บทที่ 607 ต้อนรับแขก
“ซูตี๋หย่า แม่ขององค์ชายใหญ่คือเค่อตุน หากเจ้ายังยุแยงไม่เลิกเช่นนี้อีก ข้าก็คงทำได้เพียงให้คนไล่เจ้าออกจากราชสำนักแล้ว!”
อาเอ่อร์ไท่เอ่ยเตือนเสียงแข็ง
ซูตี๋หย่าจึงจ้องหน้าเขาด้วยความโกรธแค้น จากนั้นอาเอ่อร์ไท่ก็อุ้มอาฉื่อน่าหลู่ขึ้นมา
เด็กคนนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงกัดเข้าที่ข้อมือของอาเอ่อร์ไท่ กัดจนเลือดไหลก็ยังไม่ยอมปล่อย!
ตัวหมู่อุ้มอาฉื่อน่าหลู่มา “เด็กน้อย ปล่อยเร็ว! ปล่อยเร็วเข้า!”
หลังจากอาฉื่อน่าหลู่อ้าปาก ก็ซุกตัวเข้าไปหลบอยู่ในอ้อมแขนของซูตี๋หย่า
อาเอ่อร์ไท่มองท่าทางได้ใจของซูตี๋หย่า ก็ยืดตัวขึ้นและพูดว่า “เรื่องในวันนี้ข้าจะรายงานท่านข่านทุกอย่างเมื่อเขากลับมา ยังมีมู่เหรินพี่ชายของเจ้าด้วย ถึงเวลานั้นเจ้าก็คงต้องออกไป!”
อาเอ่อร์ไท่เปิดม่านแล้วเดินออกไป
ก็พบกับจื่อฮุ่ยที่ยืนอยู่ด้านนอก
“เจ้า!”
จื่อฮุ่ยขมวดคิ้วมองดูรอยฟันบนมือของเขา จากนั้นก็หยิบผงยาห้ามเลือดออกมาจากถุงผ้าที่พกติดกาย “ส่งมือมาให้ข้า”
อาเอ่อร์ไท่เกาหัว ก่อนจะตบหน้าอกและพูดต่อหน้าผู้หญิงที่ช่วยแปลภาษาคนนั้นว่า “ไม่เป็นไร แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
จื่อฮุ่ยจึงเป็นฝ่ายจับมือของเขามา ก่อนจะช่วยใส่ยาให้เขา
การโต้เถียงในกระโจมเมื่อครู่นางได้ยินหมดแล้ว คำพูดเหล่านั้นนางจะให้คนนำไปรายงานองค์หญิงทั้งหมด และให้องค์หญิงเป็นคนตัดสินใจเอง
อาเอ่อร์ไท่ก้มมองใบหน้าเล็กของจื่อฮุ่ยที่ใส่ยาให้เขาอย่างตั้งใจ ริ้วแดงก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนโหนกแก้ม
“เอ่อ…”
จื่อฮุ่ยใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยพันแผลให้เขา ก่อนจะเชิญอาเอ่อร์ไท่มาคุยด้วย
“ฮะ เจ้าถามถึงตัวหมู่หรือ?”
จื่อฮุ่ยพยักหน้ารับ “ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าแม่นมที่ดูแลองค์ชายใหญ่เป็นคนเช่นไร ถูกซูตี๋หย่ายุแยงด้วยหรือไม่ สอนองค์ชายใหญ่ให้อาฆาตแค้นและคิดจะยึดอำนาจด้วยหรือไม่”
อาเอ่อร์ไท่ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ร้ายแรงเพียงนั้น
จื่อฮุ่ยจึงอธิบายต่อ “พวกเจ้าชาวถู่เจียเป็นคนเรียบง่าย ในต้าจิ้นของเรานั้น เด็ก ๆ ที่ถูกแยกจากแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังไม่มีพ่อคอยดูแลอยู่ข้างกาย ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่ละเอียดรอบคอบ ไหนเลยจะรู้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นดูแลเด็กเต็มที่หรือไม่ เด็กบางคนจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ตัวเองได้ยินมา หากฟังคำพูดยุยงเหล่านั้นนานวันเข้า องค์ชายใหญ่มิเท่ากับจะกลายเป็นหุ่นเชิดของพวกนางหรอกหรือ?”
อาเอ่อร์ไท่ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย
จื่อฮุ่ยจึงกลอกตามองบน ผู้ชายมักไม่ใส่ใจอะไร พวกเขาขอแค่มีคนดูแลเด็กให้ก็พอแล้ว
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ปกติแล้วท่านข่านถามถึงองค์ชายใหญ่บ้างหรือไม่?”
อาเอ่อร์ไท่จึงตอบนางว่า “เรื่องถามก็ถามถึงอยู่หรอก แต่ไม่ได้ถามถึงทุกวัน สามสี่วันก็จะถามกับตัวหมู่บ้าง และให้เหล่านักรบไปสอนองค์ชายใหญ่ขี่ม้าล่าสัตว์บ้าง แต่สถานที่ที่ท่านข่านไปล้วนอันตรายอย่างมาก องค์ชายใหญ่อายุเท่านี้ ท่านข่านย่อมไม่มีทางให้เขาไปด้วยแน่
ทุกปีจะมีสามเดือนที่องค์ชายใหญ่ไปเผ่าของมู่เหรินลุงของเขา อยู่ที่นั่นจะมีลุงแท้ ๆ และน้าแท้ ๆ ของเขาคอยดูแล ดังนั้นท่านข่านจึงวางใจอย่างมาก”
จื่อฮุ่ยถอนหายใจออกมา “ข้าจะกลับไปหาองค์หญิงแล้ว แต่เรื่องซูตี๋หย่าผู้นั้นสรุปแล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ เจ้าช่วยบอกข้ามาให้ชัดเจนได้หรือไม่?”
อาเอ่อร์ไท่กลัวขึ้นมา เขาจึงรีบปัดมือไปมา “ซูตี๋หย่าชอบท่านข่านฝ่ายเดียว ท่านข่านไม่เคยคิดแบบนั้นกับนางเลยนะ!
ซูตี๋หย่ามีนิสัยหยิ่งผยอง ท่านข่านมักจะหลีกเลี่ยงนางเพราะเห็นแก่มู่เหรินและองค์ชายใหญ่มาตลอด ซูตี๋หย่าคิดว่าตนเองจะได้เป็นเค่อตุนคนต่อไปในราชสำนัก คงคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะมีการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้น นับตั้งแต่ท่านข่านยอมรับการแต่งงาน ซูตี๋หย่าก็เอาแน่เอานอนไม่ได้”
จื่อฮุ่ยเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่รักข้างเดียวหรอกหรือ!
“ข้ารู้แล้ว เจ้าช่วยข้าหาผู้หญิงที่อ่อนโยนและใจดี อยู่ในวัยที่เหมาะสมในราชสำนักให้ข้าที”
“เจ้าจะทำอะไร?”
จื่อฮุ่ยเอ่ยจบก็เดินกลับกระโจมไป
อาเอ่อร์ไท่มองดูนางจากไปแล้ว ก่อนจะมองผ้าเช็ดหน้าสีชมพูบนมือ และก้มหน้าลงไปดม ฮี่ ๆ หอมจัง มีกลิ่นยาติดอยู่นิด ๆ ด้วย!
…
“องค์หญิงเพคะ ซูตี๋หย่าผู้นั้นคอยยุยงองค์ชายใหญ่ ผู้หญิงที่มีจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้จะเก็บไว้ในราชสำนักไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ”
เซี่ยวั่งซูเห็นนางยิ่งพูดยิ่งโมโห ก็รีบบอกให้นางดื่มน้ำก่อน
“คนย่อมไม่สามารถเก็บไว้ได้ เพราะเก็บไว้ก็มีแต่จะเป็นภัย” เซี่ยวั่งซูเคาะโต๊ะเบา ๆ
“วันนี้ซูตี๋หย่าผู้นั้นเสียหน้า นางต้องมาเอาคืนอย่างแน่นอน อีกเดี๋ยวผู้นำเผ่าต่าง ๆ และครอบครัวก็จะมาถึงราชสำนักแล้ว ผู้หญิงคนนั้นต้องสร้างความยุ่งยากให้เราเป็นแน่”
เซี่ยวั่งซูพูด “ให้คนจับตามองนางเอาไว้ มีความเคลื่อนไหวก็ให้มารายงานข้าทันที แต่อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น
อีกอย่าง เจ้าทำได้ดีมาก แม่นมผู้นั้นไม่ใช่คนดีจริง ๆ เก็บไว้ข้างกายอาฉื่อน่าหลู่ย่อมไม่ดีแน่ เรื่องที่เหลือข้าจะคุยกับท่านข่านเอง”
“เพคะ”
“พวกเจ้าออกไปดูสิว่าอาหารเตรียมไปถึงไหนแล้ว ยังมีกระโจมที่จะใช้ต้อนรับแขก การตกแต่งด้านในเสร็จหรือยัง ข้าวของเครื่องใช้ครบถ้วนหรือไม่ หากขาดเหลืออะไรก็จัดการให้เรียบร้อย”
…
ตัวหมู่ออกมาจากกระโจมของซูตี๋หย่า อาฉื่อน่าหลู่ยังคงกัดฟันอยู่
ตัวหมู่ที่จูงมือเขาก็เดินก้มหน้ามาตลอดทาง แม้จะมีคนเอ่ยทักทายนางก็ไม่สนใจ จนกระทั่งกลับมาถึงกระโจมขององค์ชายใหญ่ นางจึงกอดองค์ชายใหญ่และร้องไห้ออกมา
“องค์ชายใหญ่ ท่านต้องพยายามอย่างเต็มที่นะเจ้าคะ ท่านต้องเป็นท่านข่านให้ได้ ตัวหมู่ทำได้เพียงพึ่งพาท่านแล้ว”
อาฉื่อน่าหลู่ก็กอดตัวหมู่เอาไว้แน่นและลอบสาบานกับตัวเองในใจ เขาต้องฆ่าชาวต้าจิ้นเหล่านั้นและผู้หญิงที่มาแย่งตำแหน่งแม่ของเขาไปให้ได้!
หลังจากกล่อมอาฉื่อน่าหลู่เข้านอนแล้ว ตัวหมู่จึงหยิบตุ๊กตาตัวหนึ่งออกมาจากใต้เตียง และชื่อของเซี่ยวั่งซูก็ถูกเขียนลงบนตุ๊กตาตัวนั้น
“ตายซะ ไปตายซะ”
“ตั้งครรภ์ไม่ได้ ให้กำเนิดลูกชายไม่ได้”
“มีเพียงอาฉื่อน่าหลู่ของข้าเท่านั้นที่จะได้เป็นท่านข่าน”
“ข้าจะทำให้คนที่เรียกข้าว่าหญิงม่ายและดูถูกข้าเหล่านั้นต้องเสียใจ”
“ข้าจะให้พวกผู้ชายที่รังแกข้าเหล่านั้นได้เห็นว่า ข้าจะเหยียบย่ำพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าเช่นไร!”
ใบหน้าของตัวหมู่ภายใต้แสงไฟที่สลัวนั้นน่ากลัวอย่างมาก
…
ยามพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ตกลงบนผิวน้ำ เสียงแตรก็ดังขึ้น
ทุกคนในราชสำนักต่างก็ออกมาด้านนอก เซี่ยวั่งซูสวมชุดพิธีการและยืนอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยเหล่านักรบ ตั้งหน้าตั้งตารอคอย
จนกระทั่งร่างที่คุ้นเคยควบม้าเข้ามาก่อน นางจึงเผยรอยยิ้มออกมา
ชางฉีลงมาจากหลังม้าและก้มศีรษะลงแตะจมูกกับนางอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็ได้เบี่ยงตัวออกแล้วชี้ไปที่ชายร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งลงจากหลังม้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดวงจันทร์น้อย นี่ก็คือมู่เหรินที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง พี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกับข้า”
มู่เหรินก้าวไปข้างหน้าและคารวะเซี่ยวั่งซูด้วยความเคารพ “คารวะเค่อตุนผู้สูงส่ง ข้าคือมู่เหริน”
เซี่ยวั่งซูพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นว่าด้านหลังยังมีคนกลุ่มใหญ่ตามพวกเขามาด้วย เซี่ยวั่งซูจึงคอยจัดการให้คนช่วยพาแขกลงมาจากหลังม้าด้วยตัวเอง และเป็นฝ่ายทักทายบรรดาแขกผู้หญิง โดยใช้ภาษาถู่เจียอีกด้วย
ซึ่งนี่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
องค์หญิงต้าจิ้นผู้นี้ แตกต่างจากที่พวกเขาคิดเอาไว้มากทีเดียว
พวกเขายังคิดว่าผู้หญิงที่มาจากที่นั่น ต้องร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน น้ำตาอาบแก้มตลอดเวลาเป็นแน่
และเมื่อมองดูราชสำนักอีกครั้ง ครั้งสุดท้ายที่พวกเขามาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ครั้งนี้เมื่อมาที่นี่อีกครั้งก็รู้สึกว่าที่นี่ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ชาวถู่เจียไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย เมื่อคนนำทางได้พาไปถึงกระโจมที่พัก และเห็นดอกดาวกระจายส่งกลิ่นหอมฟุ้ง บนโต๊ะยังมีขนม ของว่าง รวมถึงเหล้าชั้นดีวางเอาไว้พร้อมสรรพ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
เพราะหากเป็นก่อนหน้านี้ ของพวกนี้พวกเขาต้องจัดการกันเอง