บทที่ 558 ข่าวดี
ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ไม่นานก็ล้มลงไปทีละคน
โชคดีที่เรือนของกองทัพทหารเกราะเหล็กว่างอยู่หลายหลัง จึงได้ทำความสะอาดสามสี่ห้องเพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อน
เมื่อไท่ซ่างหวงกลับมาคนกลุ่มนี้ก็ไม่มีแรงมีปัญหาใด ๆ ได้อีกแล้ว เพียงแค่อยากกินข้าวร้อน ๆ สักคำเท่านั้น
ใครจะคิดว่าตอนที่พวกเขาขออาหารจากชาวบ้าน หวงไท่ซุนก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดไม่ทราบได้ และถามพวกเขาด้วยสีหน้าใสซื่อว่าต้องการอดอาหารประท้วงต่อไปหรือไม่
บางคนเริ่มทนไม่ไหว จึงคิดที่จะปล่อยไป
อย่างไรเสียอาศัยแค่ที่นาที่จะถูกยึดคืนเพียงแค่นั้นก็ไม่พอเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ราชสำนักไม่ตรวจสอบและอายัดที่ดินที่เหลือของพวกเขา รวมถึงไม่สั่งตรวจสอบปัญหาอื่นก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว
อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังมีร้านค้าใหญ่อื่น ๆ อีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ การสละที่นาเพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
คนส่วนใหญ่จึงยอมจำนนเพื่อให้ตัวเองอิ่มท้อง แต่คนที่ยังอยู่ก็คือตระกูลใหญ่ที่เริ่มตกต่ำเหล่านั้น
สำหรับคนอื่นแล้วที่นาเพียงเท่านี้ไม่นับว่ามากมายอะไร แต่หากเก็บภาษีขึ้นมานั่นเท่ากับถลกหนังของพวกเขาชัด ๆ ภายหน้าหากยังต้องการจะรักษาชีวิตที่สุขสบายเอาไว้ เกรงว่าคงไม่สามารถทำได้อีกแล้ว
สถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อเช่นนี้ สุดท้ายก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้น
คนแค่สองคนจะสามารถทำอะไรได้ ดังนั้นพวกเขาจึงลุกขึ้นอย่างเศร้าสร้อย และยอมกลับไปในที่สุด
นี่หากเป็นตอนที่บ้านเมืองวุ่นวาย เกรงว่าพวกเขาคงต้องสร้างปัญหาให้ได้เป็นแน่ แต่ขุนศึกหลักทั้งสี่ไม่อยู่แล้ว เผยยวนมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และจะมีกองทัพใดสามารถเทียบกับเขาได้
ไม่ต้องพูดถึงกองทัพเรือของเจียงหนาน เพราะตอนนั้นเนี่ยเจิ้งอ๋องไปช่วยแก้ไขให้ ทำให้ตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกับกองทัพทหารเกราะเหล็กเป็นอย่างมาก
ส่วนเจิ้นเป่ยอ๋องก็ได้ยินมาว่าตอนนี้เขาไปเป็นกำลังเสริมให้แนวหน้าอีกด้วย
กองทัพในมือเขาก็มีห้าหมื่นคนเช่นกัน ซึ่งไม่อาจประมาทได้เลย ที่สำคัญมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องและเผยยวนเป็นสหายที่ดีต่อกัน
เมื่อคิดเช่นนี้หากพวกเขายังดื้อดึง และกล้าเปิดศึกกับราชสำนัก ถกเถียงกันว่าใครสูงต่ำกว่าอีกละก็ เช่นนั้นคนที่ต้องหัวขาดก่อนคงมีเพียงพวกเขาแล้ว
อาฉือส่งคนสุดท้ายกลับไปแล้ว จึงได้เดินหาวเข้ามาในลานบ้าน ทันทีที่เขาปิดประตูรั้ว เสิ่นเยี่ยนชิวก็โผล่หน้าออกมาจากห้องครัวเล็ก กวักมือเรียกเขาแล้วพูดเบา ๆ “อาฉือ”
อาฉือเดินขยี้ตาไปทางนาง ในลานบ้านเทียนในห้องอื่น ๆ ต่างก็ดับหมดแล้ว ไท่ซ่างหวงกับองค์หญิงใหญ่ก็หลับไปแล้วเช่นกัน แต่เหตุใดนางถึงยังอยู่ที่นี่อีกเล่า?
เสิ่นเยี่ยนชิวเปิดฝาหม้อใบใหญ่ “ข้าทำเกี๊ยวไว้ให้เจ้านิดหน่อย กินแล้วย่อยง่ายแน่นอน กินแล้วค่อยนอนเถอะ”
อาฉือรู้สึกหิวจริง ๆ เพราะวันนี้เขากินไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น และไม่กล้ากินเยอะเกินไป
“ดึกป่านนี้แล้ว ที่เจ้ายังไม่นอนก็เพราะทำเกี๊ยวให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“อื้อ ข้าเห็นวันนี้เจ้ารับมือกับพวกเขาเปลืองพลังไปไม่น้อย” เสิ่นเยี่ยนชิวเอ่ยไปก็ยิ้มให้เขาไป
เพราะทำอาหารจึงมีเหงื่อบาง ๆ ผุดออกมาบนหน้าผาก
อาฉือจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยซับให้นาง “เมื่อก่อนอาอินก็ชอบทำมื้อดึกให้ข้า”
“ข้าไม่เคยเจอน้องอาอิน แต่ได้ยินว่ามีพละกำลังเยอะมาก สามารถทำงานได้หลายอย่าง เป็นเด็กผู้หญิงที่ขยันมาก”
เสิ่นเยี่ยนชิวตักเกี๊ยวใส่ชาม เกี๊ยวน้อยที่อ้วนกลมลอยอยู่ด้านบน นางเพิ่มสาหร่ายทะเลและกุ้งแห้งลงไปเล็กน้อย ยังมีผักดองรสเผ็ดหั่นเต๋าที่เค่ออวิ๋นไหลส่งมานั่นอีก เสิ่นเยี่ยนชิวยังเอาไข่ทอดมาหั่นเป็นฝอย ๆ โรยไว้ด้านบน ก่อนจะเหยาะน้ำส้มสายชูและน้ำมันงาอีกเล็กน้อย
“รีบชิมเร็ว ข้าเรียนมาจากท่านย่าหยาง ได้ยินว่าเป็นสูตรของพระชายา แต่ไม่รู้ว่ารสชาติจะใกล้เคียงหรือไม่”
แววตาของอาฉือสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะยกชามขึ้นมา ทั้งสองนั่งกินเกี๊ยวด้วยกันบนโต๊ะไม้ตัวเล็กข้างเตา เมื่อเป่าเกี๊ยวร้อน ๆ ก็จะได้กลิ่นหอมสดชื่นลอยขึ้นแล้ว น้ำแกงกลมกล่อม หลังจากกัดลงไปหนึ่งคำ เนื้อแม้ว่าจะใส่ไม่มาก แต่เมื่อกินกับน้ำแกงก็เพียงพอให้หนักท้องได้
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เสิ่นเยี่ยนชิวถามด้วยความคาดหวัง
อาฉือดวงตาเป็นประกาย “ใกล้เคียงกับที่ท่านแม่ทำมากทีเดียว”
เสิ่นเยี่ยนชิวได้ยินก็ดีใจอย่างมาก จึงตักเกี๊ยวอีกสองตัวจากชามของตัวเองให้เขา “เช่นนั้นเจ้าก็กินเยอะ ๆ นะ”
ทันใดนั้นอาฉือก็รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ เหมือนสามีภรรยาในหมู่บ้านที่ใช้ชีวิตธรรมดา ๆ เป็นอย่างมาก
ความจริงแล้วความเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งงานของเขานั้นมีน้อยอย่างมาก เพราะอาชิงมักพูดกับเขาว่า โตไปแล้วจะแต่งงานกับท่านแม่ เป็นสามีของท่านแม่
ทว่าเขากลับไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่ชัดเจนกับอาชิงได้ แต่เขารู้ว่าว่าที่ภรรยาของเขาจะต้องเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่การเป็นแม่ของแผ่นดินต้องเรียนรู้อะไรมากมาย และจะต้องเหนื่อยใจอย่างมาก อีกทั้งตอนนั้นชีวิตในวังของท่านแม่ของเขาและท่านย่าต่างก็ไม่ได้มีความสุข
เขาจึงอยากให้เสิ่นเยี่ยนชิวมีความสุข และอยู่กันไปจนแก่เฒ่า
บางทีอาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากจี้จือฮวน เขารู้สึกว่าสามีภรรยาควรมีกันและกันแค่สองคนก็พอแล้ว เกินมาหนึ่งคนก็ถือว่าเกินความจำเป็น
ขณะที่อาฉือกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นว่าเสิ่นเยี่ยนชิวจะตักเกี๊ยวให้เขาอีก จึงรีบเอ่ยขึ้นมา “เจ้าก็กินด้วยสิ อย่าเอาแต่ตักให้ข้า เท่านี้ข้าก็อิ่มแล้ว”
“ข้าเห็นช่วงนี้เจ้าผอมลง องค์หญิงใหญ่ก็ทรงบ่นอยู่ว่าจะให้เจ้ากินอะไรบำรุงร่างกายดี”
อาฉือได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างมาก ทั้งสองคนนั่งกินเกี๊ยวร้อน ๆ ด้วยกัน ความเหนื่อยล้าที่ต้องรับมือกับคนเหล่านั้นมาทั้งวันก็มลายหายไปแล้ว
ตอนนั้นเองที่หน้าต่างก็มีเสียงกระพือปีกดังขึ้น
เสิ่นเยี่ยนชิวจึงลุกไปเปิดหน้าต่าง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นนกตัวใหญ่ที่อยู่นอกหน้าต่าง จนแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“อาฉือระวัง!” เมื่อเห็นอาฉือลุกขึ้นจะเข้าไปใกล้ เสิ่นเยี่ยนชิวก็รีบเอ่ยขึ้นมา
“ไม่เป็นไร มันคือนกพิราบสื่อสารที่บ้านของเราเลี้ยงเอาไว้”
ตอนนี้พึ่งพาแค่หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อในการส่งข่าวกลับไปกลับมาก็ไม่ทันแล้ว ดังนั้นหมู่บ้านตระกูลเฉินจึงเลี้ยงนกพิราบเพิ่มอีก เพื่อความสะดวกในการสื่อสารระหว่างทั้งสองฝ่าย
ประกอบกับองค์หญิงใหญ่เองก็ต้องติดต่อกับถูลี่ เช่นนี้ก็จะได้สะดวกขึ้น
เสิ่นเยี่ยนชิวไม่ได้สังเกต ตอนนี้เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ นกพิราบตัวนั้นก็หุบปีกลงแล้ว จึงได้มองออกว่ามันเป็นนกพิราบตัวหนึ่งจริง ๆ “เหตุใดนกพิราบที่หมู่บ้านของข้าไม่เห็นตัวใหญ่เช่นนี้เลยล่ะ”
“แม่ข้าเป็นคนให้อาหาร แต่ละตัวจึงค่อนข้างใหญ่” อาฉือเอ่ยจบก็ดึงจดหมายมา เมื่อเห็นข่าวในจดหมายก็ดีใจ จึงหมุนตัวไปมาอย่างมีความสุข
เสิ่นเยี่ยนชิวไม่เคยเห็นเขาดีใจเช่นนี้มาก่อนจึงเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านแม่ข้าตั้งครรภ์แล้ว ข้าจะมีน้องแล้ว” อาฉือรีบวิ่งออกไปด้านนอก เพื่อขอพรกับพระจันทร์บนท้องฟ้า
“เทพบนสวรรค์ ท่านแม่ของข้าบัดนี้ได้มาลงหลักปักฐานที่นี่แล้ว พวกท่านอย่าให้นางไปที่ใดอีกเลยนะขอรับ ข้าจะกตัญญูต่อนางและดูแลน้อง ๆ อย่างดีแน่นอนขอรับ”
“อาฉือ เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน?” เสิ่นเยี่ยนชิวได้ยินเขาพึมพำกับตัวเองด้วยความดีใจ ก็อดถามด้วยความสงสัยขึ้นมาไม่ได้
รอยยิ้มที่มุมปากของอาฉือไม่จางหายไปเลย “เยี่ยนชิว ข้าดีใจยิ่งนัก เจ้าเข้าใจความรู้สึกข้าหรือไม่?”
เสิ่นเยี่ยนชิวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “แม้จะไม่สามารถรู้สึกแบบเดียวกันได้ แต่การที่ได้ชมพระจันทร์ดวงเดียวกัน ก็นับเป็นการแบ่งปันความสุขแล้ว”
อาฉือระงับความดีใจเอาไว้ไม่ไหว จึงก้าวเข้าไปกอดนางไว้หลวม ๆ หนึ่งที
ที่นี่เวลานี้มีเพียงนางที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเขาและแบ่งปันความสุขนี้กับเขา
เสิ่นเยี่ยนชิวหน้าแดงเรื่อขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัวอย่างเงียบ ๆ ผ่านไปสักพักเห็นเขาไม่กลับเข้ามา จึงชะโงกหน้าออกไปดู ก็เห็นว่าเขาไปค้นหาหนังสือแล้ว ปากก็พึมพำว่าจะตั้งชื่อให้น้อง ต้องตั้งชื่อที่ดีที่สุดในใต้หล้า
“ใช่แล้ว ๆ ต้องส่งภาพเหมือนของข้าไปให้น้องน้อย เขาจะได้รู้จักข้าตั้งแต่เนิ่น ๆ
หรือไม่ ข้าตามไปช่วยที่ชายแดนด้วยดีกว่า…ข้ากลัวเจ้าเด็กสองคนนั่นจะดูแลท่านแม่ไม่ดี”
คนซื่อบื้อ
เสิ่นเยี่ยนชิวยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในครัว และเก็บจานชามต่อ
.
.