บทที่ 599 สิ่งนี้จะทำให้ถู่เจียรุ่งเรืองไปอีกร้อยปี
ที่นี่มีชาวฮั่นอยู่มากมายจริง ๆ และเมื่อเห็นชางฉีจูงมือหญิงสาวที่งดงามในชุดสีแดงมา ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร!
นางก็คือองค์หญิงใหญ่แห่งต้าจิ้นของพวกเขา!
“ท่านข่าน เค่อตุน!”
“องค์หญิง!”
บรรดาช่างฝีมือที่กำลังฝึกกางกระโจมเองอยู่เมื่อได้ยินเสียงต่างก็ล้อมกันเข้ามา
“คารวะท่านข่าน องค์หญิง”
เอ่ยจบพวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เพราะยังไม่ชินกับการเปลี่ยนคำเรียกขาน กลัวว่าชางฉีจะไม่พอใจที่พวกเขายังเรียกองค์หญิงอยู่ ไม่ใช่เค่อตุน
โชคดีที่ท่านข่านแห่งถู่เจียที่ร่ำลือกันว่าโหดเหี้ยมผู้นี้ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ เพียงแค่ถามไถ่ด้วยความอ่อนโยน “เริ่มคุ้นชินหรือยัง มีอะไรต้องการให้ช่วยก็บอกมาได้เลย”
ความจริงแล้วชางฉีไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ที่เข้ามาในราชสำนักในฐานะสินเดิมของเจ้าสาวหมายความว่าอย่างไร
แต่ในเมื่อดวงจันทร์น้อยยืนกรานจะพาเข้ามา เขาก็จะไม่ถามอีก
และเซี่ยวั่งซูก็ไม่ใช่คนประเภทนั้น แม้แต่เสนาบดีจางและแม่ทัพหู่เปินที่มาที่นี่ในฐานะแขกผู้มีเกียรติก็ยังยอมปิดตา แสดงให้เห็นถึงความเคารพที่พวกเขามีต่อราชสำนักถู่เจีย
แต่การที่ชางฉีให้คนนอกเผ่ามากมายเพียงนี้เข้ามา เขาต้องแบกรับความกดดันอย่างมากเอาไว้ด้วย
“ชางฉี นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอกกับเจ้า ข้าพาช่างไม้ ช่างก่ออิฐ ช่างตีเหล็ก ช่างหิน ช่างหนัง…ช่างตัดเสื้อ สาวทอไหม”
ชางฉีรู้สึกประหลาดใจ คนเหล่านี้ได้เข้ามาคารวะแล้ว ก่อนหน้านี้ที่มีการคัดเลือกคนเหล่านี้ ก็ได้มีการปิดประกาศไปทั่วทั้งต้าจิ้น คนเหล่านี้ต่างรู้ดีว่าหากพวกเขาไปถู่เจียแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้กลับมาอีก ดังนั้นบางคนจึงพาครอบครัวมาด้วย ทำให้มีแม้กระทั่งเด็กทารกที่ยังอยู่ในห่อผ้า
“นอกจากนี้ยังมีเมล็ดพันธุ์พืชอีกมากมาย และคนพวกนี้ก็เป็นเกษตรกรที่มีประสบการณ์มานาน พวกเขาปลูกดอกไม้ ปลูกพืชผักได้ พวกเราก็สามารถพึ่งพาตนเองได้แล้ว”
ชางฉีเงียบลงเล็กน้อย พลางจ้องมองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
เซี่ยวั่งซูนับนิ้ว “ข้ายังได้นำหนังสือของต้าจิ้น มีงานฝีมือที่ทำเองมากมาย เมื่อถึงเวลาชาวถู่เจียก็จะสามารถรู้หนังสือ เรียนรู้สิ่งทอ เครื่องปั้นดินเผา ยังมียารักษาโรค เครื่องดนตรี…”
นางยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เมื่อเห็นชางฉีไม่พูดอะไร ทุกคนต่างก็รู้สึกกระสับกระส่ายไม่กล้าส่งเสียง
เซี่ยวั่งซูจึงเม้มริมฝีปาก “ข้าทำไม่ถูกอย่างนั้นหรือ?”
นางไม่ได้ดูถูกถู่เจีย นางเพียงแค่อยากทำให้ถู่เจียดีขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้พวกเขาจะมีทหารม้าและนักรบจำนวนมาก แต่การเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนก็มีข้อเสียมากเช่นกัน
ชางฉีได้สติขึ้นมา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ก่อนจะกุมมือนางเอาไว้ “ไม่ใช่ ข้าเพียงแค่ตกใจก็เท่านั้น คนที่เจ้าพามาไม่เพียงเป็นช่างฝีมือเท่านั้น”
แต่ยังเป็นสิ่งที่ล้ำค่าของต้าจิ้นด้วย!
ด้วยสิ่งเหล่านี้เขาก็สามารถสร้างเมืองขึ้นมาได้แล้ว สร้างเมืองหลวงของถู่เจียได้อย่างแท้จริง และยังทำให้ราษฎรได้ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งไม่ต้องคอยย้ายที่อยู่ตลอดเวลาอีก เมื่อมีหนังสือ ราษฎรก็จะสามารถรู้หนังสือ และไม่ต้องเดินทางไปทั่วเพื่อเลี้ยงสัตว์ในหน้าหนาวอีกแล้ว
ป่วยก็มียารักษา! และยังสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าเอาไว้ใช้เองได้ด้วย
ผ้าไหมของต้าจิ้นเป็นงานฝีมือที่ทำให้ผู้คนภายนอกต่างก็ตกตะลึง
ทว่านางกลับเอามันออกมาอย่างไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้!
ชางฉีจึงไม่รู้ว่าควรขอบคุณนางเช่นไร
ในที่สุดเซี่ยวั่งซูก็เห็นเขาพูดออกมา จึงยิ้มกว้างและจับมือของเขาไว้เช่นกัน “บนสาส์นบอกว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแคว้น นำมาซึ่งความรักใคร่กลมเกลียวต่อไปอีกนับร้อยปี ต้าจิ้นเป็นบ้านเกิดของข้า ถู่เจียเป็นบ้านใหม่ของข้า ราษฎรของทั้งสองแคว้นล้วนเป็นคนของข้าเช่นกัน ข้าจะรักและดูแลพวกเขาอย่างดี ไม่มีแบ่งแยก”
ชางฉีกลืนน้ำลายลงคอ ต่อหน้าคนอื่นเขาไม่ได้ทำอะไรเซี่ยวั่งซูมากไปกว่ากุมมือของนางเอาไว้แน่น
เขาตกใจอย่างมาก เวลานี้จึงมีคำพูดมากมายอยู่ในใจ
แต่สุดท้ายกลับพูดออกมาได้เพียงประโยคเดียวว่า “ดวงจันทร์น้อย เจ้ามีใจที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก”
หัวใจของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายอกสามศอกเลย ความกล้าหาญและความแน่วแน่ของนางยิ่งทำให้เขารู้สึกนับถือ
ก่อนที่นางจะมา ชางฉีไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับหญิงชาวฮั่นที่บอบบาง
แต่หลังจากที่นางมา ยิ่งได้พูดคุยเขาก็ยิ่งเข้าใจว่า ต้าจิ้นได้ส่งสมบัติที่ล้ำค่าเช่นไรมาให้เขา!
การยอมสงบศึกเพื่อนาง ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!
อาเอ่อร์ไท่มองท่านข่านของตัวเองอย่างโง่เขลา ไม่รู้ว่าเขาตื่นเต้นอะไรนักหนา
และความจริงแล้วอาเอ่อร์ไท่ก็ฟังไม่รู้เรื่องว่าเซี่ยวั่งซูพูดอะไร
เพียงแค่รู้สึกว่าองค์หญิงน้อยของต้าจิ้นหน้าตางดงามมากจริง ๆ สวยยิ่งกว่าซูตี๋หย่าไข่มุกที่สวยที่สุดแห่งทุ่งหญ้าด้วยซ้ำ
ผิวของนางขาวกระจ่างใส ไม่เหมือนผู้หญิงถู่เจียเลยสักนิด
เมื่อชางฉีหันหน้าไป ก็เห็นอาเอ่อร์ไท่กำลังจ้องมองดวงจันทร์น้อยของเขาอยู่
จึงเหยียดขาออกไปเตะ “มีอะไรต้องทำก็ไปทำ”
และเซี่ยวั่งซูก็ได้ไปคุยกับพวกช่างฝีมือแล้ว เพื่อดูว่าพวกเขาขาดเหลืออะไรหรือไม่
ชางฉีมองแผ่นหลังของนาง ดวงตาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟและความหลงใหล
“ท่านข่าน ท่านเตะข้าทำไมขอรับ ข้าก็แค่มองเพราะเห็นว่าเค่อตุนสวยก็เท่านั้นเอง!”
“สวยก็ไม่ใช่คนที่เจ้าสามารถมองได้”
อาเอ่อร์ไท่เกาหัว “คนที่เค่อตุนพามากำลังทำอะไรกันหรือขอรับ ต้องให้ข้าไปสอนพวกเขาเลี้ยงแกะหรือไม่ขอรับ?”
มาถู่เจียก็ต้องต้อนแกะต้อนวัวเป็น ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงฤดูหนาวจะเอาชีวิตรอดได้ยาก และไม่เหมาะที่จะไปขออาหารบ้านคนอื่น
“ไม่ต้อง ชาวต้าจิ้นเป็นคนฉลาด พวกเขามีวิธีการของตัวเอง เห็นเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นหรือไม่ พวกเขาจะทำนาที่นี่ ปลูกข้าวเหมือนที่ต้าจิ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร?”
อาเอ่อร์ไท่มีสีหน้าเปลี่ยนไป “พวกเขาต้องการให้ถู่เจียของเราเป็นเหมือนต้าจิ้นหรือขอรับ?”
ชางฉีตบที่ท้ายทอยของเขา “เจ้าคนใจแคบ! เมื่อมีอาหารพวกเราก็จะกินอิ่มนอนอุ่น ไม่ต้องเอาแต่กินอาหารแบบเดิม ๆ และพวกเราก็จะสามารถไปค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของกับแคว้นอื่นได้ นอกจากนี้พวกเรายังสามารถสร้างเมืองของเราได้ด้วย สร้างเมืองหลวงที่แท้จริง ลมจะพัดฝนจะตกก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว และไม่ต้องคอยย้ายที่อยู่ตลอดเวลาด้วย
นี่คือสิ่งที่จะทำให้ถู่เจียของเรากลายเป็นแคว้นที่แข็งแกร่ง สามารถลดเวลาลงไปได้เกือบร้อยปี เจ้ารู้หรือไม่ ว่านี่เป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่เพียงใด?”
เพราะนั่นคือความรู้ที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นโดยบรรพบุรุษของต้าจิ้น!
อาเอ่อร์ไท่กะพริบตาปริบ ๆ “เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาถึงเอามาถ่ายทอดให้พวกเราเล่าขอรับ?”
“เพราะคุณธรรมอย่างไรเล่า!
อาเอ่อร์ไท่ เจ้าต้องบอกทุกคนว่าต่อไปต้องเคารพเค่อตุนเช่นเดียวกับที่เคารพข้า เหมือนพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเอง และไปผูกมิตรกับช่างของต้าจิ้นเหล่านั้น สร้างมิตรภาพต่อกัน และนับถือว่าพวกเขาเป็นเหมือนญาติของพวกเรา”
อาเอ่อร์ไท่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าทราบแล้วขอรับ!”
“องค์หญิง ที่นี่สกปรกอย่าเข้ามาเลยขอรับ”
พวกเขากำลังประกอบเครื่องทอผ้ากันอยู่ เซี่ยวั่งซูจึงพูดขึ้นมา “ไม่เป็นอะไร ข้าก็อยากเรียนรู้ด้วย พวกเจ้าก็ทำงานของพวกเจ้าไป ส่วนข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
ชางฉีเปิดม่านตามเข้ามา เขาไม่รู้เรื่อง ดังนั้นจึงไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง
“ดวงจันทร์น้อย อีกเดี๋ยวข้าต้องพาคนออกไปล่าสัตว์ ข้าจะให้อาเอ่อร์ไท่อยู่เป็นเพื่อนเจ้า แล้วข้าจะรีบกลับมา”
เซี่ยวั่งซูพยักหน้ารับ “อืม ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย”
ชางฉีบีบจมูกของนาง “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าชักไม่อยากไปแล้ว”
เขาพูดจบสาวทอผ้าหลายคนของต้าจิ้นต่างก็หน้าแดง และมองเซี่ยวั่งซูไม่หยุด
“เอาละ เจ้ารีบไปเถอะ ข้ายังต้องยุ่งอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
“อืม!” เขาอาศัยตอนที่ไม่มีคนสังเกต โน้มตัวลงไปหอมแก้มของนางหนึ่งที แล้วจึงหมุนกายจากไป
“ความสัมพันธ์ระหว่างท่านข่านกับองค์หญิงช่างดีจริง ๆ!”
“ใช่แล้ว”
เซี่ยวั่งซูใบหน้าแดงเรื่อ ก่อนจะไปหยิบเส้นไหมที่อยู่ด้านข้างมาเกี่ยวไว้ที่มือเพื่อไม่ให้มันพันกัน
จื่อหลันเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก องค์หญิงเองก็คงชอบท่านข่านแล้วกระมัง
.