เคล็ดมารสยบภพ 10 ออกสำรวจห้วงมิติ

ตอนที่ 10 ออกสำรวจห้วงมิติ

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เฉินเสวี่ยก็คิดว่าตนสมควรจะกลับเข้าไปในแหวนมิติของตนเพื่อเก็บตัวฝึกวิชาต่อได้แล้ว ถึงตอนอยู่ในร่างผู้หญิงนางจะดูดซับพลังปราณธรรมชาติไม่ได้ แต่นางก็ยังสามารถฝึกเคล็ดตราผนึกจันทราวารีซึ่งเป็นเคล็ดย่อยที่สามของเคล็ดจันทราวารีได้ แม้ว่าเคล็ดวิชาย่อยเคล็ดนี้จะดูเหมือนไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังการทำลายล้างของกระบวนท่าในการต่อสู้ แต่กลับมีประโยชน์ยิ่งกว่าเคล็ดกระบวนท่าต่างๆ มากมาย เพราะหากสามารถผนึกร่างของคู่ต่อสู้ให้แข็งค้างได้สัก 1-2 นาที นางก็จะมีเวลาเหลือเฟือที่จะปลิดชีพคนผู้นั้น หรือหากจะใช้ถ่วงเวลาเพื่อให้ตนเองมีเวลาในการหลบหนีเพิ่มก็ยังได้

และนอกจากเคล็ดที่สามของเคล็ดวิชาจันทราวารีนี้แล้ว นางยังสามารถศึกษาศาสตร์อื่นๆ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยเช่นตนเองได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวิชาแปลงโฉมขั้นสูง วิชาปรุงพิษ ไปจนถึงวิชาปราบสัตว์อสูร

ขณะที่กำลังอยู่ในห้วงความคิดนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงโวยวายของหรูอี้ดังอยู่ที่ข้างกำแพงบ้านเหมือนกำลังทะเลาะกับใครบางคนอยู่ นางจึงเดินออกไปดู และได้เห็นชายวัยกลางคนสองคนรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งและเตี้ยล่ำอีกคนหนึ่งกำลังตะโกนข้ามกำแพงบ้านเข้ามาแทะโลมหรูอี้ด้วยถ้อยคำหยาบคาย และหรูอี้เองก็กำลังเงื้อไม้กวาดในมือขึ้นและด่าพวกเขากลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะโกรธจัด

“มีอะไร” เฉินเสวี่ยเดินมาถึงก็หันไปถามหรูอี้

“อะ เอ่อ… คุณหนู…” หรูอี้เห็นเฉินเสวี่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล แต่ไม่กล้าฟ้อง

“ไอ้หยา! นอกจากสาวใช้บ้านนี้จะหน้าตาไม่เลวแล้ว คุณหนูของบ้านนี้ยังงามจนวิญญาณข้าแทบหลุดลอยอีกด้วย พวกเจ้าอยู่กันแค่ผู้หญิงสองคนนายบ่าวไม่กลัวรึ มิสู้ให้พวกพี่ชายทั้งสองคนย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับพวกเจ้าเพื่อปกป้องดูแลทะนุถนอมพวกเจ้าทั้งเช้าค่ำจะดีกว่า คึๆ ๆ ๆ” เจ้าคนตัวผอม ฉีกยิ้มชั่วร้ายกวาดตามองมายังเฉินเสวี่ยและหรูอี้ด้วยแววตาลามก

เฉินเสวี่ยยิ้มมุมปาก เดินไปคว้าด้ามไม้กวาดมาจากมือหรูอี้แล้วกระโดดข้ามกำแพงที่สูงประมาณศีรษะของนางออกไปด้วยท่าร่างที่รวดเร็วและปราดเปรียว จากนั้นก็ลงมือใช้ด้ามไม้กวาดฟาดใส่เจ้าอันธพาลทั้งสองแบบไม่ยั้ง

ต่อให้นางจะต้องกลับมาเริ่มต้นฝึกยุทธ์ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน แต่เมื่อเทียบกับอันธพาลกระจอกพวกนี้แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับรวบรวมลมปราณก็ยังมีพละกำลังและความเร็วมากกว่าพวกมันมากนัก นี่จึงกลายเป็นว่าเฉินเสวี่ยเป็นฝ่ายกระหน่ำตีพวกมันอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่พวกมันทั้งสองคนไม่อาจแม้แต่จะตอบโต้ใดๆ ได้เลย พวกมันพากันร้องโอดโอย และวิ่งหลบกันพัลวัน

“ฮึ เจ้าบอกว่าเห็นหน้าข้าแล้ววิญญาณแทบหลุดลอยใช่หรือไม่ ข้าจะตีพวกเจ้าให้วิญญาณหลุดลอยออกไปจริงๆ เสียเลย” เฉินเสวี่ยกล่าวเสียงเหี้ยมขณะหวดฟาดพวกมันจนใบหน้าปูดบวม

“โอ๊ยๆ ๆ ๆ ท่านบรรพบุรุษตัวน้อยได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเราผิดไปแล้ว ต่อไปพวกเราจะไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีกแล้ว ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถิด” เจ้าคนตัวอ้วนร้องอ้อนวอนออกมาแล้วก้มลงคำนับให้เฉินเสวี่ยศีรษะจรดพื้น เจ้าคนตัวผอมเห็นเพื่อนทำดังนั้นก็รีบทำตามทันที

“เฮอะ! ถ้าข้าเห็นพวกเจ้าอีกครั้ง ข้าจะฆ่าพวกเจ้าซะ ไสหัวไปได้แล้วเจ้าพวกลูกเต่า” เฉินเสวี่ยตะคอกด่าแล้วปล่อยพวกมันไป จากนั้นนางก็กระโดดข้ามกำแพงกลับเข้าไปในบ้าน ส่งไม้กวาดคืนให้กับหรูอี้ที่กำลังยืนอ้าปากตาค้างจ้องมองมาที่นาง

“เป็นอะไร หุบปากได้แล้ว มีอะไรต้องทำก็ไปทำเข้าสิ” เฉินเสวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ ตอนนี้แม้แต่อันธพาลข้างถนนก็ยังคิดจะมาหาเรื่องนางเลย เป็นผู้หญิงนี่มันช่างน่ารำคาญเสียจริง แถมยังเป็นผู้หญิงที่ไร้กำลังจะปกป้องตัวเองอีก ต่อไปคงจะมีพวกไม่กลัวตายผลัดกันเรียงตัวเข้ามาหาเรื่องนางเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ แน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด พรุ่งนี้นางคงต้องไปหาซื้อบ่าวชายมาสักสองสามคนท่าจะดี ยามที่นางเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ในแหวนมิติ จะได้ไม่มีใครมารังควานคนในบ้านได้ง่ายๆ อีก

วันรุ่งขึ้นเฉินเสวี่ย จัดการเรียกนายหน้าจัดหาบ่าวมาคุยและบอกความประสงค์ของตนแต่เช้า ตกบ่ายนางก็ได้บ่าวรับใช้เพิ่มสมใจ มีเงินก็ใช้ให้ผีโม่แป้งได้แบบนี้เอง

นางจ้างคู่ผัวเมียวัยกลางคนหน้าตาสัตย์ซื่อแซ่โจวคู่หนึ่ง และซื้อตัวชายหนุ่มนามว่าหลีฉงอายุประมาณยี่สิบกว่าปีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่งมาเป็นบ่าว โชคดีที่บ้านที่นางซื้อไว้หลังนี้มียังมีห้องว่างเหลืออยู่อีกสองห้องพอดี จึงเพียงพอให้พวกเขาพักอยู่ร่วมกันในบ้านได้ทั้งหมด

เนื่องจากว่านางเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวของบ้านนี้ และทั้งบ้านก็ไม่ได้ทำการค้าอันใด งานในบ้านจึงแทบจะไม่มีอะไรให้บ่าวทั้งห้าต้องลงแรงกันสักเท่าไหร่ หลังจากแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในบ้านให้พวกเขาแล้วนางก็สั่งให้พวกเขาหมั่นผลัดกันออกไปสืบความเคลื่อนไหวของคนตระกูลเฉินกับพวกตำหนักบุปผาให้นาง จากนั้นก็มอบเงินค่าใช้จ่ายในบ้านบางส่วนเอาไว้ให้หรูอี้เป็นคนดูแลก่อนจะบอกพวกเขาว่าตนจะทำการกักตนเพื่อฝึกวิชาอยู่แต่ในห้อง ห้ามให้ใครเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เฉินเสวี่ยก็กลับเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในแหวนมิติและเริ่มต้นฝึกวิชาแบบจริงจังอีกครั้ง

เคล็ดผนึกจันทราวารี ซึ่งเป็นเคล็ดที่สามารถผนึกให้ร่างของคู่ต่อสู้แข็งค้างอยู่ได้ชั่วคราวนั้น แม้จะเป็นเคล็ดที่ไม่สิ้นเปลืองพลังปราณอันใดมากมาย แต่กลับฝึกยากฝึกเย็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ใช้เคล็ดวิชาจะต้องมีสมาธิสูงมาก หากจิตใจว่อกแว่กแม้เพียงนิดเดียวก็จะใช้ไม่ได้ผลในทันที ความสำเร็จในการฝึกเคล็ดนี้แบ่งเป็น 5 ขั้น ยิ่งสำเร็จขั้นสูงก็จะยิ่งผนึกร่างของคู่ต่อสู้ได้นานยิ่งขึ้น

เฉินเสวี่ยใช้เวลาฝึกอยู่ครึ่งเดือนเพิ่งจะสำเร็จแค่ขั้นแรกเท่านั้น นางทดลองใช้กับร่างของสัตว์อสูรงูธาราระดับ 10 ที่บัดนี้หายจากอาการบาดเจ็บเรียบร้อยแล้วและถูกตนจับล่ามโซ่เอาไว้ พบว่ายังผนึกร่างของสัตว์อสูรตนนี้ได้แค่ครึ่งวินาทีเท่านั้น ซึ่งการผนึกที่สั้นขนาดนี้นั้นแทบจะไม่มีค่าอันใดเลย

เฉินเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดาเอาว่า อาจจะเป็นเพราะพลังฝีมือของตนยังห่างชั้นกับสัตว์อสูรระดับสิบมากเกินไป เคล็ดวิชานี้จึงใช้ไม่ค่อยได้ผลนัก เช้าวันถัดมาเฉินเสวี่ยจึงเดินไปสำรวจกับดักที่ตนวางเอาไว้อีกครั้ง เพื่อมองหาสัตว์อสูรระดับต่ำที่ตนสามารถจะนำมาทดลองกับเคล็ดวิชาได้

คราวนี้นางเก็บเกี่ยวสัตว์อสูรที่มาติดอยู่ในกับดักทั้งสิบแห่งได้ทั้งหมดหกตัว มีตั้งแต่สัตว์อสูรธรรมดาไปจนถึงสัตว์อสูรระดับหก รอบนี้ไม่พบสัตว์อสูรที่กลายร่างเป็นคนเลยแม้แต่ตนเดียว นางนำสัตว์อสูรทั้งหมดที่เก็บมาจากกับดักใส่ลงไปในแหวนมิติ เมื่อกลับเข้ามาในตำหนักมารนางก็เอาพวกมันออกมาใส่กรงแยกกันไว้ตัวละกรง จากนั้นค่อยเริ่มต้นทดลองฝึกใช้เคล็ดผนึกจันทราวารีกับพวกมัน

เฉินเสวี่ยพบว่า หากนางใช้เคล็ดผนึกนี้ผนึกร่างของสัตว์อสูรธรรมดาหรือสัตว์อสูรระดับ 1-2 ซึ่งมีพลังฝีมือใกล้เคียงกับนาง จะสามารถผนึกร่างของพวกมันให้แข็งค้างอยู่ได้นานประมาณสองนาที แต่ถ้าใช้กับพวกที่มีพลังฝีมือสูงกว่านาง ระยะเวลาที่สามารถผนึกร่างของพวกมันเอาไว้ได้จะลดน้อยลงตามลำดับ

ทันใดนั้นนางก็เกิดความสงสัยว่าถ้าตนใช้เคล็ดวิชานี้กับมนุษย์ธรรมดาจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงกลับออกไปยังโลกภายนอกแล้วเปิดประตูออกไปจากห้องฝึกยุทธ์

“อ้าว คุณหนู เลิกกักตนฝึกวิชาแล้วหรือเจ้าคะ” หรูอี้ร้องทักทายด้วยน้ำเสียงยินดีมาแต่ไกล

“ผนึก!” เฉินเสวี่ยพึมพำเบาๆ แอบใช้เคล็ดวิชากับสาวใช้ของตน

ร่างของหรูอี้ที่กำลังเอาผ้านวมออกมาตากแดดอยู่กลางลานบ้านพลันนิ่งค้างอยู่แบบนั้น

เฉินเสวี่ยเดินเข้าไปวนดูรอบร่างที่แข็งค้างของสาวใช้ตนหนึ่งรอบ พยักหน้าด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนนิ่ง แม้แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ยังแข็งค้างอยู่ในท่ายิ้ม แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“อืม… ใช้ได้ผลกว่าที่คิดแฮะ” เฉินเสวี่ยพึมพำ แล้วลองจับแขนที่กำลังยกค้างอยู่ของหรูอี้ให้ลดลงมาแนบลำตัว นางพบว่าตนสามารถจัดท่าทางของผู้ที่ถูกผนึกได้โดยง่าย และหลังจากจัดให้อีกฝ่ายทำท่าทางเช่นไร ผู้ที่ถูกจัดท่าก็จะแข็งค้างอยู่ในท่าเช่นนั้นโดยไม่อาจขัดขืนอย่างน่าขัน

“อ้าว คุณหนู…” ป้าโจวที่เดินออกมาจากห้องครัวร้องทักเฉินเสวี่ยแต่ยังไม่ทันพูดได้จบประโยคร่างก็ถูกผนึกจนแข็งค้างไปอีกคน

จากนั้นเฉินเสวี่ยก็ไล่ผนึกบ่าวรับใช้ที่อยู่ในบ้านจนครบทุกคนด้วยความสนุกสนาน บ่าวเหล่านี้ล้วนไร้วรยุทธ์ และยังมีร่างกายอ่อนแอกว่าสัตว์อสูรธรรมดาเสียอีก ดังนั้นแต่ละคนจึงถูกผนึกร่างเอาไว้คนละเกือบห้านาที

เฉินเสวี่ยจับพวกเขาให้ทำท่าทางที่น่าตลกต่างๆ บ้างก็ทำท่าแคะจมูก บ้างก็โก้งโค้งตูดโด่ง บ้างก็ยกแขนยกขาในท่าต่อสู้แบบประหลาด ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกตลกจนอดจะกุมท้องหัวเราะจนตัวงอไม่ได้ และทันทีที่ผนึกบนร่างของพวกบ่าวถูกคลายลง ทุกคนก็พากันโวยวายใส่นางจนนางต้องรีบเผ่นกลับเข้าไปในห้องฝึกยุทธ์เพื่อหลบกลับเข้ามาในแหวนมิติของตนอีกครั้ง

เฉินเสวี่ยรู้สึกชอบใจเคล็ดผนึกจันทราวารีเคล็ดนี้มาก และตั้งใจว่าจะต้องฝึกจนถึงขั้นสูงสุดให้ได้ก่อนจะไปสมัครเข้าเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผา

หลังจากนั้นสองวัน ก็ถึงเวลาที่เฉินเสวี่ยต้องกลายร่างกลับเป็นชายอีกครั้ง ตอนนี้เขารักษาสัตว์อสูรงูธาราจนหายดีเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าถึงเวลาที่ตนจะใช้ร่างของนางในการถ่ายเทกากปราณได้เสียที

เขาลงไปแช่ร่างในสระน้ำอีกครั้งและเริ่มทำการดูดซับพลังปราณธรรมชาติด้วยเคล็ดจันทราพิสุทธิ์ เพียงห้าวันเขาก็บีบอัดพลังปราณจนเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรวบรวมปราณ 7 ดาวได้สำเร็จ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยปริมาณของกากพลังปราณที่มีปริมาณมากกว่าคราแรกที่เริ่มใช้เคล็ดวิชาถึงสองเท่า

เขาไม่รอจนกากปราณละลายเข้าสู่กระแสเลือดจนหมดแบบทุกครั้งก็กระโจนขึ้นจากสระน้ำแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียงที่มีร่างเปลือยเปล่าของสัตว์อสูรจิ้งจอกมายาบรรพกาลและสัตว์อสูรงูธารานอนเคียงกันอยู่ ทั้งสองถูกล่ามโซ่ตรึงไว้กับเตียงนอนจนแทบไม่อาจขยับตัวได้เลย

เฉินเสวี่ยเกรงว่าด้วยปริมาณกากปราณที่มากขนาดนี้ หากรอจนพวกมันมารวมกันที่แท่งหยกพันปีของเขาจนหมดแล้วจะทำให้ร่างของเขาระเบิดไปเสียก่อน ดังนั้นทันทีที่เริ่มรู้สึกถึงความคับพองของตน เขาก็แทงมันเข้าสู่ช่องโพรงที่ซ่อนอยู่ภายในกลีบเนื้อสีชมพูสดของจิ้งจอกมายาบรรพกาลอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มขยับโยก

จิ้งจอกตัวน้อยดูเหมือนจะเริ่มชาชินกับการกระทำของเฉินเสวี่ยขึ้นมาบ้างแล้ว นางไม่ได้ร้องไห้โวยวายหรือพยายามดิ้นรนขัดขืนเช่นดังแต่ก่อน ครั้งนี้นางเพียงนอนนิ่งหลับตาและกัดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงหวีดร้องเอาไว้

เฉินเสวี่ยเพียงคิดว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการฝึกยุทธ์ที่ทำให้ทั้งตนและอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย นี่หาใช่การร่วมรักแบบที่เขียนอธิบายเอาไว้ในตำราชุนกงไม่ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตนจำเป็นจะต้องทำการเล้าโลมเพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุขแต่อย่างใด เขากระแทกเข้าออกเป็นจังหวะรัวเร็ว เพียงไม่นานก็ปลดปล่อยกากปราณระลอกแรกออกไป

จิ้งจอกน้อยสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกับทุกครั้ง นางกัดฟันเตรียมทำใจรับการถ่ายกากปราณระลอกที่สองที่มักจะตามมาในเวลามานานนัก แต่กลับพบว่าเฉินเสวี่ยถอนร่างออกจากช่องโพรงของนางอย่างรวดเร็วแล้วหันไปหางูธาราที่นอนอยู่ข้างๆ ของนางแทน นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบใช้เวลาช่วงพักที่มีอยู่น้อยนิดนี้เร่งทำการย่อยสลายกากปราณในร่างให้กลายเป็นพลังปราณบริสุทธิ์เข้าสู่จุดตันเถียน

เฉินเสวี่ยขยับเข้าหาร่างของสัตว์อสูรงูธาราที่กำลังเบิกตาโพลงมองมาที่เขาอย่างตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยว

“เจ้าเด็กบัดซบ! จะทำอะไร ออกไปนะ” นางก่นด่าและพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่อาจขยับตัวได้เพราะแขนขาถูกล่ามด้วยโซ่

เฉินเสวี่ยไม่สนใจคำด่าที่พร่างพรูออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มของนาง เขาแทรกตัวเข้าไปนั่งตรงกลางระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของนางแล้วกดความเป็นชายของตนเข้าสู่ช่องโพรงที่คับแน่นของนางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“อ๊า! เจ็บนะ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ไอ้เด็กสารเลว! ข้าจะฆ่าเจ้า! อ๊ะ อ๊า….” งูธาราก่นด่าต่ออีกยาวเหยียด นางทั้งเจ็บ ทั้งอาย และแค้นจนอยากจะฉีกร่างของเด็กหนุ่มคนนี้ออกเป็นชิ้นๆ แต่ก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น

เฉินเสวี่ยก้มลงไปกระซิบด้วยเสียงแหบพร่าที่ข้างหูนางขณะขยับโยกเข้าออกเป็นจังหวะ “อย่าเกร็งสิ มิเช่นนั้นจะยิ่งเจ็บกว่าเดิมนะ”

เขาเหยียดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเผลอหลุดเสียงสูดปากด้วยความเสียว ทั้งๆ ที่ยังคงด่าไม่หยุด วาจาของนางช่างเผ็ดร้อนตรงกันข้ามกับใบหน้าที่ดูสวยหวานปานดอกซิ่งต้องพิรุณเสียจริง

เฉินเสวี่ยควบขับเข้าออกอยู่อีกเพียงครู่เดียวก็ต้องรีบปลดปล่อยกากปราณเข้าสู่ร่างของงูธารา กากปราณที่เย็นจัดราวกับเข็มน้ำแข็งทิ่มแทงเข้าสู่เส้นลมปราณของงูธารา นางสะดุ้งสุดตัวและกรีดร้องเสียงดัง ร่างทั้งร่างเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แม้แต่วาจาก็มิอาจเปล่งออกมาได้อีก

เฉินเสวี่ยกระโจนกลับไปหาจิ้งจอกมายาบรรพกาลอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลังจากที่นางได้มีช่วงเวลาพักฟื้นเล็กน้อย นางก็ดูไม่ย่ำแย่เท่ากับคราวก่อนๆ เฉินเสวี่ยจึงถ่ายกากปราณเข้าสู่ร่างนางอย่างสบายใจขึ้นเล็กน้อย นี่ถ้าเขาสามารถหาร่างดีๆ มารองรับกากปราณเพิ่มอีกสักห้าหรือหกร่าง เขาก็น่าจะยกระดับพลังฝีมือได้เร็วกว่านี้อีกหลายเท่าตัว หลังจากนี้คงต้องออกไปจับสัตว์อสูรมาเพิ่มเสียแล้ว

การถ่ายเทกากปราณของเฉินเสวี่ยในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วกว่าทุกครั้ง เพราะเขาใช้ร่างของสัตว์อสูรทั้งสองสลับกันไปมา ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว สัตว์อสูรทั้งสองจะถูกแช่แข็งจนมีชั้นน้ำแข็งหนาปกคลุมไปทั้งร่างเช่นเดียวกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่เฉินเสวี่ยก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกนางจะทนไม่ไหวจนขาดใจตายไปเสียก่อน

และเนื่องจากพวกนางทั้งสองต่างก็แบ่งกันรับกากปราณของเขาไปคนละครึ่ง ระยะเวลาพักฟื้นของพวกนางจึงใช้เวลาไม่นานนัก เพียงเก้าถึงสิบวันก็หายเป็นปกติแล้ว

ในช่วงครึ่งเดือนที่อยู่ในร่างผู้ชายรอบนี้เฉินเสวี่ยจึงยกระดับขึ้นมาจนถึงขั้นรวบรวมปราณ 9 ดาวได้สำเร็จ และพร้อมๆ กับที่ระดับพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาก็เติบโตและสูงใหญ่ขึ้นแบบพรวดพราดด้วยเช่นกัน

นับจากนี้ไป การจะยกระดับจะยากขึ้นเพราะต้องข้ามขั้นจากขั้นรวบรวมลมปราณขึ้นสู่ขั้นก่อปราณ และแต่ละดาวของเขตขั้นก่อปราณจะต้องยิ่งใช้เวลานานกว่าเขตขั้นรวบรวมลมปราณอีกหลายเท่า จากปกติห้าวันสิบวันก็ยกระดับได้หนึ่งดาวนั้น เขาอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะยกระดับได้สักดาวหนึ่ง และตอนนี้เขาก็มีเวลาเหลืออีกเพียงเจ็ดเดือนก่อนจะถึงวันที่ต้องไปสมัครเข้าเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผา ในวันที่ไปสมัครเขาควรจะต้องได้อย่างน้อยระดับก่อปราณขั้นห้า จึงจะถือว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หากมีระดับต่ำกว่านั้นคงจะเป็นไปได้ยากที่จะผ่านด่านคัดเลือกเข้าไปเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผา

สองสามวันหลังจากนั้น เฉินเสวี่ยในร่างผู้หญิงก็ตัดสินใจที่จะออกเดินไปสำรวจพื้นที่ป่าที่อยู่รอบนอกห่างออกไปจากตำหนักมาร ก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะคิดได้ว่าตนช่างโง่เขลานัก ถึงกับลงทุนลงแรงวางกับดักเพื่อจับสัตว์อสูรให้เสียเวลาไปตั้งหลายวัน ลืมนึกไปว่า หากตนเดินออกไปแล้วต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตัวไหน ก็แค่จับพวกมันยัดลงไปในแหวนมิติซะก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่มีความจำเป็นสักนิดที่จะต้องหวาดกลัวพวกมัน อีกทั้งยังไม่ต้องเปลืองแรงเปลืองเวลาไปสร้างและคอยตรวจตรากับดักเหล่านั้นด้วย นางเดินไปพลางส่ายหน้าให้กับความโง่เขลาของตนเองไปพลาง หนึ่งเดือนในแหวนมิติที่ต้องอยู่ในร่างผู้หญิงนี้ นางจะทำการสำรวจห้วงมิติแห่งนี้และจับสัตว์อสูรให้สนุกไปเลย

แต่แล้วเมื่อนางเดินไปได้เพียงสองชั่วโมงก็พิสูจน์ได้แล้วว่าตนคิดน้อยจนเกินไป!

เพราะขณะที่นางกำลังปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาสูง เพื่อหวังจะไปยืนสำรวจทิวทัศน์จากตรงยอดสูงสุดของภูเขาด้านหลังตำหนักมาร นางก็ถูกสัตว์อสูรวานรเมฆาฝูงใหญ่ที่มีประชากรไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัวล้อมเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกมันส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรระดับ 3-5 ซึ่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นก่อปราณ 1-7 ดาวเท่านั้น แต่ด้วยมีจำนวนมากมายเกินกว่าที่เฉินเสวี่ยจะยัดพวกมันลงไปในแหวนมิติได้หมด นางจึงได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนแทน

และแล้วนางก็ค้นพบความจริงอีกข้อที่ว่ามนุษย์ที่วรยุทธ์ยังอ่อนด้อยเช่นนาง ไม่มีทางจะไต่หน้าผาได้เร็วกว่าสัตว์อสูรวานรเมฆาไปได้เลย

วานรเมฆาหลายสิบตัวพากันกลุ้มรุมกัดแขนและขาของเฉินเสวี่ยจนเป็นแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว เลือดสีแดงสดไหลเป็นทางยาวไปตามหน้าผา เฉินเสวี่ยรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าตอนที่ถูกขันทีเฒ่าทำร้ายเสียอีก แต่ด้วยคุณสมบัติของเคล็ดวิชาจันทราวารีที่ช่วยให้บาดแผลบนร่างสมานได้เร็วกว่าคนปกติ นางจึงยังไม่ถึงกับสลบลงเพราะความเจ็บปวด จะอย่างไรนางก็ไม่อาจปล่อยให้ตนเองโดนพวกวานรเมฆารุมกัดจนเหลือแต่กระดูกได้ หากโดนทำร้ายถึงหัวใจหรือถูกกัดถึงขั้นศีรษะแยกบ้านกับตัว เคล็ดวิชาจันทราวารีก็ไม่อาจช่วยได้แล้ว สุดท้ายนางจึงตัดสินใจปล่อยมือจากหน้าผาแล้วกระโดดลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างเพื่อหนีจากฝูงวานรอันบ้าคลั่ง

นางตั้งใจเอาขาลงพื้น เพราะหากขาหักยังพอจะฟื้นตัวเองได้ แต่ถ้าคอหักคงได้ไปพบหน้าครอบครัวที่แดนน้ำพุเหลืองเป็นแน่

ร่างของเฉินเสวี่ยกระแทกพื้นเสียงดังพลั่ก กระดูกครึ่งร่างท่อนล่างของนางแตกละเอียด นางเจ็บจนเหงื่อผุดพราย กัดฟันสะกดกลั้นเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดเอาไว้แต่ในลำคอ นางยังไม่รู้ว่าตนจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขนาดไหน และระหว่างที่ยังไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายที่อาบชุ่มไปด้วยโลหิตในตอนนี้ได้ นางก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตนใดเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นนางจึงพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดและใช้มือโกยเศษใบไม้แห้งมาคลุมร่างของตนเอาไว้เพื่ออำพรางตาจากพวกสัตว์ต่างๆ

Options

not work with dark mode
Reset