บทที่ 574 กลองศึกดังขึ้น วีรบุรุษกลับมา
หลิ่วเผิงเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว เขาจึงตะโกนด่าคนที่อยู่ด้านบน “พวกสุนัขกองทัพทหารเกราะเหล็ก เก่งจริงก็ลงมาสู้กับข้าซึ่ง ๆ หน้าสิ ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เอาแต่มุดหัวอยู่บนนั้น กลัวอะไรกัน!”
ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบกลับมาจากด้านบน ผ่านไปพักใหญ่ก็มีเสียงที่สุภาพเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “หากผู้น้อยจำไม่ผิดละก็ เป็นตัวท่านเองที่สู้ไม่ได้จึงหลบเข้ามาในนี้เองไม่ใช่หรือ ท่านได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายชั่วยามไม่ดีหรืออย่างไร?”
เสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนนี้ เหยียดหยามเสียยิ่งกว่าถูกผู้ชายหยาบกระด้างด่าทอต่อหน้าธารกำนัลเสียอีก!
เว่ยเจ๋อเซิงไม่รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดเลยสักนิด
ขณะที่ไป๋จิ่นไปทำไก่ย่างและหมูตุ๋นมานิดหน่อย ตอนนี้ใครติดตามจี้จือฮวนแล้วไม่ติดใจเนื้อเสียบไม้ย่างบ้าง!
และเป็นอย่างแรกที่ต้องเตรียมเวลาพักค้างแรม
หลังจากได้ยินดังนั้น เนี่ยเทียนโฉวก็ดึงหลิ่วเผิงหนึ่งที “ออมแรงเอาไว้ดีกว่า”
พวกเขาออกเดินทางกันต่อ ทหารที่เหลือเหล่านั้นก็ไม่กล้าขยับอีก
เนี่ยเทียนโฉวก็ไม่ได้บังคับ เวลานี้หากอยู่กับพวกเขา แล้วกองทัพทหารเกราะเหล็กที่อยู่ด้านบนบอกว่าฆ่าพวกเขาแล้วจะได้รางวัล พวกเขาสามคนอาจถูกทหารเหล่านั้นตัดหัวก็เป็นได้
ทว่าตอนที่เดินผ่านหน้าของพวกเขาไป เนี่ยเทียนโฉวก็ยังคงมองเห็นความกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะฆ่าของพวกเขาอยู่ดี
“พวกเจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือที่จะยอมจำนน?”
“เข้ามาในหุบเขาวิญญาณแล้วมีใครที่ได้กลับออกไปบ้าง แต่หากทุกคนอยู่รวมกันอย่างน้อยยังมีคนคอยดูแล”
ทหารเหล่านั้นได้ยินก็หัวเราะเยาะขึ้นมา “อยู่เป็นวัวเป็นม้าให้พวกเจ้าอย่างนั้นหรือ จะดูดเลือดพวกเราอีกหรือไม่ กองทัพทหารเกราะเหล็กมาที่นี่ก็เพราะพวกเจ้า เกี่ยวอะไรกับพวกเรากัน?”
เนี่ยเทียนโฉวมองสีหน้าของพวกเขาก็รู้ได้ทันที มีบางคนไม่ยอมถอย เช่นนั้นก็ต้องสู้ตายกับพวกเขาแล้ว
ติงหม่านลอบหยิบอาวุธออกมาอย่างเงียบ ๆ เนี่ยเทียนโฉวก็ฉีกผ้าออกและพันกระบี่ไว้กับมือของตัวเอง
ส่วนหลิ่วเผิงเพียงแค่ขมวดคิ้ว ก่อนจะตรงเข้าไปฆ่าทหารเหล่านั้นในทันที
เห็นได้ชัดว่าทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสามคน ไม่นานก็ถูกพวกเขาฆ่าจนถนนสายนั้นนองไปด้วยเลือด
ทหารชั้นผู้น้อยที่เหลือจึงไม่กล้าไล่ตามอีก แต่ละคนต่างก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
“พวกเราไม่ต้องสนใจพวกเขาอีกแล้ว หาทางออกให้เจอ ออกไปแล้วค่อยว่ากัน กองทัพทหารเกราะเหล็กไม่มีทางฆ่าพวกเราหรอก!”
ส่วนทั้งสามคนกลับหนีเข้าไปด้านในที่ลึกเข้าไปอีก
หนึ่งวันผ่านไป ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วยาม หุบเขาวิญญาณก็กลายเป็นนรกบนดินอีกครั้ง
ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการจะออกไป ก็มักจะเจอกับอุปสรรคมากมาย
สองวันผ่านไป…
พวกเขาไม่มีแรงที่จะต่อสู้อีกต่อไป แต่ก็ยังอยากมีชีวิตรอด
ทุกวันจะได้กลิ่นหอมของอาหาร ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทหารเกราะเหล็กเหล่านั้นอยู่ด้านบน แต่พวกเขากลับทำได้เพียงนั่งรอความตายอยู่ตรงนี้
วันที่สาม…
วันที่สี่
จู่ ๆ เนี่ยเทียนโฉวก็สลบไป บาดแผลของเขาแย่ลงอย่างรวดเร็ว ติงหม่านไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่หลิ่วเผิงกลับรู้สึกว่าหากเนี่ยเทียนโฉวจากไปอีกคน พวกเขาสองคนคงทำได้แค่รอความตายแล้ว
เพราะเนี่ยเทียนโฉวเป็นคนเดียวที่ฉลาดที่สุด
ทว่าเนี่ยเทียนโฉวไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้กินข้าว ไม่มียารักษา เป็นไข้สูงมาหลายวันแล้ว ไหนเลยยังจะสามารถช่วยได้อีก
แต่ไป๋จิ่นจะให้เขาตายง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
แน่นอนว่าไม่มีทาง
ขณะที่ติงหม่านเข้าไปหารือกับหลิ่วเผิง “อย่างไรเสียเขาก็จะตายอยู่แล้ว เห็นแก่ที่เป็นสหายกัน ไม่สู้ข้าจบชีวิตให้เขาเองเป็นอย่างไร?”
หลิ่วเผิงกดเสียงต่ำลง “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร ไหน ๆ เขาก็จะตายอยู่แล้ว อาศัยตอนที่ยังไม่เน่ากินเนื้อของเขาไม่ดีกว่าหรือ!?”
แววตาของหลิ่วเผิงฉายแววลังเล แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเศร้าสร้อย “เจ้ากับข้าภายหน้าก็ต้องดูว่าใครจะตายก่อน จากนั้นก็กินอีกคนให้หมด แล้วพวกเราจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้จริง ๆ หรือ?”
ติงหม่านเผยสีหน้าสิ้นหวัง และเริ่มโทษฟ้าดิน สาปแช่งสวรรค์ที่ไม่ยุติธรรม
และในตอนนั้นเองหนอนกู่ตัวหนึ่งก็ค่อย ๆ เข้าไปในหูของเนี่ยเทียนโฉว เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ
พวกหลิ่วเผิงหันหน้าไป ก็เห็นเนี่ยเทียนโฉวลุกขึ้นมาและมีท่าทางแปลกประหลาด
“เทียนโฉว!”
ติงหม่านคว้าหลิ่วเผิงที่จะเดินเข้าไปเอาไว้ “เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าเขาไม่ปกติ!”
“วิ่ง!”
ทั้งสองคนวิ่งไปข้างหน้า แต่หลังจากวิ่งเข้าไปในหมอกก็พบว่ามีซากศพเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ทั้งหมดคือศพของทหารที่แยกกับพวกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน สภาพศพของพวกเขาน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก คนเหล่านี้ล้วนเป็นมือดีในกองทัพของพวกเขา บนร่างของพวกเขาต่างก็มีอาวุธของทุกเมืองที่หลอมขึ้นมาปักเอาไว้
สถานการณ์เช่นนี้เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด
เพื่อเป็นที่ระลึก พ่อของพวกเขายังได้หาจิตรกรมาวาดภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย เพราะถือเป็นผลงานที่พ่อของพวกเขาภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว
และในเวลานี้ ต่อให้พ่อของพวกเขาจะตายไปแล้ว ก็คงคิดไม่ถึงว่าลูกหลานของพวกเขา จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพที่พวกเขาภาคภูมิใจ
และไม่ไกลกันนัก สิ่งที่แขวนอยู่บนก้อนหินนั้น กลับเป็นซากศพเน่าเปื่อยที่ถูกขุดมาจากหลุมศพบรรพบุรุษของพวกเขา
จากนั้นหนังสือเลือดที่มีตัวอักษรหนึ่งแถวก็ปลิวมาตามสายลม
‘เลือดต้องล้างด้วยเลือด’
ติงหม่านเห็นเช่นนั้นแข้งขาก็พลันอ่อนแรง ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างคนที่ไร้เรี่ยวแรง
เสื้อผ้าบนร่างของศพนั้น เขาเป็นคนเลือกให้พ่อของเขาเอง เขาจะลืมมันได้อย่างไรกัน
หลิ่วเผิงกำมือทั้งสองข้างจนแน่นและมีเลือดไหลลงมาตามง่ามนิ้ว หมอกหนาทึบโรยตัวปกคลุมอีกครั้ง จากนั้นเสียงร้องของภูตผีและเสียงเห่าหอนของหมาป่าในป่าหินก็ดังขึ้นมา
ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทรมานรอบใหม่ และคนที่ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้พักผ่อนอย่างมากก็คงทนได้อีกแค่สามวันเท่านั้น
ส่วนติงหม่านที่เป็นคนสุดท้าย หลังจากเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม เขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายต่อหน้าพ่อผู้ล่วงลับของตัวเอง
ส่วนเนี่ยเทียนโฉวที่ถูกหนอนกู่ควบคุมผู้นั้นก็ถูกธนูยิงจนตายเช่นกัน
ศพเหล่านี้ล้วนอยู่ในท่าคุกเข่า
ราวกับว่าพวกเขามาเพื่อชดใช้บาป
…
ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทว่าดวงวิญญาณของวีรบุรุษกลับไม่มีที่สิงสู่
สายลมได้โหมกระหน่ำ ก่อนจะเผยให้เห็นกระดูกสีขาวมากมายที่ทับถมกันอยู่ใต้ผืนทราย ดวงวิญญาณคนตายนับแสนดวง วันนี้ความแค้นได้รับการชำระ บ้านเมืองก็กลับคืนมาอีกครั้ง
ราษฎรชาวหลงซีทั้งแปดเมืองจะไม่มีวันลืมวันนี้ไปจนตาย ธงของต้าจิ้นถูกปักไว้บนกำแพงเมืองอีกครั้ง เงินกระดาษปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงแตรที่ดังระงม เพราะโครงกระดูกมากมายที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินถูกทหารเกราะเหล็กขุดขึ้นมาหมดแล้ว
พวกเขาถอดหมวกออก ก่อนจะนำธงต้าจิ้นที่เตรียมมาคลุมลงไปบนโครงกระดูกเหล่านั้น
ทุกคนในกองทัพต่างยืนสงบนิ่ง เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ที่เสียสละเหล่านี้
พวกเขาสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง พวกเขาคือวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าจิ้น
พวกเขาจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของชาวต้าจิ้นตลอดกาล ควรค่าที่จะได้รับการบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์
ว่าพวกเขายอมสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองเช่นไร!
และรายชื่อทหารหนึ่งแสนนายในขณะนั้นก็จะถูกรวบรวม และสร้างเป็นอนุสาวรีย์ตั้งตระหง่านอยู่ในหลงซีทั้งแปดเมืองนี้ตลอดไป
ต้องให้ชาวต้าจิ้นและผู้คนที่นี่จดจำเอาไว้ว่า เคยมีคนสละชีวิตเพื่อพวกเขามากเพียงใด พวกเขาคือวีรบุรุษที่ไร้นาม และควรค่าแก่การจดจำตลอดไป
ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าบ้านเมืองที่พวกเขาปกป้องด้วยชีวิต ภายหน้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด!
“ด้วยน้ำพระทัยและคุณธรรมอันสูงส่งของฮ่องเต้
บ้านเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
เมื่อมองย้อนกลับไป กำแพงเมืองที่เตี้ยเท่าหลังม้า
เมื่อเข้าไปใกล้เราจะเห็นแม่น้ำฮวงโหที่ไหลมาจากทางเหนือ
อำนาจแห่งสวรรค์ส่งลงมายังประตูด่าน
คนเถื่อนในหมื่นลี้ต่างขับขานเพลงฮั่น!
ด้วยน้ำพระทัยและคุณธรรมอันสูงส่งของฮ่องเต้
วันนี้เราได้ประกาศชัยชนะ
บ้านเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องเปิดสมัยที่รุ่งเรือง มีขุนนางผู้ภักดีคอยเกื้อกูล
หลังจากหยุดทำสงครามก็จะกลายเป็นบ้านเมืองที่สงบสุข!”
กลองศึกดังขึ้น วีรบุรุษกลับมา!
ทหารทุกคนต่างร่วมร้องเพลงโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ ก้องกังวานขึ้นเรื่อย ๆ หลังของพวกเขาก็ตั้งตรงขึ้นเรื่อย ๆ!
กองทัพทหารเกราะเหล็กจากที่เคยรุ่งเรืองก็ตกต่ำลง แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และยึดบ้านเกิดเมืองนอนคืนมา บัดนี้พวกเขาไม่รู้สึกผิดต่อพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ และฟ้าดินอีกแล้ว!
นับแต่นี้ไป บ้านเมืองจะมีแต่ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง!
.
.