาไม่อยากให้เฉิงฉู่มั่วต้องอยู่ในสภาพเดียวกัน

 

 

เฉิงฉู่มั่วไม่กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าเหล่าหนิว ใครใช้ให้พ่อเขากับเหล่าหนิวถูกขนานนามร่วมกันว่า คู่หูเฉิงต๋า (เนื้อความจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง) ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นโจรป่าก็เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นเหล่าหนิวก็ไม่แตกต่างกับการเจอพ่อตัวเองเท่าไรนัก อย่างไรก็เป็นพวกชอบลงไม้ลงมือ ไม่ว่าใครลงมือก็คือโดนเหมือนกันไม่ใช่หรือ

 

 

เมื่อเห็นว่าเฉิงฉู่มั่วรับฟังคำสอนแต่โดยดี เหล่าหนิวจึงถอนหายใจฮึ และเดินขึ้นไปด้านหน้าจัดระเบียบกองทหารใหม่เพื่อที่จะได้เดินทางต่อ เหลือช่องว่างให้สองพี่น้องได้พูดคุยกัน

 

 

ปัดฝุ่นให้เสี่ยวเฉิง ยื่นกาเหล้าเล็กๆ ในอกเสื้อให้เขา แช่ด้วยน้ำเย็นเป็นเวลานานก่อนที่นำออกมา

 

 

เฉิงฉู่มั่วอาจจะหิวจนบ้าไปแล้ว แหงนหน้าขึ้นฟ้าเหล้าองุ่นที่อยู่ในกาก็ถูกส่งลงสู่ท้องและเขย่าอย่างหิวกระหายดื่ม จนหยดสุดท้ายจึงยอมรามือ

 

 

ขบวนทัพยังคงเดินหน้าต่อไป อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนทูบ[1]เกวียน เสี่ยวเฉิงขี่ม้า สองคนพูดคุยอย่างสนุกสนานมุ่งหน้าไปยังเมืองซั่วฟาง

 

 

อวิ๋นเยี่ยผิดหวังมาก นี่ต่างจากเมืองนอกด่านในจินตนาการของเขามากมายนัก เดิมคิดว่าเทียบไม่ได้กับเมืองถ่งว่านเฉิง อย่างน้อยก็ดีกว่ากำแพงดินเตี้ยๆ ในด่านกระมัง ให้ตายสิ ใครจะรู้ว่าเป็นแค่กองดินที่ล้อมรอบ ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

 

 

จำได้ว่าในฟอรัมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกองทัพที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของจีน เกราะเสวียนเจี่ย[2] ของราชวงศ์ถังมีชื่อขึ้นทำเนียบอยู่ ตอนนี้แต่ละคนเหมือนพวกกบในกะลาโดยแท้ เสื้อผ้าเป็นสีเหลืองเก่าสกปรกมอมแมม บางคนสวมเกราะหนังโดยไม่รัดให้แน่น บ้างก็สวมเกราะไม้ไผ่ที่ทำมาจากใบไผ่ซึ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้นไปอีก

 

 

  ไม่เสียทีที่เป็นพี่น้องกัน เฉิงฉู่มั่วดูออกว่าเขาไม่สบายใจ “น้องชาย ไม่ต้องเป็นห่วง กำแพงทั้งหมดก็เป็นเหมือนกำลังเสริม ยอดการแห่งการต่อสู้ไม่ได้อยู่ที่การส่งกองกำลังลาดตระเวน มีพี่ชายอยู่ไม่ว่าทหารนับพันนับหมื่นข้าก็จะไม่ให้เจ้าเป็นอันตรายใดๆ”

 

 

เมื่อผ่านทางลอดประตูเมืองเตี้ยๆ อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ สุดท้ายถนนที่เหลียงซือตูผู้ก่อกบฏก็มีดีเพียงแค่นี้เอง ยึดครองเมืองซั่วฟางมานานหลายปี ก็ไม่ได้เสียสละเพื่อเมืองเสียเท่าไร เพียงแค่ดูชาวบ้านที่แต่งตัวโทรมๆ ในเมืองก็รู้ได้ว่าเขาต้องเป็นเจ้านายที่เที่ยวขูดรีดภาษีขูดเลือดขูดเนื้ออย่างแน่นอน

 

 

เป็นจริงดังเช่นที่เหล่าหนิวพูด ในเมืองนอกจากทหารของต้าถังแล้วก็เหลือชาวบ้านอยู่ไม่กี่ครอบครัว คราบเลือดบนกำแพงบางจุดยังคงมองเห็นได้ชัดเจน ฝูงแมลงวันสีดำที่บินหึ่งๆ คงจะเป็นเอกลักษณ์ของทุ่งหญ้าแห่งนี้ ไม่ว่าตอนนี้หรือในยุคปัจจุบันก็ชอบบินรอบตัวผู้คนส่งเสียงหวี่ๆ ไล่ก็ไล่ไม่ไป ชวนให้น่ารำคาญยิ่งนัก

 

 

เดิมอวิ๋นเยี่ยก็เป็นคนค่อนข้างรักสะอาด เมื่อเห็นเมืองที่เสื่อมโทรม ถนนที่เละเทะไม่เป็นท่า ผู้คนที่สับสนวุ่นวาย ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด นั่งรออยู่ในจวนแม่ทัพรอการเข้าพบไฉเซ่า สุดท้ายก็คลาดกัน เขาออกไปข้างนอกเพื่อตรวจตราป้อมปราการแล้ว ต้องรออีกสามวันก่อนจึงจะกลับมา

 

 

หากเป็นเมืองที่อยู่โดดเดี่ยวก็ไม่สามารถป้องกันไว้ได้ แม้เป็นเมืองซั่วฟางเองก็เช่นกัน แต่ด้านนอกเมืองมีป้อมปราการขนาดย่อมน้อยใหญ่อยู่รวมสามสิบหกป้อม เฉิงฉู่มั่วบอกว่าถ้าหากชาวทูเจวี๋ยไม่ตายนับหมื่นก็ไม่มีทางที่จะมาถึงเมืองซั่วฟางได้ ฟังเขาคุยโวเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยจึงค่อยวางใจ ไม่เช่นนั้นการพักอยู่ในเมืองอันตรายเช่นนี้จะขัดต่อหลักการการทำสิ่งต่างๆ ของอวิ๋นเยี่ย ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ผู้รู้ย่อมต้องหลีกห่างถิ่นที่อันตราย นี่เป็นคำพูดที่ชาญฉลาดต้องจดจำให้ขึ้นใจ ภายหน้ายังต้องสอนให้ลูกหลานทุกๆ รุ่นรู้จักเผยแพร่ความคิดเช่นนี้

 

 

ตำแหน่งเจวี๋ยเว่ยของอวิ๋นเยี่ยนั้นสูงศักดิ์ ศีลธรรมของซุนซือเหมี่ยวนั้นยิ่งใหญ่ สำหรับหยวนไว่หลางตัวเล็กๆ อย่างสวี่จิ้งจงแม้จับให้อยู่ที่เมืองซั่วฟางที่เต็มไปด้วยเหล่าทหาร แม้สุนัขก็ไม่กัดเขา

 

 

แม้จะบอกว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นโหวเหยียฝ่ายบู๊ แต่แกว่งดาบไม่เป็นยิงธนูไม่ได้แบบเขาถือว่าน้อยมาก ในปีนี้แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างฝางเสวียนหลิงยังสามารถรำดาบสุ่มๆ ได้หลายครั้ง เมื่อต้องออกศึกก็ไม่ประหม่า

 

 

ยังโชคดีที่อยู่ในตำแหน่งขุนนางแพทย์ เหล่าแม่ทัพในเมืองจึงเกรงใจเป็นอย่างมาก สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยโด่งดังเป็นที่รู้จักก็คือวิชาแปลกพิศดารในการถ่ายเลือดคืนชีวิต ในด้านการทหารถือว่าเป็นต้องการของตลาดมาก ในเมื่อไฉเซ่าไม่อยู่ เซวียว่านเช่อจึงพบอวิ๋นเยี่ยแทนไฉเซ่า

 

 

ชายร่างใหญ่ที่ดูองอาจ ซึ่งทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกถึงซีถงเจ้าคนงี่เง่านั่น รูปร่างสูงใหญ่เช่นเดียวกัน เมื่อเขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะก็มีบรรยากาศที่น่าเกรงขามทั้งที่ไร้ซึ่งความโกรธเกิดขึ้น ถ้าจินตนาการว่าซีถงนั่งอยู่ข้างหลัง ให้ตายสิ นอกจากความน่าเกลียดแล้วก็มีแต่ความน่าเกลียด

 

 

“อวิ๋นโหวเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อแก้ไขปัญหาของกองทัพ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เพื่อป้องกันการระบาดของโรคระบาด นอกเมืองสามสิบลี้ถือเป็นพื้นที่ต้องห้าม ทั้งคนและม้าห้ามเข้าออกคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในเมืองคงต้องรบกวนอวิ๋นโหวและนักพรตซุนแล้ว หวังว่าทั้งสองท่านจะไม่ปฏิเสธ” คนในกองทัพพูดตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซวียว่านเช่อแม่ทัพผู้อาจหาญที่รู้จักตัวหนังสืออยู่ไม่กี่มากน้อยจึงยิ่งเถรตรงเข้าไปอีก ช่างเถอะ อย่าไม่หาเรื่องเหล่าเซวียเลย ถ้าให้คนหยาบกระด้างพูดจาเยี่ยงสุภาพชนมากความรู้ ไม่เท่ากับแกล้งเขาหรือ เมื่อครู่พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงของคำสั่ง หากอยู่ในฉางอันคงต้องถูกดูหมิ่นจนอยากตาย เจ้าที่อยู่ในฐานะปั๋วเจวี๋ย ออกคำสั่งอย่างเสียงดังฟังชัดใส่โหวเจวี๋ย ประสาอะไรกับที่เจ้าก็ไม่ใช่แม่ทัพหลักอีกด้วย ไม่เอาเรื่องเหล่าเซวียก็แล้วกัน ไม่เห็นหรือว่าเหงื่อไหลเต็มหน้าของเขาแล้ว

 

 

อวิ๋นเยี่ยเลิกนั่งท่าเทพบุตรแล้วนั่งลงบนพรม ยิ้มแล้วพูดกับเซวียว่านเช่อว่า “แม่ทัพเซวียเราต่างก็เป็นชายชาติทหาร เหตุใดวันนี้จึงได้เลียนแบบการพูดของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นกัน ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่น่ารังเกียจ ข้ายังคิดว่าเมื่อถึงค่ายทหารแล้วก็เหมือนกลับบ้าน ตั้งใจจะกินอาหารมื้อใหญ่สักมื้อ แต่ท่านกลับไม่มีเหล้า ไม่เตรียมกับข้าว ท่านคงไม่ได้คิดจะรังแกเด็กอย่างข้าหรอกนะ

 

 

คำพูดทั้งหมดนี้ทำให้เซวียว่านเช่อถึงกับอึ้งไป จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นในทันที เสียงดังสะเทือนจนเกิดเสี้ยงก้องอยู่ในหูของอวิ๋นเยี่ยจึงยอมหยุด จากนั้นตะโกนเสียงดัง “จัดโต๊ะอาหาร”

 

 

เหล่าเซวียเลิกนั่งท่าเทพบุตรอีกต่อไป ขาใหญ่ๆ ทั้งสองข้างได้เหยียดออกจากใต้โต๊ะและเช็ดเหงื่อบนศีรษะพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ก่อนที่แม้ทัพจะออกไปได้กำชับให้ข้าต้องต้อนรับขับสู้ท่านทั้งสองอย่างดี อย่าได้แสดงนิสัยหยาบกระด้างออกมา ทั้งยังบอกว่าอวิ๋นโหวเป็นนักการคำนวณที่มีชื่อเสียง ท่านนักพรตซุนก็เป็นผู้สูงส่งเช่นกัน ต่างก็เป็นผู้ที่มีทักษะอย่างแท้จริง ห้ามเสียมารยาทโดยเด็ดขาด เพื่อทำตามคำสั่งเหล่านี้ ได้ขอให้ขุนนางฝ่ายบันทึกสอนอยู่เป็นนาน ท่านดูสิข้าเหงื่อออกทั้งศีรษะ เหนื่อยกว่าทำสงครามเสียอีก”

 

 

ในช่วงเวลาสั้นกลับรู้สึกชอบคนที่ซื่อสัตย์และหยาบกระด้างผู้นี้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้อภิเษกกับองค์หญิง ราชาผู้ปกครองประเทศทุกยุคทุกสมัยก็มักจะชอบคนที่ค่อนข้างหยาบกร้าน รวมถึงบรรพบุรุษของฉันก็เป็นเช่นเดียวกัน เหล่าแม่ทัพที่ชาญฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบต่างก็โชคร้ายคนแล้วคนเล่า มีเพียงเหล่าแม่ทัพที่องอาจไม่รู้จักพลิกแพลงที่มักจะมีชีวิตรอดไปได้ ทั้งได้เสพสุขความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองไม่มีขาด

 

 

“ความองอาจกล้าหาญของท่านเป็นที่โด่งดังไปทั่วหล้า เด็ดศีรษะแม่ทัพท่ามกลางทหารนับหมื่นราวกับหยิบของออกจากถุงหนัง อวิ๋นเยี่ยแค้นใจที่ร่างกายบอบบาง รบทัพจับศึกก็ไม่ไหว ฆ่าศัตรูก็ไม่ได้ ยังโชคดีที่พอมีความรู้เล็กน้อยติดตัวมา สามารถใช้กำลังอันน้อยนิดทำประโยชน์เพื่อต้าถังได้บ้าง นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ขอยืมเหล้านี้ อวิ๋นเยี่ยคารวะท่านหนึ่งจอก”

 

 

เซวียว่านเช่อหัวเราะอ้าปากกว้างถึงรูหู ชามกระเบื้องเคลือบก้นแบนที่ใส่เหล้าจนเต็ม เพียงแค่ยกมือขึ้นเหล้าก็ลงท้องจนหมดชาม ซุนซือเหมี่ยวมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดพิเลนอะไรอีก ปกติอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ว่าง่ายเช่นนี้

 

 

ในงานเลี้ยงทั้งแขกและเจ้าบ้านก็สนุกสนานกันเต็มที่ เซวียว่านเช่อดื่มไปมากแล้ว แต่ก็ยังมาดมั่นบอกว่าต้องการดื่มกับอวิ๋นเยี่ยอีกสามชาม

 

 

หลังจากอำลา พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ไม่สามารถมองเห็นภูเขาได้ เห็นเพียงดวงอาทิตย์สีแดงขนาดใหญ่จมลงสู่ขอบฟ้า อวิ๋นเยี่ยและซุนซือเหมี่ยวเดินเล่นในเมืองซั่วฟาง บางครั้งก็มีทหารเข้าแถวเดินสวนทางกัน ราวกับกำลังบอกอวิ๋นเยี่ยว่าที่นี่คือป้อมปราการทางทหาร ไม่ใช่เมืองฉางอันที่ร้องรำทำเพลงอย่างสงบสุข

 

 

“เจ้าหนุ่ม ทำไมวันนี้เจ้าเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย ปกติแม้ว่าเจ้าจะคุยโม้และประจบอยู่บ้าง แต่ทำไมวันนี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้”

 

 

“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าคนนี้จะอายุน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะมารังแกกันได้ง่ายๆ เมื่อพบคนก็ต้องพูดภาษาคน หากพบผีร้ายก็ต้องใช้ภาษาเยี่ยงผี นี่คือสิ่งที่อาจารย์หลี่กังสอนข้า เซวียว่านเช่อคนนี้เป็นคนตรงแต่หยาบกระด้าง หากพูดอะไรผิดก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้ยอกับเขา ข้าชอบพูดคุยกับคนหยาบกระด้าง ไม่ชอบพวกต่ำช้าเพทุบายในราชสำนัก”

 

 

“หลายวันก่อนเห็นเจ้าดูเหมือนค่อนข้างจะซึมเศร้า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าจะนึกสนุกแสดงความห้าวหาญออกมา ไม่รู้ว่าความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน”

 

 

“อันที่จริงท่านนักพรตมองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อรักษาชีวิต หากชาวทูเจวี๋ยบุกเข้ามา พวกเราก็จะได้รีบเตรียมตัวไว้ก่อน จะได้หนีได้เร็วขึ้น”

 

 

“ข้ามองสูงส่งเกินไปจริงๆ พวกรักตัวกลัวตายอย่างเจ้า ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสูงเป็นความอับอายของราชวงศ์ถังของพวกเรา” เหล่าซุนค่อนข้างโกรธเล็กน้อย

 

 

“ท่านเป็นคนที่รู้ใจข้าจริงๆ ข้าเองก็รู้สึกไร้ยางอายอยู่เล็กน้อย”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ทูบ คือ ไม้แม่แคร่ทั้งคู่ของเกวียน บางทีเรียกว่า แม่แคร่เกวียน มีลักษณะที่ยื่นยาวออกไปด้านหน้าเกวียน ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับตัวเกวียนทั้งหมด และตั้งรับแอกที่ใช้เทียมวัวหรือควาย

 

 

[2] เกราะเสวียนเจี่ย เป็นเกราะชนิดหนึ่งซึ่งทำจากเหล็กดำ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Score 10
Status: Completed

ส่วนที่ 1 – 5 อ่านนิยาย

ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!

เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก

ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

Options

not work with dark mode
Reset