หลายวันหลังจากนั้น เฉินเสวี่ยก็ได้แต่เดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในตำหนักมาก เพราะทันทีที่นางโผล่หน้าออกไปจากตัวตำหนักเพื่อจะไปสำรวจกับดักที่วางเอาไว้ นางก็จะได้สบตากับเจ้าผมเงินตนนั้นตลอด พนันได้เลยว่าถ้าหากเจ้านี่ยังวนเวียนอยู่แถวๆ รอบเขตค่ายกลนี้โดยไม่ยอมไปไหน ไม่มีทางเลยที่สัตว์อสูรตัวอื่นจะกรายกล้ำเข้ามาติดกับดักของนางอย่างแน่นอน เพราะสัตว์อสูรน้อยใหญ่ต่างก็พากันหวาดกลัวและไม่ยอมย่างกรายเข้ามาใกล้อาณาเขตหากินของเจ้าตัวนี้
“เพ้ย! หงุดหงิดโว๊ย! ออกไปนอกแหวนก็ต้องคอยหลบเจ้ากอเอี๊ยะหนังสุนัขข้างนอก กลับเข้ามาในนี้ก็ยังอุตส่าห์มีเจ้ากอเอี๊ยะหนังสุนัขข้างในอีกตัวมาคอยรังควานไม่ปล่อย บรรพบุรุษของข้าเคยไปสวมหมวกเขียวให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาหรืออย่างไรกัน พวกเจ้านี้ถึงพากันตามตอแยข้าไม่เลิกเช่นนี้”
เฉินเสวี่ยกัดเล็บด้วยความหงุดหงิด ล้มเลิกความคิดที่จะไปจับสัตว์อสูรมาใช้เป็นร่างสำหรับถ่ายกากปราณเพิ่ม จำใจต้องใช้แค่ร่างของสัตว์อสูรที่มีอยู่สองตัวในตำหนักมารไปก่อน นางหันไปตั้งใจฝึกเคล็ดผนึกจันทราวารีอย่างจริงจังแทน
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดวันเปิดรับสมัครศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผาก็ใกล้เข้ามาแล้ว อีกเพียงไม่กี่วันก็จะเริ่มเปิดให้เด็กสาวผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่สนใจอยากเข้าไปเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผาได้เข้ารับการทดสอบคุณสมบัติ
ตอนนี้เฉินเสวี่ยมีอายุ 15 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รูปร่างตอนเป็นหญิงของนางสูงขึ้นและอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ส่วนระดับขั้นของการฝึกยุทธ์ก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดมาถึงระดับก่อปราณ 5 ดาวเรียบร้อยแล้ว ตัวนางเองค่อนข้างจะพอใจกับความเร็วในการฝึกยุทธ์ของตนไม่น้อย หากยังคงรักษาความเร็วระดับนี้เอาไว้ได้ อีกไม่เกินครึ่งปีนางก็จะขึ้นสู่ระดับนักยุทธ์ 1 ดาวได้อย่างแน่นอน
ทุกวันนี้ในห้วงมิติในแหวน เจ้ากอเอี๊ยะหนังสุนัขผมเงินยังคงปักหลักนั่งเฝ้านางอยู่นอกตำหนักมารโดยไม่ยอมย้ายก้นไปที่ใดทั้งสิ้น บางครั้งยามนางหงุดหงิดจนทนไม่ไหวมากๆ เข้า นางก็จะออกไปยืนอยู่ตรงชายขอบของค่ากลแล้วพ่นคำด่ากราดไปถึงบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้านั่นจนคอแหบคอแห้งเสียคราวหนึ่ง ส่วนเจ้านั่นกลับเอาแต่จ้องมองนางด้วยดวงตาวาวโรจน์ทำท่าราวกับน้ำลายจะหกออกมาได้ทุกเมื่อ แต่กลับไม่เคยต่อปากต่อคำกับนางเลยสักครั้ง มารดามันเถอะ! นี่นางดูน่าอร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ
ฝ่ายเจ้ากอเอี๊ยะหนังสุนัขที่อยู่ด้านนอกนี่ หลังจากที่นางเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชาอยู่แต่ในแหวนมิติ นางก็ไม่เคยเจอหน้าเขาอีกเลย นางเดาว่าเขาน่าจะตัดใจจากนางและกลับทวีปมัชฌิมไปแล้ว
หลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งพวกบ่าวในบ้านของนางและเจ้าขอทานน้อยที่นางจ้างเอาไว้ ต่างก็สืบไม่ได้ความอันใดมากนัก ทุกสิ่งทุกอย่างดูปกติอย่างยิ่ง ที่ทำมาหากินก็ทำมาหากินไป ที่ฝึกวิชาก็ฝึกวิชาไป ทั้งฮ่องเต้ ทั้งขุนนาง และประชาชนต่างก็อยู่กันแบบสงบสุขไร้เรื่องราว ผู้คนต่างก็ลืมเลือนครอบครัวที่ถูกสังหารตายอย่างอนาถของนางไปจนหมดสิ้นแล้ว
เมื่อถึงกำหนดการเปิดรับสมัครศิษย์ของตำหนักบุปผา เฉินเสวี่ยเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปยังเทือกเขาหมื่นผกาที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ก่อนจะไปนางก็ได้จัดการขายบ้านที่ซื้อไว้แล้วลงทุนเปิดกิจการโรงเตี๊ยมให้พวกบ่าวไพร่และเจ้าขอทานน้อยที่นางจ้างไว้ช่วยกันดูแลกิจการแทนนางไปพลางๆ นางวางแผนไว้ว่าจะใช้กิจการโรงเตี๊ยมที่นางสร้างขึ้นนี้เป็นฉากบังหน้าของธุรกิจซื้อขายข่าวสารในอนาคต
อีกอย่าง หลังจากแฝงตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักบุปผาแล้ว นางคงไม่ค่อยจะมีเวลาออกมาดูแลบ่าวไพร่เหล่านั้นสักเท่าไหร่ จึงคิดจะหางานให้พวกเขาทำและแบ่งรายได้จากกิจการให้พวกเขาใช้เลี้ยงตัวเองไปพลางๆ พวกเขาจะได้ไม่ต้องพึ่งพานางไปตลอด
เฉินเสวี่ยไม่เคยนึกกังวลว่าตนจะไม่ผ่านด่านทดสอบเพื่อเข้าไปเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผาเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อายุพอๆ กัน นางนับว่ามีระดับฝีมืออยู่ในขั้นดีมากคนหนึ่ง ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตานั้น นางมั่นใจยิ่งกว่าระดับฝีมือของตนเสียอีก เพราะตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นเด็กสาวคนใดงดงามเท่าตนเองมาก่อนเลย
สถานที่รับสมัครศิษย์ของตำหนักบุปผาคือทุ่งหญ้ากว้างขวางตรงเชิงเขาหมื่นผกา อันเป็นปากทางเข้าของตำหนักหมื่นบุปผา เด็กสาวผู้ที่จะสมัครจะต้องยื่นความจำนงที่อาคารสูงสามชั้นตรงฝั่งซ้ายของทุ่งหญ้า หากเอกสารไม่มีปัญหา พวกนางก็จะต้องเดินต่อไปเข้ารับการทดสอบพลังปราณและเขตขั้นของการฝึกยุทธ์ที่อาคารหลังที่สองที่อยู่ถัดไปด้านใน
เฉินเสวี่ย กวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ตนเดินเข้ามาเพื่อทดสอบพลังปราณ ภายในห้องมีผู้อาวุโสผู้ดูแลและควบคุมการทดสอบพลังปราณอยู่เพียงท่านเดียว เฉินเสวี่ยดูไม่ออกว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีอายุประมาณเท่าใด เพราะสมาชิกทุกคนของตำหนักบุปผาล้วนแลดูอ่อนเยาว์ราวกับหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเหมือนกันหมด
บนโต๊ะไม้ตรงกลางห้องมีก้อนหินรูปทรงกลม ขนาดประมาณศีรษะคนอยู่สองลูก ลูกหนึ่งเป็นสีน้ำตาลขุ่น ส่วนอีกลูกเป็นสีทองแวววาว
“แตะมือของเจ้าลงบนก้อนหินทั้งสองลูกนี้ มือละลูก แล้วค้างไว้จนกว่าก้อนหินจะหยุดเปลี่ยนสี” ผู้อาวุโสประจำห้องทดสอบกล่าวกับเฉินเสวี่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์
เฉินเสวี่ยกระทำตามที่นางบอก และแล้วก็พบว่าทันทีที่มือของตนแตะลงบนหินทั้งสองลูก พวกมันทั้งสองลูกก็เปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกแก้วสีฟ้าอ่อนที่ใสราวกับน้ำบริสุทธิ์
ผู้อาวุโสที่ควบคุมการทดสอบเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นางรีบกระโดดเข้ามาจ้องดูลูกแก้วทั้งสองใกล้ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานหยดให้กับเฉินเสวี่ย
“เจ้ามีพลังปราณธาตุน้ำที่บริสุทธิ์จนน่าเหลือเชื่อมากๆ แถมปริมาณพลังปราณในร่างก็หนาแน่นกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อปราณขั้นเดียวกันหลายเท่านัก ทำเอาข้าตกใจจริงๆ เลยนะนี่ ในอนาคตหากเจ้าสนใจจะมาเป็นศิษย์สายในของยอดเขาหมอกพิรุณก็มาพบข้าได้ทุกเมื่อเลยนะ ข้าคือผู้อาวุโสฮวาหยุนซี หัวหน้าของยอดเขาหมอกฝน” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเสร็จก็ยัดป้ายหยกใส่มือเฉินเสวี่ย แล้วพยักหน้าให้เฉินเสวี่ยผ่านเข้าไปยังด่านทดสอบถัดไปได้
เฉินเสวี่ยเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ภายในตำหนักบุปผา จะแบ่งพื้นที่เป็นเจ็ดยอดเขา ได้แก่ยอดเขาหลักตรงกลาง และยอดเขาบริวารอีกหกลูก ศิษย์สายนอกทั้งหมดจะอาศัยอยู่เฉพาะบริเวณหุบเขาที่เป็นพื้นที่ราบตรงกลางระหว่างยอดเขาทั้งเจ็ด ส่วนศิษย์สายในจะได้ย้ายขึ้นไปอยู่บนยอดเขายอดใดยอดหนึ่งแล้วแต่ว่าจะเลือกเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสท่านใดในจำนวนหกท่านซึ่งดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ประจำยอดเขา
นางไม่คิดเลยว่า ยังไม่ทันที่ตนจะได้เข้าไปเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของตำหนักบุปผา ก็มีผู้อาจารย์ใหญ่ของยอดเขาท่านหนึ่งทาบทามให้เข้าไปเป็นศิษย์สายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เฉินเสวี่ยคารวะขอบคุณผู้อาวุโสฮวาหยุนซีด้วยท่าทางนอบน้อมมีมารยาท แต่ไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการถูกทาบทามนี้ นางเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ แล้วเดินต่อไปรับการประเมินรูปร่างหน้าตาที่ห้องถัดไป
ในการประเมินรูปร่างหน้าตานี้ถึงกับมีผู้อาวุโสของตำหนักบุปผาสามท่านมาร่วมกันตัดสิน ดูเหมือนว่ามันจะสำคัญเสียยิ่งกว่าการประเมินพลังฝีมือเสียอีก
“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด แล้วหมุนตัวช้าๆ สามรอบ” ผู้อาวุโสนางหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์
เฉินเสวี่ยค่อนข้างตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าตำหนักบุปผาจะตรวจสอบร่างกายของเด็กสาวทุกคนจนถึงภายในร่มผ้าเช่นนี้ หากเป็นเด็กสาวคนอื่นๆ คงจะอับอายเป็นอย่างมากที่ต้องมาถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนไม่รู้จัก แต่ภายในใจของเฉินเสวี่ยเป็นบุรุษจึงมีความเขินอายไม่มากเท่าสตรียามที่ต้องมาเปลื้องผ้าต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ นางถอดเสื้อผ้าออกและหมุนตัวช้าๆ ตามคำสั่งของผู้อาวุโสนางนั้น
ผู้อาวุโสทั้งสามที่นั่งอยู่ในห้องพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความพอใจในรูปร่างหน้าตาของเฉินเสวี่ย หนึ่งในสามคนส่งถ้วยใบหนึ่งให้เฉินเสวี่ย ในถ้วยเต็มไปด้วยน้ำสีเขียวเข้ม บนผิวหน้าด้านบนของน้ำนั้นมีไอหมอกเย็นยะเยือกผุดพรายออกมา นางสั่งเฉินเสวี่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ดื่มน้ำในถ้วยให้หมด”
เฉินเสวี่ยรับมาแต่ค่อนข้างจะลังเล หากไม่รู้ว่าน้ำในถ้วยใบนี้เป็นโอสถอะไร นางก็ไม่กล้าดื่มหรอก
“ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเพียงน้ำที่ใช้เพื่อการทดสอบความบริสุทธิ์ของร่างกายเจ้า หากเจ้าเป็นหญิงพรหมจรรย์ตัวยาจะไม่ส่งผลเสียอันใดต่อร่างกายของเจ้าแม้แต่น้อย” ผู้อาวุโสอีกนางกล่าวยิ้มๆ
เฉินเสวี่ยทราบมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ผู้ที่เป็นศิษย์ของตำหนักบุปผาทั้งหมดล้วนเป็นสตรีพรหมจรรย์ เพราะเคล็ดวิชาที่พวกนางฝึกนั้นใช้ได้เฉพาะกับสตรีพรหมจรรย์เท่านั้น หากวันใดที่พวกนางสูญเสียพรหมจรรย์ไป เคล็ดวิชาที่ร่ำเรียนมาจะเสื่อมสลายไปจนหมดสิ้น
ตอนแรกเฉินเสวี่ยตั้งใจเพียงแค่อยากจะแฝงตัวเข้าไปสืบความลับในตำหนักบุปผาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่เคยคิดที่จะฝึกเคล็ดวิชาของตำหนักบุปผาแต่อย่างใด จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องพรหมจรรย์หรือไม่พรหมจรรย์อะไรนั่นสักเท่าไหร่ หากทว่านางไม่คาดคิดมาก่อนว่าตำหนักบุปผาจะตรวจพิสูจน์พรหมจรรย์ของเด็กสาวผู้มาสมัครเป็นศิษย์ตั้งแต่ต้นทางเช่นนี้ นางไม่มั่นใจนักว่าร่างกายตอนเป็นสตรีของตนยังคงเป็นสตรีพรหมจรรย์อยู่หรือไม่ เพราะร่างบุรุษนั้นหาใช่พรหมจรรย์แน่นอนแล้ว
แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ไม่มีอะไรจะเสีย หากไม่ผ่านด่านนี้นางก็ค่อยหาหนทางใหม่ในการเข้าไปสืบข่าวก็แล้วกัน นางตัดสินใจยกถ้วยที่บรรจุน้ำสีเขียวขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดเกลี้ยงและส่งถ้วยเปล่าคืนไปให้ผู้อาวุโสนางหนึ่ง
เฉินเสวี่ยรอคอยครู่ใหญ่ เมื่อไม่เห็นว่าร่างกายของตนมีความผิดปกติอันใดก็เอียงคอมองสบตากับผู้อาวุโสทั้งสามนางในห้องด้วยสายตาเป็นคำถาม ไม่รู้ว่าตนผ่านหรือไม่ผ่านการทดสอบนี้กันแน่
ผู้อาวุโสมองนางด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแล้วหันไปซุบซิบกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาสั่งให้นางสวมเสื้อผ้าได้และแจ้งว่านางผ่านการทดสอบนี้แล้ว จากนี้ให้นางนำป้ายหยกที่พวกตนมอบให้ผ่านเข้าประตูสำนักและไปรวมตัวกับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกคนอื่นๆ ที่ลานกว้างด้านในตำหนักบุปผาได้เลย
เฉินเสวี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก รับป้ายหยกสีเขียวใสมาแล้วพาสาวใช้ของตนเดินผ่านประตูใหญ่ของตำหนักบุปผาเข้าไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่ลานกว้าง
เด็กสาวที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผามีจำนวนประมาณห้าสิบกว่าคน หลังจากเอาข้าวของส่วนตัวที่พกมาเข้าไปเก็บในบ้านพักศิษย์ที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว ศิษย์ใหม่ทุกคนเดินไปรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างด้านหน้าหมู่ตึกที่พักอาศัย บ้างก็จับกลุ่มพูดคุยกัน บ้างก็กำลังสอดส่ายสายตามองหาคนรู้จัก เฉินเสวี่ยไม่ได้เข้าไปรวมกลุ่มพูดคุยกับใครและไม่คิดจะผูกมิตรกับใครเสียด้วย นางจึงยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังในลานนั้น
เท่าที่นางมองเห็น มีเด็กสาวหลายคนที่เฉินเสวี่ยพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง เพราะเดิมทีคุณชายน้อยแห่งตระกูลเฉินก็เป็นที่หมายปองของตระกูลผู้ฝึกยุทธ์หลายตระกูล ยามที่ตระกูลเหล่านั้นจัดงานเลี้ยงก็มักจะส่งเทียบเชิญมาเชิญตนให้ไปร่วมงานเลี้ยงและแนะนำให้รู้จักกับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันในตระกูลเหล่านั้นเป็นประจำ
“เจ้าชื่ออะไรหรือ ข้าชื่อเกาซู่ซู่” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่ยืนอยู่ข้างๆ เฉินเสวี่ยหันมากล่าวกับเฉินเสวี่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เฮยเยว่” เฉินเสวี่ยตอบด้วยใบหน้าราบเรียบ
“เจ้าสวยมากเลยเฮยเยว่ น่าจะสวยที่สุดในรุ่นเราแล้วกระมัง ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย เจ้าคงไม่ใช่คนเมืองหลวงสินะ” เกาซู่ซู่ถามต่อด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ
เฉินเสวี่ยปรายตามองหน้านาง แล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“นี่ซู่ซู่ ผู้อื่นไม่อยากจะคุยกับเจ้า เจ้าก็อย่าได้เอาแก้มร้อนๆ ของตนไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่นให้เสียเวลาเลย เชอะ! คงคิดว่าตนเองสวยเสียเต็มประดากระมังจึงได้เชิดหน้าชูคอไม่เห็นหัวผู้อื่นแบบนั้น” เด็กสาวอีกนางที่ยืนอยู่กับเกาซู่ซู่กล่าวแดกดันเฉินเสวี่ยและดึงแขนเกาซู่ซู่ให้ถอยห่างออกมา
เฉินเสวี่ยเหลือบมองเด็กสาวผู้ที่พูดกระทบนางด้วยหางตา เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวรูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าสวยหมดจรดสะอาดตา
“จงหมิ่น เจ้าอย่าไปว่านางแบบนั้นสิ นางมาจากเมืองอื่น ยังไม่มีเพื่อนจึงอาจจะยังเขินอายอยู่กระมัง” เกาซู่ซู่กล่าวกับจงหมิ่นแต่กลับหันมาส่งสายตาขอโทษขอโพยให้เฉินเสวี่ย
เฉินเสวี่ยพยักหน้าน้อยๆ และส่งยิ้มอ่อนคืนไปให้นาง เกาซู่ซู่ผู้นี้นับว่าเป็นคนนิสัยไม่เลวคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเฉินเสวี่ยก็ยังไม่คิดจะผูกมิตรต่อนางไปมากกว่านี้
เฉินเสวี่ยตั้งใจจะทำลายล้างตำหนักบุปผาให้สิ้นซาก จึงไม่อยากจะคบหาผู้ใดในตำหนักบุปผาเป็นสหายทั้งสิ้น เพราะเกรงว่าถึงยามลงมือตนอาจจะเผลอใจอ่อนต่อสหายเหล่านั้นขึ้นมาได้
“นี่ เจ้าได้ยินข่าวลือหรือไม่ ที่ว่าองค์หญิงรองโยวหลินของแคว้นเราก็เข้ามาเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผารุ่นเดียวกับพวกเราด้วยน่ะ” จงหมิ่นพูดคุยกับเกาซู่ซู่เบาๆ แต่เฉินเสวี่ยผู้ที่ยืนอยู่ติดกันก็ยังได้ยินอย่างถนัด
“เอ๋ มิใช่ว่าองค์หญิงรองเป็นพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้หรอกหรือ เหตุใดฮ่องเต้จึงยอมให้นางมาสมัครเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผาได้ ใครๆ ก็ทราบนี่ว่า ศิษย์ทุกคนของตำหนักบุปผาเมื่อเข้าสำนักมาแล้วจะต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่ฮวาและตัดขาดจากตระกูลเดิมของตนให้หมด” เกาซู่ซู่ถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงยอมให้นางมาสมัคร แต่ที่แน่ๆ นางเป็นถึงระดับก่อปราณแปดดาวที่อายุน้อยที่สุดในแคว้นเราตอนนี้ หากไม่นับคุณชายเฉินเสวี่ยกับคุณหนูเฉินปิงที่เสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว นางก็นับได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในแคว้นเทียนซานแล้วล่ะ ฮ่องเต้อาจจะอยากให้นางเข้ามาในตำหนักบุปผาเพราะหมายจะรวบตำหนักบุปผากับราชวงศ์โยวเข้าด้วยกันกระมัง”
“ชู่ว์… เจ้าอย่าคาดเดามั่วซั่วไป ประเดี๋ยวจะได้ตายไม่รู้ตัว” เกาซู่ซู่รีบปรามสหายมิให้ปากมากแล้วหันซ้ายหันขวาเหลียวดูว่ามีใครได้ยินที่พวกตนพูดกันบ้างหรือไม่
เฉินเสวี่ยยืนนิ่งและรักษาใบหน้าให้ราบเรียบตามเดิม แต่มือกลับกำเป็นหมัดแน่น หึ…องค์หญิงโยวหลิน พระธิดาคนโปรดของเจ้าฮ่องเต้ชั่วก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ ดีเลย นางจะได้จัดการกับลูกสาวของศัตรูผู้นี้ไปพร้อมๆ กับฮวาไหนไหน่เสียเลย
เวลาผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง การคัดเลือกและทดสอบผู้สมัครของตำหนักบุปผาก็เสร็จสิ้นลง ศิษย์ใหม่ทั้งหมดจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้ครบทุกคนแล้ว
ด้านหน้าของลานกว้างมีแท่นยกพื้นสูงจากพื้นแท่นหนึ่งตั้งอยู่ บนนั้นมีเก้าอี้ตั้งอยู่ทั้งหมดเจ็ดตัว เมื่อเด็กสาวที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นศิษย์มารวมตัวกันครบทุกคน ร่างในอาภรณ์งดงามราวกับเทพธิดาเจ็ดร่างก็เหินจากบนฟ้าลงมานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าร่างที่งดงามราวกับเทพธิดา สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลาย
ศิษย์ใหม่ทั้งหมดในวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างหน้าตางดงามติดอันดับต้นๆ ของแคว้นเทียนซานทั้งสิ้น แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผู้ที่อยู่บนเวทีทั้งเจ็ดนางแล้ว ความงามยังจัดว่าห่างกันคนละชั้นแบบเทียบไม่ติด เคล็ดวิชาของตำหนักบุปผาแห่งนี้ ยิ่งฝึกได้ระดับสูงเท่าไหร่ รูปร่างหน้าตาของผู้ที่ฝึกก็จะยิ่งแลดูบริสุทธิ์สูงส่งและงดงามยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเคล็ดวิชานี้จึงกลายเป็นความใฝ่ฝันของเด็กสาวทั่วหล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินเสวี่ยจำฮวาไหนไหน่เจ้าตำหนักบุปผาผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวกลางได้เป็นอย่างดี แม้ว่าตอนที่พบกันคราวก่อนนางจะมีผ้าโปร่งคลุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่เฉินเสวี่ยก็ไม่มีวันลืมคนที่สังหารบิดาตนเองไปได้อย่างเด็ดขาด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ดีมีสุขและวางท่าบริสุทธิ์สูงส่งราวกับน้ำค้างกลางหาวเช่นนี้ เฉินเสวี่ยก็ยิ่งแค้นจนต้องกัดฟันตนเองไว้แน่นเพื่อข่มใจไม่ให้หุนหันพลันแล่นกระโดดขึ้นเวทีไปล้างแค้นให้กับคนในครอบครัวทั้งที่ตนเองยังไม่พร้อม
“ยินดีต้อนรับศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผาทุกคน สำนักยุทธ์ของพวกเราอยู่กันแบบครอบครัวข้าต้องการให้ศิษย์ทุกคนสามัคคีและรวมพลังกันเพื่อต้านภัยศัตรูและสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับสำนักของเรา พวกเจ้าคงจะรู้กันดีแล้วว่า ที่ผ่านมาไม่ว่าพวกเจ้าจะเคยใช้แซ่ใดมาก่อน วันนี้พวกเจ้าจะต้องละทิ้งแซ่เดิมของตนและมาใช้แซ่ฮวาเหมือนกันทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสำนัก สมาชิกของสำนักเราล้วนเท่าเทียมกัน ความสูงต่ำของผู้ที่อยู่ในสำนักนี้วัดกันจากฝีมือเท่านั้น เอาล่ะใครมีข้อสงสัยก็เก็บเอาไว้ค่อยถามจากศิษย์พี่ประจำกลุ่มของพวกเจ้าในภายหลังก็แล้วกัน” ฮวาไหนไหน่กล่าวต้อนรับและให้โอวาทศิษย์ใหม่ทุกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาและรวบรัด จากนั้นก็มอบหมายให้ผู้อาวุโสอีกนางที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของตนกล่าวอธิบายกฎระเบียบและข้อปฏิบัติในการฝึกยุทธ์ของศิษย์ใหม่ทุกคน
สรุปสั้นๆ ได้ว่า ทุกๆ สัปดาห์จะมีการแจกจ่ายเม็ดยาลูกกลอนรวมปราณให้ศิษย์คนละ 1 เม็ด พร้อมกับแจกเคล็ดวิชาธาตุไม้และธาตุน้ำชั้นต้นของสำนักให้พวกนางได้นำไปฝึกฝนด้วยตนเอง และในแต่ละเดือนพวกนางจะได้หมุนเวียนสลับผลัดเปลี่ยนกันไปแช่กายในน้ำพุศักดิ์สิทธ์บนยอดเขาหลักเพื่อเสริมพลังปราณธาตุน้ำคนละหนึ่งครั้ง
จากนั้นทุกๆ ครึ่งปีจะมีการทดสอบความสามารถครั้งหนึ่ง หากผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบที่เปิดทุกครึ่งปีนี้ได้ ก็จะสามารถเข้าไปเป็นศิษย์สายในของสำนัก และยังสามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นไปอยู่บนยอดเขาบริวารลูกใดในบรรดายอดเขาบริวารทั้งหกลูกอีกด้วย ส่วนยอดเขาหลักซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาหมื่นผกาแห่งนี้ เป็นสถานที่ต้องห้าม และยังเป็นที่พำนักของเจ้าตำหนักบุปผากับผู้อาวุโสใหญ่ทั้งห้า นอกจากวันที่พวกนางได้รับอนุญาตให้ไปแช่กายในน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แล้ว วันอื่นๆ ห้ามผู้ใดขึ้นไปบนยอดเขาลูกนั้นโดยเด็ดขาด