บทที่ 557 ฟื้นแล้วก็ให้คุกเข่าต่อ
หลังจากที่กลุ่มคนของตระกูลใหญ่ถูกปอกลอกในตำบลฉาซู่ไปหนึ่งยก ก็คิดว่าตัวเองเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาไปหมู่บ้านตระกูลเฉิน กฎเดิมก็คือต้องลงทะเบียนที่ประตูทางเข้าหมู่บ้านก่อน
จากนั้นพวกเขาก็พบว่า ลายมือของอาฝูหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านดีขึ้นเรื่อย ๆ
แค่เขาไม่เขียนชื่อจ้าวหางเป็นจ้าวจื่อ* หวังอวี๋เป็นหวังปา**อีก ก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว
* จ้าวจื่อ (枣子) หมายถึง พุทรา
** หวังปา (王八) หมายถึง คำเรียกรวม ๆ ของเต่าและตะพาบ รวมถึงใช้เป็นคำด่าอย่างหนึ่งด้วย
หลังจากผ่านการตรวจสอบที่ประตูแล้ว ก็ต้องให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนอนุบาลตรวจสอบตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กของครอบครัวเนี่ยเจิ้งอ๋องทีละคน
ทว่าเพิ่งไปถึงประตูก็ต้องคุกเข่าลงทันที และเริ่มมีการใช้ไม้แข็งแล้ว!
ที่นามากมายเพียงนี้ ให้คืนให้ราชสำนักพวกเขาทำให้ไม่ได้จริง ๆ นี่ไม่เท่ากับบีบให้พวกเขาอดตายหรอกหรือ? คนในครอบครัวก็มีตั้งหลายร้อยคน
บังเอิญว่าวันนี้สำนักศึกษาของอาฉือหยุด เขาจึงฟังไท่ฟู่***บรรยายบทเรียนอยู่ที่บ้าน เสียงที่ดังมาจากด้านนอกเหล่านั้นเขาจึงได้ยินทั้งหมด
*** ไท่ฟู่ (太傅) หมายถึง มหาราชครู ผู้ถวายคำแนะนำทางการปกครองและขนบจารีตประเพณีแก่ฮ่องเต้
ไท่ซ่างหวงทรงคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว จึงออกไปต้อนเป็ดแต่เช้า อีกทั้งไม่รู้ว่าทรงไปนัดหมายกับผู้เฒ่าหมู่บ้านถัดไปไว้ตั้งแต่เมื่อใด โดยจะแข่งกันว่าเป็ดของใครจะแข็งแรงและสวยงามกว่ากัน
ดังนั้นในบ้านนี้คนเดียวที่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้จึงเหลือเพียงอาฉือ
องค์หญิงใหญ่เห็นเขาลุกขึ้นจะเดินออกไป ก็ดึงเขาเอาไว้แล้วพูดขึ้น “รู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร?”
อาฉือขมวดคิ้ว “มีหลายวิธีแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ขอรับ”
“แม่เจ้าสอนว่าอย่างไร เมื่อเจอคนที่ไม่มีเหตุผลและไร้ยางอายต้องทำเช่นไร?”
อาฉือดวงตาเป็นประกาย!
“พวกเขาทำเป็นร้องห่มร้องไห้บอกว่าตัวเองยากจน ข้าก็จะทำเหมือนกับพวกเขา บอกว่าตัวเองไม่เงินเหมือนกันขอรับ!”
องค์หญิงใหญ่ปรบมือให้หนึ่งครั้ง แล้วพูดอย่างมีความสุขขึ้นมา “อาฉือของเราฉลาดจริง ๆ ไปเถอะ ไปสั่งสอนให้พวกเขาได้รู้เสียบ้าง”
“ขอรับ!”
หลังจากที่ทุกคนส่งเสียงเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายกลับมีเพียงหวงไท่ซุนที่เดินออกมา และเห็นว่าหวงไท่ซุนถอนหายใจพร้อมกับวางมาดราวกับเป็นผู้ใหญ่ จากนั้นก็หยิบบัญชีท้องพระคลังของปีนี้ที่กรมขุนนางได้เอามาถวายขึ้นมา
“ในเมื่อทุกท่านต่างบอกว่าเป็นห่วงบ้านเมือง ทุกท่านก็มาดูเองก็แล้วกันว่าท้องพระคลังตอนนี้ขาดแคลนเพียงใด และท่านแม่ของข้าช่วยอุดให้ไปเท่าใดแล้ว
ข้าที่เป็นลูกได้ตอบแทนพระคุณนางเพียงไม่กี่วัน ก็ต้องให้ผู้หญิงที่อ่อนแออย่างนางมารับผิดชอบท้องพระคลังของต้าจิ้นอีกอย่างนั้นหรือ ทุกท่านรู้สึกอับอายบ้างหรือไม่? ภาษีสามเท่าคำนวณตามกฎหมาย เป็นการเอาเปรียบพวกท่านอย่างนั้นหรือ?
ในเมื่อพวกท่านรั้นไม่ยอมกลับไป คิดว่าพวกเราไม่ยุติธรรม เช่นนั้นข้าที่เป็นลูกก็ต้องให้คำอธิบายกับท่านแม่เหมือนกัน สุดท้ายเป็นเพราะราชสำนักไม่ได้เรื่อง ข้าในฐานะหวงไท่ซุนกลับไร้อำนาจ ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมขุนนางของตัวเองได้”
เขาเอ่ยจบก็หลับตาลง ก่อนจะนั่งอาบแดดอยู่ที่ลานบ้านต่อ
อ่านหนังสือมาเหนื่อย ๆ พักสายตาหน่อยก็ดี
ความจริงแล้วคนที่มาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าคงไม่ได้ราบรื่นเช่นนั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหวงไท่ซุนก็จะมาร้องบอกว่าตัวเองยากจนด้วย
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าด้านหลังภูเขานี้ยังมีเหมืองแร่อยู่
แต่ก่อนจะมาพวกเขาก็ได้คุยกันเอาไว้แล้วว่า กัดไม่ปล่อย
ทุกคนมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้ด้วยกันเถอะ!
แต่พวกเขากลับลืมไปว่าอาฉืออยู่บ้านตัวเอง เหนื่อยก็มีเก้าอี้ให้นั่ง ทั้งยังมีหมอนนุ่ม ๆ เบื่อแล้วก็ยังสามารถเข้าไปอ่านหนังสือ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่คนที่โชคร้ายกลับเป็นพวกเขาเสียเอง
เมื่อคุกเข่าก็ต้องคุกเข่าที่พื้นไปตลอด
เมื่อไก่ เป็ด ห่านกลับมา อึไก่มูลเป็ดที่เรี่ยราดเกลื่อนพื้นพวกเขาสามารถรังเกียจได้หรือไม่?
คนที่เคยพูดว่า ‘คนที่เกิดมาพร้อมความต่ำต้อยชีวิตก็ต้องต่ำต้อยเช่นนั้น แต่คนที่สูงส่งเกิดมาก็สูงส่งแล้ว’
ทว่าตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ซึ้งแล้ว เมื่อต้องมาเจอกับคนที่มีฐานะสูงส่งกว่าพวกเขา
ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงต้องคอยอดกลั้น
เบาะรองเข่าที่ซื้อมาจากนายอำเภอเจียงในตอนแรกยังพอช่วยได้บ้าง แต่หลังจากคุกเข่าเป็นเวลานานก็รู้สึกเจ็บราวกับถูกเข็มตำเป็นพันเล่ม
นอกจากจะถูกแสงแดดแผดเผาแล้ว บางคนก็ปวดปัสสาวะขึ้นมาแล้วด้วย
อยากลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเสียหน้า จึงบิดตัวไปมาแทบจะกลายเป็นหนอนอยู่แล้ว
อาฉือเห็นดังนั้นก็คิดว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นขุนนางของตัวเอง ภายหน้ายังต้องรับมือกับพวกเขาไปอีกทั้งชีวิต อาฉือจึงไม่อาจปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของต้าจิ้นฉี่รดกางเกงได้
จึงปัดมือไปมาแล้วพูดขึ้น “ใต้เท้าทุกท่าน หากอยากไปเข้าห้องน้ำก็สามารถไปได้ ขอแค่อย่าลืมราดน้ำก็พอ ที่นี่ไม่มีใครคอยปรนนิบัติ กรุณารักษาความสะอาดด้วย”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น ก็มีหลายคนลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกประคองกันและกันเข้าไปข้างใน
อีและเอ้อร์ที่เพิ่งให้อาหารสัตว์เสร็จออกมา เห็นท่าทางปวดฉี่จนขาเบียดกันไปมาของพวกเขาแล้วก็รู้สึกหมดคำจะพูด
“ห้ามเข้าห้องน้ำที่นี่ ต้องไปใช้ห้องน้ำส่วนรวมนู่น!”
นั่นเป็นห้องน้ำที่พระชายาทำขึ้นมา จะให้คนพวกนี้ใช้ไม่ได้เด็ดขาด
ก่อนหน้านี้กองทัพทหารเกราะเหล็กยังได้สร้างห้องน้ำไว้อีกหลายห้อง เพียงแต่อยู่ไกลไปหน่อย เพราะเป็นกองทัพใหญ่จึงมีคนจำนวนมาก หากสร้างในหมู่บ้านกลิ่นจะไม่รมคนในหมู่บ้านจนตายหรอกหรือ?
คนกลุ่มนี้แทบจะกลั้นไม่ไหวตั้งนานแล้ว แต่เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโอ้อวดว่าตัวเองเป็นคนตระกูลใหญ่ ไหนเลยจะยอมถอดกางเกงตรงนี้ หากทุกคนมายืนฉี่ด้วยกัน มิเท่ากับหมดความน่านับถือไปหรอกหรือ ดังนั้นแต่ละคนจึงรวบชายเสื้อขึ้นและวิ่งหนีบขาไปบนคันนาทันที
ยังเหลือมาดผู้ดีของตระกูลใหญ่ที่ใดกัน
ในที่สุดก็ฉี่เสร็จ เมื่อกลับมาอีกครั้งก็คิดได้ว่าตัวเองอดทนมานานเพียงนี้ ทว่าแม้แต่พระพักตร์ของไท่ซ่างหวงก็ยังไม่ได้พบ ก็ยิ่งอัดอั้นตันใจเข้าไปใหญ่
คุกเข่าต่อก็คุกเข่าต่อ เมื่อถึงตอนเที่ยง ทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านต่างก็กลับมากินข้าว
หมู่บ้านตระกูลเฉินในตอนนี้ ทุกครอบครัวต่างได้กินเนื้อสัตว์ทุกมื้อและไม่หวงเครื่องปรุงอีก ดังนั้นอาหารจึงมีสี กลิ่น รส ที่ครบเครื่อง
อยู่ห่างกันไกลกลิ่นหอมของอาหารก็ยังลอยมาตามลม
ทำให้คนที่ได้กลิ่นน้ำลายไหลออกมา จนยากที่จะควบคุมได้
“ใต้เท้าทุกท่านก็คงหิวแล้วกระมัง จะกินข้าวหรือไม่?” อาฉือลืมตาขึ้นก่อนจะถาม
“ไม่กินพ่ะย่ะค่ะ”
ในเมื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่น พวกเขาก็จะต้องแสดงจุดยืนอยู่ตรงนี้ แต่คนที่นี่คงไม่สามารถมองดูพวกเขาหิวตายได้หรอกกระมัง!
เพราะการทำให้ขุนนางหิวตายถือเป็นเรื่องอื้อฉาว
อาฉือคิดไปคิดมา “เช่นนั้นข้าก็จะอดอาหารด้วยก็แล้วกัน”
“…”
บัดซบ ผู้ใดเป็นคนสอนให้เจ้าเด็กนี่ไร้ยางอายเพียงนี้กัน? หน้าหนาและยังปลิ้นปล้อนอีกด้วย
เขาเอ่ยคำพูดที่ไร้ยางอายด้วยท่าทางจริงจังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
ระหว่างนั้นอาฉือจึงลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ เพิ่งจะเดินไปถึงหัวมุมก็ถูกองค์หญิงใหญ่ดึงตัวไปแล้วยัดของกินเข้าปากของเขาอย่างแรง
“ต้องมาเสียเวลากับพวกเขา หลานรักของข้าต้องมาลำบากแล้ว”
อาฉือเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว พวกเขาทนได้ไม่นานหรอกขอรับ”
แล้วก็จริง หลังจากอาฉือกินอิ่มแล้ว ก็กลับมาเสียเวลากับพวกเขาต่อ
ไม่นานก็มีชาวบ้านหลายคนมาหาองค์หญิงใหญ่ที่นี่เพื่อทำเนื้อย่างกินกัน!
ซี่โครงแกะเนื้อนุ่มชั้นดีและผักเสียบไม้เหล่านั้น
ทุกคนในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่เคยสัมผัสเสน่ห์ของเนื้อย่างมื้อดึกจากเค่ออวิ๋นไหล
ย่างเนื้อก็ย่างเนื้อไปสิ เหตุใดยังต้องใช้พัดพัดกลิ่นมาทางพวกเขาอีก!
เจ้าหน้าที่ของตระกูลใหญ่ทุกคนต่างก็ท้องร้องขึ้นมา หิวจนตาลายไปหมด อยากจะพุ่งตัวเข้าไปคว่ำเตาที่ใช้ย่างเนื้อนั่นเสีย!
แต่ใครจะคิดว่าเพิ่งจะอ้าปากควันไฟก็ลอยเข้าจมูกจนเขาต้องจามออกมาหลายครั้งติด ๆ กัน
จากนั้นหวงไท่ซุนก็เอ่ยขึ้นมาพอดี “พวกท่านย้ายเตาย่างเนื้อไปไกล ๆ หน่อยเถอะขอรับ อย่างไรเสียขุนนางทุกท่านก็ไม่กินอยู่แล้ว ไม่สู้เปลี่ยนเป็นขนมจะดีกว่า”
“…”
หวงไท่ซุนผู้นี้ใครเป็นคนสั่งสอนมากันแน่!!
คำพูดคำจาถึงเลือดเย็นราวกับจะฆ่าคนได้!
ชาที่มีกลิ่นหอมสดชื่น ขนมที่มีกลิ่นหอมหวาน พร้อมกับแสดงวิธีการทำทุกขั้นตอนเพื่อยั่วพวกเขา
ต่อให้พวกเขาไม่อยากดูก็ต้องดู แต่ดูแล้วกลับกินไม่ได้
ขาก็ทั้งปวดทั้งชา ท้องก็ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ดวงตาลายจนไม่รู้ว่าควรจะมองไปที่ใด
ในที่สุดตอนที่อาฉือใกล้จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและเสนอข้อปรับปรุงแก้ไขราชการจบหนึ่งเล่ม ก็มีคนทนไม่ไหวและล้มลงไปก่อนแล้ว
ทันใดนั้นหวงไท่ซุนก็ค่อย ๆ เอ่ยปากขึ้นมา “รีบไปตามหมอมา ฟื้นแล้วก็ให้คุกเข่าต่อ”
“…”
.
.