บทที่ 580 แข่งหม่าฉิว
อาจารย์ใหญ่หลินของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นได้มอบสิทธิพิเศษให้กับเสิ่นเยี่ยนชิว และได้ทำห้องห้องหนึ่งไว้ให้นางโดยเฉพาะ ในนั้นมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ
เพื่อสะดวกต่อเสิ่นเยี่ยนชิวเวลาที่จะต้องเปลี่ยนชุดหรือเข้าห้องน้ำ ไม่จำเป็นต้องไปเบียดกับเจ้าเด็กหน้าเหม็นพวกนั้น
ตั้งแต่ที่เสิ่นเยี่ยนชิวเข้ามาที่สำนักศึกษา เผยจี้ฉือก็ทำตัวติดกับนางราวกับเงาตามตัวตลอดเวลา อีกทั้งความรู้ของทั้งสองคนก็ใกล้เคียงกัน จึงสามารถถกเถียงกันได้เป็นวัน ๆ อยู่บ่อยครั้ง จนโหลวเฉิงเย่ไม่สามารถแทรกได้เลย
เมื่อเห็นเสิ่นเยี่ยนชิวจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โหลวเฉิงเย่ที่ตามหลังมาก็บ่นพึมพำออกมา “อาฉือ เจ้าตุ้งติ้งนั่นมีดีอะไรกัน เจ้าอย่าเอาแบบอย่างที่ไม่ดีจากเขามานะ”
อาฉือขมวดคิ้ว “ห้ามว่าเยี่ยนชิวเช่นนี้”
โหลวเฉิงเย่ถึงกับสะอึกทันที ดี! นี่เจ้าเปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่! มีคนใหม่ก็ลืมคนเก่า
แต่เมื่ออาฉือเดินไปถึงทางเข้าสนามก็ได้หยุดฝีเท้าลง เพื่อรอเสิ่นเยี่ยนชิวที่ไปเปลี่ยนชุดอยู่
“เหตุใดพวกเราต้องรอเขาด้วย เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว อาศัยเวลานี้ไปอบอุ่นร่างกายไม่ดีกว่าหรือ อีกเดี๋ยวจะได้ทำผลงานออกมาดี ๆ”
“หากเจ้ารีบเช่นนั้นเจ้าก็ไปก่อนเถอะ เขาเพิ่งมาเข้าเรียนได้ไม่ถึงสองวัน ข้ากลัวว่าอีกเดี๋ยวเขาออกมาแล้วจะหลงทางเอา”
“ชิ เจ้าบอกข้ามาตามตรงดีกว่าว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นคนของตระกูลใดกัน หวงไท่ซุนอย่างเจ้าดูแลเขาเช่นนี้ บรรพบุรุษของเจ้าเด็กนั่นคงสะสมบุญเอาไว้มากกระมัง”
อาฉือหมดคำจะพูด จึงตบบ่าของเขาเบา ๆ “มันไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด อีกอย่าง เยี่ยนชิวก็สมถะมาก”
โหลวเฉิงเย่เองก็รู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นเหมือนไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่ร่ำรวย และกิริยาท่าทางก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงอีกด้วย!
ไม่เหมือนเขา แข็งแรงมีพลัง! เหมือนทายาทของเนี่ยเจิ้งอ๋อง
“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ เจ้ารีบตามมาล่ะ”
“อืม”
เผยจี้ฉือไล่เขาเสร็จแล้ว เดิมทีต้องการจะอยู่รอเงียบ ๆ โดยทบทวนเนื้อหาสำคัญที่อาจารย์พูดในชั้นเรียนวันนี้ไปด้วย
แต่ก็เห็นว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้ เมื่อเห็นเขา คนที่เดินมาก็ตาเป็นประกายทันที “หวงไท่ซุนพ่ะย่ะค่ะ”
เผยจี้ฉือขมวดคิ้วแน่น เพราะคนที่มาก็คือลูกหลานของตระกูลเกาซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง
“คารวะหวงไท่ซุนพ่ะย่ะค่ะ” เกาเสียนคารวะ
“ข้าบอกหลายครั้งแล้วว่าอยู่ในสำนักศึกษาทุกคนล้วนเป็นนักเรียนเหมือนกัน เรียกชื่อเฉย ๆ ก็พอแล้ว”
เกาเสียนเกาหัว “ขอรับ”
“เจ้าไม่เข้าเรียนหรือ?” อาฉือเอ่ยถาม
เกาเสียนอึกอักเล็กน้อย “คืออย่างนี้ขอรับ พี่สาวข้ามาจากเมืองหลวงเพื่อมาเยี่ยมข้า นางจึงอยากจะมาร่วมชมวิชาหม่าฉิวของพวกเราด้วย ท่านช่วยอนุโลมให้หน่อยจะได้หรือไม่?”
เผยจี้ฉือจึงตอบกลับไป “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าย่อมอนุญาตอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องผ่านการตรวจสอบของคนเฝ้าประตูก่อน เพราะที่นี่ไม่สามารถพาคนเข้ามาส่งเดชได้”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะกลับไปบอกยอดฝีมือเหล่านั้นเดี๋ยวนี้”
เกาเสียนรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
อาฉือถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย เขาก็อยากให้ท่านแม่ น้อง ๆ และท่านพ่อมาดูเขาแข่งหม่าฉิวเหมือนกัน
เมื่อเสิ่นเยี่ยนชิวเปลี่ยนมาสวมชุดขี่ม้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงได้เดินไปที่สนามแข่งพร้อมกัน เวลานี้ทุกคนก็เริ่มฝึกซ้อมกันแล้ว
ใต้ร่มไม้ข้าง ๆ มีเด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงหรูหราหลายคนยืนอยู่ โดยม้วนผมเป็นมวยสูง มองไกล ๆ ก็ราวกับสาวงามนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้จริง ๆ
ดูท่าเกาเสียนคงมีพี่สาวหลายคนกระมัง
อาฉือเพียงแค่ปรายตามองเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่สนามแข่งกับเสิ่นเยี่ยนชิว
“พี่เกา นั่นก็คือหวงไท่ซุนเจ้าค่ะ” เด็กสาวหลายคนต่างก็พูดเอาใจเด็กสาวที่อยู่ด้านหน้าสุด
เกาซิ่วปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “พวกเจ้าอย่าตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เพราะจะทำให้หวงไท่ซุนหัวเราะเยาะเอาได้”
“เจ้าค่ะ”
เกาซิ่วยกยิ้มที่มุมปากอย่างสมใจ แววตาก็เริ่มพิจารณาเผยจี้ฉือ
เผยจี้ฉือพูดขึ้นมา “พี่น้องพบหน้ากันเป็นเรื่องดี คาดว่านางคงคิดถึงน้องชายกระมัง แล้วเจ้าจับสลากได้ฝ่ายใด?”
“ฝ่ายน้ำเงิน”
เผยจี้ฉือจึงเข้าไปจับสลากบ้าง ก่อนจะหยิบได้เชือกสีแดงเส้นหนึ่ง
โหลวเฉิงเย่หน้ามุ่ยลงทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน! สวรรค์อยากแยกเขากับหวงไท่ซุนหรืออย่างไร!?
แต่เป็นเสิ่นเยี่ยนชิวที่จับได้ฝ่ายน้ำเงิน โดยที่เกาเสียนกับอาฉือได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน
“เฉิงเย่ ดูแลเยี่ยนชิวให้ดี! หากรังแกเขาละก็ ข้าจะอัดเจ้าคอยดู” หลังจากอาฉือพูดจบ ใบหน้าของโหลวเฉิงเย่ก็ยิ่งบึ้งตึงมากขึ้น
“ตามมาดี ๆ อย่าขัดแข้งขัดขาข้าล่ะ”
เขาไปที่ข้างคอกม้าและเลือกม้าตัวที่เชื่องที่สุดออกมา “อะ เจ้าขี่ตัวนี้ก็แล้วกัน”
เสิ่นเยี่ยนชิวลูบม้าตัวเมียตัวนั้นเบา ๆ “ขอรับ ขอบคุณพี่เฉิงเย่”
บัดซบ! พี่อะไรกัน
โหลวเฉิงเย่กระแอมเล็กน้อย “รู้หรือไม่ว่าหม่าฉิวเล่นอย่างไร?”
เสิ่นเยี่ยนชิวจึงตอบกลับไปว่า “แม่ข้าเล่นเป็น”
“โอ๊ะ แม่เจ้าเล่นหม่าฉิวเป็นด้วยหรือ เก่งขนาดนั้นเลยหรือ แล้วเล่นกับใคร แต่พูดไปแล้วพวกฮูหยินและคุณหนูในเมืองหลวงต่างก็เล่นเป็นกัน ทว่าผู้ชายเช่นพวกเราไม่ได้เล่นกันสุภาพเพียงนั้นหรอกนะ ดังนั้นเจ้าระวังตัวหน่อยก็ดี”
เสิ่นเยี่ยนชิวหยิบไม้ตีขึ้นมา “อืม ข้าจะเล่นตามที่แม่ข้าสอน”
ตอนที่ท่านแม่อยู่ในกองทัพกับท่านตา สามารถเอาชนะทหารทั้งกองทัพได้เชียวนะ!
โหลวเฉิงเย่ไม่เชื่อว่านางจะเล่นเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นนางก้าวเท้าสั้น ๆ เดินไปทางม้าตัวเมียสีขาวตัวนั้น จู่ ๆ เปลือกตาของเขาก็กระตุกขึ้นมา
ทว่าเมื่อโหลวเฉิงเย่หมุนตัวไป ท่าขึ้นม้าของเสิ่นเยี่ยนชิวนั้นกลับรวดเร็วและสง่างามอย่างมาก ไม่มีเก้ ๆ กัง ๆ เลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็หมุนข้อมือเล็กน้อย ไม้ตีนั่นก็ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับมือของนาง
แม้แต่บรรดายอดฝีมือหลายคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่บนชายคาก็ยังถูกการเคลื่อนไหวที่สวยงามนี้ดึงดูดความสนใจเช่นกัน
“ไม่เป็น แต่ตาของนางเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมณฑลกวางสี ได้ยินมาว่าลูกสาวของผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝีมือไม่เลว คาดว่าคงเรียนจากแม่ของนางกระมัง”
“อืม เช่นนั้นก็คุ้มค่าที่จะรอดูทีเดียว”
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงฆ้องและกลองที่ดังกระหึ่ม เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งต่างก็เตรียมพร้อมแล้ว ทว่าเพิ่งเตรียมตัวจะคว้าโอกาส ใครจะคาดคิดว่าจะมีคนเหวี่ยงไม้อย่างรวดเร็ว พาลูกฉิวนั้นไปทางประตูของฝ่ายสีแดงแล้ว
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง “เร็ว รีบตามไป!”
อาฉือเองก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยนชิวจะเล่นหม่าฉิวได้เก่งเพียงนี้!
เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงตกตะลึงอยู่ เสิ่นเยี่ยนชิวก็ส่งลูกฉิวให้กับโหลวเฉิงเย่ โหลวเฉิงเย่รับเอาไว้ได้ แต่เมื่อเห็นว่ามีคนของฝ่ายตรงข้ามมาขวางเอาไว้ เขาจึงโยนกลับไปให้นางอีกครั้ง
พริบตาต่อมา ไม้ตีถูกเหวี่ยงขึ้นมาหนึ่งที! ลูกฉิวก็เข้าประตูไปแล้ว!
นี่เพิ่งจะเริ่ม ลูกฉิวก็เข้าประตูไปหนึ่งลูกแล้วอย่างนั้นหรือ?
เกาซิ่วรู้สึกประหลาดใจ “นั่นเป็นคุณชายน้อยตระกูลใดกัน?”
“ไม่คุ้นหน้าเลยเจ้าค่ะ แต่สำนักศึกษาชิงอวิ๋นมีคนทุกแบบ ไม่แน่อาจเป็นลูกหลานคนธรรมดาก็ได้นะเจ้าคะ”
เกาซิ่วคิดไปคิดมาก็จริง ก่อนจะหยิบลิ้นจี่บนถาดขึ้นมาแล้วพูดว่า “ลองชิมดูสิ นี่เป็นลิ้นจี่กั่วลวี่จากเมืองเจิงเฉิง”
บรรดาแม่นางน้อยจากตระกูลใหญ่อื่น ๆ หากเป็นเมื่อก่อนการได้กินลิ้นจี่กั่วลวี่จากเมืองเจิงเฉิงคงสามารถเอาไปอวดได้อีกนาน แต่ตอนนี้ในหมู่บ้านตระกูลเฉินก็มีลิ้นจี่ขายเช่นกัน และตำบลฉาซู่ยังมีเฉ่าเหมยและอิงเถาขายด้วย พวกนางสามารถหาซื้อได้ทุกที่
เกาซิ่วจึงพึมพำกับตัวเอง “ของมีชื่อก็คือของมีชื่อ ผู้สูงศักดิ์ก็คือผู้สูงศักดิ์ ของที่คนบ้านนอกกิน ข้าไม่กินด้วยหรอก”
ทุกคนโมโหแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะการที่พวกนางมากับเกาซิ่วก็เป็นความตั้งใจของคนที่บ้าน
ทางด้านนี้ ฝ่ายแดงก็สามารถทำประตูได้แล้วหนึ่งลูก สองฝ่ายผลัดกันได้ผลัดกันเสีย และเสิ่นเยี่ยนชิวก็ค่อย ๆ กลายเป็นคนสำคัญของฝ่ายน้ำเงิน แม้แต่โหลวเฉิงเย่ก็มองนางเปลี่ยนไปเช่นกัน
“ฝีมือไม่เลยนี่นาเสี่ยวชิว แม่เจ้าคงเป็นราชาของหม่าฉิวกระมัง”
เสิ่นเยี่ยนชิวก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเก่งเพียงนี้ แต่ก็ยังถามออกไปตามความเป็นจริง “เป็นเพราะทุกคนเล่นไม่เก่งหรือไม่?”
โหลวเฉิงเย่ “???”
ช่างเถอะ ข้าขอเก็บคำที่ชมเจ้าไปคืนมาก็แล้วกัน! ฮือ ๆ ๆ เกินไปแล้ว
เสิ่นเยี่ยนชิวมองโหลวเฉิงเย่ที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป “???”
.
.
.