เคล็ดมารสยบภพ 16 นักโทษแห่งตำหนักมาร

ตอนที่ 16 นักโทษแห่งตำหนักมาร

แต่เรื่องนี้จัดการง่ายนิดเดียว เขามีเวลามากมายในการทรมานฮวาไหนไหน่และผู้อาวุโสของตำหนักบุปผาให้บอกวิธีฝ่าออกไปจากครอบพลังงานได้ และหากพวกนางไม่ยอมให้ความร่วมมือก็แค่จัดการฝังรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณใส่พวกนางให้เปลี่ยนมาเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของเขาให้หมดซะก็สิ้นเรื่อง เพราะตอนนี้ตัวเขาก็สามารถฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวได้แล้ว

ชายหนุ่มกลับเข้าไปในแหวนมิติของตน เดินไปยังคุกขนาดใหญ่ของตำหนักมารที่มีห้องขังหลายร้อยห้อง เขาไม่ได้คิดจะนำร่างของหญิงสาวทั้งหมดของตำหนักบุปผาออกมาจากแหวนมิติแล้วโยนเข้ามาขังไว้ในคุกแห่งนี้หรอก เพราะขี้เกียจเสียเวลามาดูแลจัดการพวกนาง ไหนจะเรื่องอาหารการกิน ไหนจะเรื่องของเสียจากการขับถ่าย และถ้าเกิดพวกนางตายตกขึ้นมา เขายังต้องเสียเวลามากำจัดศพพวกนางอีก

เฉินเสวี่ยเดินไปยังห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทรมานห้องใหญ่ นำเฉพาะตัวฮวาไหนไหน่กับเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสิบห้านางของตำหนักบุปผาออกมาทีละคน จัดการสวมปลอกคอโลหะที่ลงอาคมสะกดพลังปราณลงบนคอของพวกนางแล้วล่ามโซ่ข้อมือทั้งสองของพวกนางเอาไว้กับลูกกรงของห้องขัง ไม่นาน ฮวาไหนไหน่และผู้อาวุโสสิบสี่นางของตำหนักบุปผาก็ถูกล่ามโซ่ให้นั่งหันหลังพิงลูกกรงเรียงรายเป็นแถวตลอดแนวลูกกรงห้องขัง มือทั้งสองของพวกนางถูกล่ามกับซี่ลูกกรงให้ยกชูสูงขึ้นเหนือศีรษะ ขาทั้งสองข้างเหยียดยาวมาข้างหน้า ในขณะที่มีผู้อาวุโสนางหนึ่งถูกเฉินเสวี่ยเลือกออกมาให้ได้รับเกียรติเป็นตัวอย่างคนแรกที่จะถูกเขาทรมาน เขามัดนางเอาไว้กับเก้าอี้ลงทัณฑ์ในท่าที่ข้อมือทั้งสองถูกมัดไพล่หลังและขาทั้งสองข้างถูกจัดให้ถ่างออกและมัดหัวเข่าทั้งสองข้างเอาไว้กับที่เท้าแขนของเก้าอี้อย่างแน่นหนาจนมิอาจขยับเขยื้อนได้

หญิงสาวเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเขตขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสิ้น มีตั้งแต่ปรมาจารย์ยุทธ์ 1 ดาวไปจนถึงปรมาจารย์ยุทธ์ 4 ดาว ต่อให้ไม่กินไม่ดื่มเป็นเดือนก็ยังไม่ตายง่ายๆ ไม่มีใครทราบอายุที่แท้จริงของพวกนาง แต่ดูจากที่เจ้าตำหนักบุปผายังถูกเรียกว่าไหนไหน่ที่แปลว่าท่านยายแล้วล่ะก็ อายุแต่ละคนคงไม่ใช่สาวน้อยแรกรุ่นอย่างที่เห็นได้จากรูปร่างหน้าตาภายนอกอย่างแน่นอน

ระหว่างที่รอให้พวกนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากอาการหลับใหล เฉินเสวี่ยก็เดินไปรื้อค้นห้องเก็บสมบัติของตำหนักมารและฉวยหน้ากากปีศาจสีเงินที่ปิดบังใบหน้าเฉพาะครึ่งหน้าซีกบนของเขามาสวมใส่เอาไว้เพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับตนเอง ตอนนี้เขายังไม่อยากให้พวกนางจำเขาได้ ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะจำได้มีเพียงน้อยนิดเพราะเขาเติบโตอย่างรวดเร็วก็เถอะ เขาจะรอจนกว่าจะจับตัวการทั้งหมดที่ร่วมมือกันกำจัดครอบครัวของเขามาให้ครบทุกคนก่อน จึงค่อยเปิดเผยตัวตนออกไปในคราวเดียว ก่อนจะถึงเวลานั้นเขาจะทำให้พวกนางหวาดกลัวเขาชนิดล้ำลึกถึงแก่นวิญญาณไปเลย

เมื่อเดินกลับไปยังห้องขังก็พบว่าพวกนางส่วนใหญ่รู้สึกตัวตื่นกันแล้ว

เฉินเสวี่ยที่อยู่ในชุดสีดำและมีหน้ากากปีศาจสีเงินปิดลงมาครึ่งหน้าให้ความรู้สึกลึกลับและโหดเหี้ยมเย็นชา เขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเมื่อตอนที่ครอบครัวของเขาถูกลวงไปฆ่ามากนัก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ ดวงตาเย็นชากวาดมองไปตามใบหน้าแตกตื่นของหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่ในห้องทีละคน

“เจ้าเป็นใคร จับพวกเรามาทำไม หากไม่ปล่อยพวกเราไปโดยดี พวกข้าหลุดออกไปได้เมื่อไหร่จะถลกหนังหัวเจ้า!” หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งตำหนักบุปผาข่มขู่ด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ ดูเหมือนว่านางจะไม่เกรงกลัวเฉินเสวี่ยแม้แต่นิดเดียว คงยังไม่ตระหนักถึงสถานะตนเองกระมัง

เฉินเสวี่ยเหยียดยิ้มเย็นชา เดินเข้าไปตบหน้านางหลายทีจนเลือดกบปาก ใบหน้าที่เคยสวยสะอาดตาบัดนี้บวมแดงจนดูแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

“นักโทษอย่างเจ้ากล้าดีอย่างไรมาข่มขู่จอมมารเช่นข้า” ชายหนุ่มถามเสียงหยัน เขาใช้เท้าเตะอัดไปตามลำตัวของนางแบบไร้ซึ่งความปรานี นางหวีดร้องเสียงแหลม ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าคนถ่อย เจ้าทำอะไรนาง มันจะมากไปแล้วนะ” ฮวาไหนไหน่ที่ทนดูไม่ได้ตวาดออกมาอย่างเหลืออด ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็พากันตะโกนด่าทอชายหนุ่มด้วยความโกรธแค้น

เฉินเสวี่ยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ใครด่าเขามากที่สุดเขาก็เดินไปฉีกกระชากเสื้อผ้าของคนคนนั้นออกจนเหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน ซึ่งฮวาไหนไหน่ได้รับเกียรติให้โดนเป็นคนแรก จากนั้นก็ตามมาด้วยหญิงสาวอีกหกนาง หญิงสาวที่เหลือเริ่มตระหนักถึงผลของการด่าทอชายหนุ่มได้บ้างแล้วจึงค่อยๆ พากันหุบปากเงียบเสียงกันหมด แต่ก็ยังไม่วายถลึงตาอาฆาตมาทางเขา

“ท่านมีความแค้นอันใดกับตำหนักบุปผาหรือถึงได้กระทำการหยามเหยียดพวกเราถึงเพียงนี้” ฮวาไหนไหน่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยต้องอับอายต่อหน้าใครมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย

เฉินเสวี่ยเดินเข้าไปนั่งยองๆ คร่อมตักนาง ใช้มือเชยคางนางขึ้นมาสบตากับตน

“ใช่แล้ว ข้ามีความแค้นลึกล้ำกับตำหนักบุปผาจริงๆ แต่ข้าจะยังไม่บอกหรอกว่ามีความแค้นอันใดกับพวกเจ้า เอาไว้วันไหนข้าอารมณ์ดีข้าค่อยบอกพวกเจ้าก็แล้วกัน หึๆ ๆ เอาล่ะ วันนี้เรามาพิสูจน์กันหน่อยดีกว่าว่าข้อห้ามที่ว่าผู้ใดฝึกเคล็ดบุปผาหยกของตำหนักบุปผาแล้วห้ามมีสัมพันธ์ทางกายกับผู้ชาย มิเช่นนั้นเคล็ดวิชาจะเสื่อมนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

ฮวาไหนไหน่ได้ยินเฉินเสวี่ยกล่าวดังนั้นก็มีอาการตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นางใช้เวลาฝึกเคล็ดวิชานี้มาทั้งชีวิต กว่าจะสำเร็จจนกลายมาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นเทียนซาน จะมาถูกชายตรงหน้าทำลายพลังฝีมือลงในชั่วพริบตาไม่ได้เด็ดขาด

“ดะ ได้โปรด อย่าทำอย่างนี้เลย ข้ายอมทำทุกอย่าง ให้ข้าทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องนี้” นางขอร้องด้วยดวงตาที่คลอฉ่ำไปด้วยน้ำตา

เฉินเสวี่ยยิ้มเย็น ยื่นมือไปขยำหน้าอกขาวสล้างของนางอย่างแรงจนเขียวช้ำเป็นรอยมือ เจ้าตำหนักบุปผากัดฟันสะกดข่มเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของตนเอง จ้องมองหน้าชายหนุ่มด้วยความคับแค้น

“หึๆ ๆ ไม่ขอร้องอ้อนวอนข้าต่อแล้วหรือ” เฉินเสวี่ยเห็นแววตาของนางก็ถามกลั้วหัวเราะ ยิ่งเห็นแววตาโกรธแค้นของนางเขาก็ยิ่งมีความสุข เขาแทรกเข่าของตนเองลงไปตรงกลางระหว่างเรียวขาสองข้างของนางเพื่อให้นางแยกขาทั้งสองข้างออกจนกว้าง หญิงสาวพายามขัดขืนแต่พลังยุทธ์ในร่างถูกสะกดเอาไว้จึงไม่อาจสู้แรงของเฉินเสวี่ยได้แม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งช้อนสะโพกของนางให้ยกสูงขึ้นแล้วใช้มืออีกข้างแหวกสำรวจกลีบเนื้อสีชมพูสด ฮวาไหนไหน่หวีดร้องเสียงหลง พยายามกระถดตัวหนีการกระทำอันอุกอาจของเขา

“ไอ้คนต่ำช้า ไอ้ชั่ว ไอ้เศษสวะ เจ้าจะทำอะไรข้า ฆ่าข้าให้ตายไปเลยดีกว่า” หญิงสาวด่าทอด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่นึกว่านางถึงกับถูกหยามเกียรติต่อหน้าผู้อาวุโสของตำหนักบุปผาเช่นนี้

“ไม่ได้หรอก ฆ่าเจ้าให้ตายตอนนี้ถือว่าเป็นการเมตตาเจ้าเกินไป ข้าจะทำให้เจ้าอยากอยู่ไม่ได้อยู่อยากตายไม่ได้ตาย… อืม…ถึงเจ้าจะอายุมากแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากเด็กสาววัยแรกรุ่นจริงๆ เสียด้วย” ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปเลียร่องกลีบดอกไม้ของนางพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปควานสำรวจช่องโพรงที่เล็กจิ๋วจนแทบจะมองไม่เห็น

ฮวาไหนไหน่สะกดกลั้นเสียงครางสะอื้นด้วยความอับอายของตน ใบหน้าเห่อร้อนจนแดงก่ำไปถึงลำคอ

เฉินเสวี่ยเห็นนางเกร็งจนตัวแข็งก็หัวเราะในลำคอ แทรกนิ้วที่สองเข้าไปขยายช่องโพรงที่คับแน่นของนางและใช้ฟันขบกัดแทะเล็มตุ่มยอดเกสรดอกไม้ เจ้าตำหนักบุปผาสะดุ้งโหยง หลุดเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความลืมตัว เฉินเสวี่ยหันไปหยิบดาบสั้นที่อยู่ในกองเครื่องมือทรมานนักโทษออกมาเล่มหนี่ง เอาด้ามหนาของมันแทงกะซวกเข้าไปในโพรงเนื้อของนางอย่างแรงจนนางสะดุ้งสุดตัว เลือดพรหมจรรย์ไหลออกมาอาบด้ามดาบเป็นทาง เขาลองสัมผัสพลังปราณในร่างของนางดู พบว่าพลังฝีมือของนางยังคงอยู่ในขั้นปรมาจารย์ยุทธ์สี่ดาวดังเดิม หาได้ลดน้อยถอยลงไปไม่

“เอ…วันนี้ยังไม่ลองกับเจ้าดีกว่า เกิดข้าย่ำยีเจ้าจนคืนร่างกลับกลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยว ข้าคงจะนอนฝันร้ายไปอีกหลายปีเลย คึๆ ๆ” ชายหนุ่มปักด้ามดาบสั้นคาส่วนซ่อนเร้นของนางเอาไว้อย่างนั้นแล้วส่ายหน้าขำๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหากเขาแค่เอานิ้วหรือสิ่งของอย่างอื่นสอดใส่เข้าไปในร่างของผู้ฝึกเคล็ดวิชาบุปผาหยก เคล็ดวิชาในร่างของพวกนางก็ยังคงไม่ถูกทำลายสินะ

เฉินเสวี่ยหยิบเชือกหนังเส้นหนึ่งมาผูกมัดดาบสั้นให้ผูกโยงติดกับเอวของฮวาไหนไหน่ไม่ให้หลุดออกมาได้ง่ายๆ ให้นางได้อับอายต่อหน้าคนของตำหนักบุปผาไปนานๆ สักหน่อย

ผูกเสร็จชายหนุ่มก็ปล่อยสะโพกอวบหยุ่นของฮวาไหนไหน่ให้ตกลงไปกระแทกพื้นดังโครมแล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ตรงกลางห้องที่มีร่างของหญิงสาวอีกนางถูกผูกเอาไว้ เมื่อฮวาไหนไหน่ถูกปล่อยตัว นางก็ตะเกียกตะกายหดขาทั้งสองข้างเข้าหาตัวแล้วก้มหน้าลงไปร้องไห้เงียบๆ โดยมีดาบสั้นเสียบคารูอยู่เช่นนั้น นางอับอายจนแทบอยากจะฆ่าตัวตายไปให้พ้นๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้

หญิงสาวคนอื่นๆ ในห้องต่างก็มองนางด้วยความเวทนาสงสาร แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะเกรงว่าตนอาจถูกลงโทษเช่นนั้นเป็นรายต่อไป

หญิงสาวผู้ที่ถูกผูกเอาไว้บนเก้าอี้กลางห้องมีสีหน้าหวาดผวาแตกตื่นเมื่อเห็นเฉินเสวี่ยเดินอาดๆ มาที่ตน

“ข้ารู้มาว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสที่มีอายุน้อยที่สุดของตำหนักบุปผา เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะมีอายุเพียงสี่สิบกว่าปีเท่านั้น ข้าเลยเลือกเจ้าให้มาเป็นตัวอย่างในการทดสอบของข้า ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย หวังว่าหลังจากร่วมประสานหยินหยางกับข้าแล้ว สภาพร่างกายหลังสูญสิ้นพลังฝีมือของเจ้าจะไม่ทำให้ข้าถึงกับเก็บไปฝันร้ายน่ะนะ” พูดเสร็จเขาก็หัวเราะชั่วร้ายราวกับคนบ้า ใช้มือฉีกทึ้งไม่กี่ทีเสื้อผ้าบนร่างของนางก็ขาดรุ่งริ่งจนไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีก

หญิงสาวกรีดร้องและด่าทอเสียงดังจนเขาต้องเอาผ้าอุดปากนาง นางเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มถลกกางเกงลงและชักท่อนเอ็นขนาดใหญ่ของเขามาถูไถกับความเป็นหญิงของนาง นางยังไม่ทันจะหายตกใจ ก็เห็นเขาค่อยๆ ทิ่มแทงมันเข้ามาในร่างของตนเสียแล้ว นางรู้สึกเจ็บปวดจนตัวสั่นเทา น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเก ทรวงอกชูชันของนางสะท้อนขึ้นลงอย่างแรงเพราะอาการหอบจนตัวโยน

“อา… คับแน่นและเร้าอารมณ์ไม่เลวนี่” เฉินเสวี่ยใส่เข้าไปได้แค่ครึ่งทางก็หยุดชะงักเพราะหญิงสาวตัวเกร็งจนเขาไม่อาจแทงเข้าไปได้ลึกกว่านั้น เขาก้มลงมองจุดที่ร่างกายของตนเองเชื่อมประสานกับหญิงสาวเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาเป็นสายก็ยิ้มมุมปาก ถอนตัวออกอย่างรวดเร็วแล้วกระแทกอัดเข้าไปใหม่อย่างสุดตัว ได้ยินเสียงดังกึก ดูเหมือนว่าจะทำบางอย่างเสียหายเข้าเสียแล้ว หญิงสาวตาเบิกโพลง เกร็งตัวสุดขีดและถึงกับหมดสติไปทั้งอย่างนั้น

“เอ๋… ไม่ทนทานเอาเสียเลย” ชายหนุ่มหัวเราะขำ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดการกระทำของตนลง ยังคงโยกขย่มเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เขาจงใจทำมันด้วยความกระแทกกระทั้นรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเพื่อข่มขวัญหญิงสาวคนอื่นๆ ที่กำลังชมดูการกระทำของเขาอยู่ไม่ไกล เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังผับๆ ๆ เกือบครึ่งชั่วยามผ่านไปเขาจึงค่อยปลดปล่อยน้ำรักของตนเข้าสู่ร่างที่พังยับเยินของหญิงสาว ทันใดนั้นร่างของนางก็มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เส้นลมปราณและตันเถียนของนางหาได้ระเบิดออกอย่างที่เฉินเสวี่ยคาดเดาเอาไว้ในตอนแรก แต่พวกมันเหมือนจะกลายสภาพภาชนะที่เป็นรั่วไหลทำให้ไม่อาจกักเก็บพลังปราณได้อีกต่อไป พลังปราณในร่างค่อยๆ แทรกซึมระเหยออกทางทวารทั้งเก้าของนางจนหมดเกลี้ยง ผิวหนังที่เคยสดใสเต่งตึงประหนึ่งเด็กสาวแรกรุ่นก็ค่อยๆ หมองคล้ำลง แต่ก็ไม่ถึงกับเหี่ยวย่นจนกลายสภาพเป็นคนอายุสี่สิบ เฉินเสวี่ยจับใบหน้าของนางให้พลิกไปมา แล้วก้มลงชมดูร่างกายของนางอย่างใกล้ชิด ถึงจะดูซีดเซียวหมองคล้ำไปบ้าง แต่ก็ยังคงงดงามกว่าหญิงสาวทั่วไปอยู่ดี แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะแก่ชราลงแบบฮวบฮาบนี่นา แต่วรยุทธ์หายไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ ตอนนี้นางก็ไม่แตกต่างจากคนธรรมดา หญิงสาวเช่นนี้เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มิสู้ซื้อกิจการหอนางโลมสักแห่งแล้วส่งตัวหญิงเหล่านี้ไปทำงานสร้างรายได้ให้เขาจะดีกว่า

เขาแก้มัดให้หญิงสาวที่ยังคงสลบคาเก้าอี้แล้วเก็บร่างของนางลงไปในแหวนมิติ กวาดตามองไปยังหญิงสาวที่เหลืออีกสิบสี่คนในห้องที่บัดนี้พากันนั่งเงียบไม่กล้าสบตากับเขาสักคน

“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะมาเล่นกับเจ้าจนครบทุกคนแน่ๆ รับรองว่าจะไม่มีใครตกหล่นไปแม้แต่คนเดียว ฮ่าๆ ๆ” กล่าวเสร็จเขาก็สะบัดชายเสื้อแล้วเดินจากมา

ระยะทางระหว่างห้องอาบน้ำที่เฉินเสวี่ยใช้แช่ตัวเพื่อฝึกเคล็ดจันทราพิสุทธิ์กับคุกที่ใช้ขังพวกนักโทษตั้งอยู่ค่อนข้างไกลกัน จำเป็นต้องใช้เวลาเดินเกือบครึ่งก้านธูปจึงจะไปถึง เฉินเสวี่ยที่วางแผนว่าจะใช้ร่างของหญิงสาวตำหนักบุปผามาเป็นเตาบำเพ็ญเพื่อถ่ายกากปราณของตนจึงต้องหาสถานที่แช่ตัวแห่งใหม่ที่อยู่ใกล้กับคุกมากกว่านี้ ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องไปถ่ายกากปราณในคุกก็ได้ แต่อย่างน้อยก็อยากกจะแสดงการถ่ายกากปราณให้พวกหญิงสาวในคุกได้เห็นสักสองสามครั้ง พวกนางจะได้กลัวเขามากยิ่งขึ้นไปอีก

ชายหนุ่มเดินวนไปเวียนมารอบๆ คุกได้สักพัก ก็ตัดสินใจว่าจะลองไปนั่งแช่กายในน้ำตกจำลองที่อยู่ในสวนหย่อมข้างๆ คุกแทนการไปแช่กายในห้องอาบน้ำเช่นที่เคยทำมา เขาพบว่าหลังจากที่ตนเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นขั้นปรมาจารย์ยุทธ์หนึ่งดาวแล้ว การดูดซับพลังปราณจากแหล่งน้ำในห้วงมิตินี้ถึงกับต้องใช้เวลานานขึ้นมาก คราวนี้เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนกว่าจะพร้อมที่จะเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ยุทธ์สองดาว เมื่อรู้สึกได้ถึงการบีบอัดพลังปราณอย่างรุนแรงที่จุดตันเถียนและกากปราณที่ไหลแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือด เฉินเสวียก็รีบขึ้นจากน้ำแล้วก้าวยาวๆ ไปยังคุกที่ใช้คุมขังเจ้าตำหนักบุปผาและเหล่าผู้อาวุโส

Options

not work with dark mode
Reset