บทที่ 541 เจ้าต้องปลอดภัยกลับมานะ
“แต่ว่าเมืองเจว๋เฉิงนั่นไม่ใช่สถานที่ธรรมดา เจ้าพากองปืนไฟไปด้วยเถอะ”
ไป๋จิ่นเอ่ยขึ้นมา “ข้าไปกับเจ้าด้วยดีกว่า ที่นั่นพวกเราเคยไปมาแล้ว อย่างน้อยก็พอคุ้นเคยอยู่บ้าง”
เผยยวนจึงพูดขึ้นมา “จะไปก็ได้ แต่ข้าไม่แนะนำให้เจ้าเข้าไปในเมือง และต้องดูว่าซือถูหงจะยอมออกจากเมืองมาเจรจาหรือไม่”
ลู่เอี้ยนเอ่ย “ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร พวกเจ้าวางใจเถอะ”
นอกจากนี้เผยยวนยังต้องไปหารือกับมู่หรงเจี๋ย เดิมทีจี้จือฮวนก็จะไปกับเขาด้วย แต่เย่จิ่งฝูบอกว่าทารกในครรภ์ยังไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงไม่สามารถไปได้แล้ว ทำได้เพียงต้องอยู่รอในค่ายทหาร
หลังจากที่ลู่เอี้ยนกินข้าวเสร็จก็เตรียมจะไปเขียนจดหมายถึงซือถูหง
ป่านหลานเกินขยับเข้ามาอยู่ข้างกายเย่จิ่งฝู “ศิษย์พี่ ใต้เท้าลู่ไปครั้งนี้ร้ายมากกว่าดี อย่างน้อยท่านก็ให้กำลังใจคนเขาสักสองสามประโยคสิขอรับ”
“ชิ เจ้าจะจบได้หรือยังฮะ” เย่จิ่งฝูเอ่ยด้วยความหงุดหงิด
ทว่าป่านหลานเกินกลับไม่ลดละ “หากท่านไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย มิเท่ากับต้องเสียใจภายหลังหรือขอรับ”
มือที่สับสมุนไพรของเย่จิ่งฝูช้าลงไป “เลวร้ายขนาดนั้นที่ใดกัน”
“คนทางนี้พอส่งจดหมายเสร็จก็จะออกเดินทางแล้ว ท่านไม่ไปส่งสักหน่อยหรือขอรับ?”
เย่จิ่งฝูจึงเตะป่านหลานเกินออก “ไป ๆ ๆ”
วันรุ่งขึ้น ลู่เอี้ยนไม่ได้กินข้าวเช้าก็นำกองปืนไฟและทหารม้ากลุ่มหนึ่ง เตรียมจะออกเดินทางไปเมืองเจว๋เฉิงแล้ว
ทางด้านเผยยวนก็พามู่หรงจาวไปด้วย ตั้งใจจะไปรอยังสถานที่นัดหมายก่อน
จี้จือฮวนได้ทำอาหารแห้งมากมายให้พวกเผยยวนนำไปกินระหว่างทาง
เย่จิ่งฝูก็แอบเฝ้าดูอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ใต้เท้าลู่ นี่เป็นสมุนไพรทั่วไปจำนวนหนึ่ง หากมีอาการปวดหัวตัวร้อนอะไร ต้มสักเทียบหนึ่งก็หายขอรับ” ป่านหลานเกินส่งห่อผ้าให้ลู่เอี้ยน
“ขอบใจ แล้วศิษย์พี่ของเจ้าเล่า?”
ป่านหลานเกินอึกอักเล็กน้อย “คาดว่ากำลังยุ่งอยู่กระมังขอรับ”
ความจริงแล้วว่างยิ่งกว่าอะไร ตอนนี้ในค่ายทหารไม่ได้มีคนบาดเจ็บมากมายเพียงนั้น
ลู่เอี้ยนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
จีฝูเย่บังเอิญถือปืนไม้กระบอกเล็กเดินผ่านมาพอดี เย่จิ่งฝูจึงเอ่ยด้วยความระอาออกมา “เดินผิดทางแล้ว กระโจมของเจ้าอยู่ทางนั้น”
นี่ก็เดินหลงเก่งจริง ๆ พื้นที่เพียงนี้ ก็ยังสามารถเดินหลงได้วันละเจ็ดแปดรอบ
“อ่อ” จีฝูเย่จึงเดินไปตามทางที่นางชี้
ทว่าเมื่อเย่จิ่งฝูหันกลับไปอีกครั้ง ก็เห็นว่าลู่เอี้ยนกำลังมองมา
นางรีบหลบไปด้านหลังกระโจม หัวใจเต้นตึกตัก
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา เย่จิ่งฝูก้มหน้าแสร้งทำเป็นหาของ ลู่เอี้ยนจึงเอ่ยปากขึ้นมา “ข้าจะออกเดินทางแล้ว”
เย่จิ่งฝูชะงักมือ “อืม”
“เจ้าไม่มีอะไรจะบอกข้าหรือ?”
เย่จิ่งฝูเม้มริมฝีปาก “ระวังตัวด้วย”
“อืม ข้าจะรีบกลับมา”
ลู่เอี้ยนยิ้มออกมา น้ำเสียงดูดีขึ้น
เย่จิ่งฝูจึงหันหน้าไปมองเขา “อันตรายเช่นนี้เหตุใดเจ้าต้องดันทุรังจะไปให้ได้ด้วย?”
“ผู้ชายอกสามศอกต้องปกป้องครอบครัวและบ้านเมือง จึงจะไม่ผิดต่อสิ่งที่ร่ำเรียนและได้รับมาในชีวิตนี้” ลู่เอี้ยนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
ทันใดนั้นเย่จิ่งฝูก็นึกถึงเรื่องที่เขาเตรียมจะตายเพื่อปกป้องเมือง ที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา” นางเอ่ยเสียงเบา
“หืม?” ลู่เอี้ยนโน้มกายเข้าไปหา “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เย่จิ่งฝูถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ไม่ได้ยินก็ช่างเถอะ”
ลู่เอี้ยนยกยิ้มออกมาอย่างเจิดจ้า “ได้ยินแล้ว ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน ช่วงนี้อยู่ในค่ายก็อย่าหักโหมเกินไปนัก”
เอ่ยจบเขาก็เดินไปทางขบวนทันที จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า และไม่หันกลับมามองอีก
อีกด้านหนึ่ง เผยยวนก็กำชับแล้วกำชับอีก ใครไม่รู้คงคิดว่าคนที่จะเดินทางเป็นจี้จือฮวนเสียอีก
“อืม…ไม่ว่ามีเรื่องอะไร อย่าลงมือเองเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปอีก ฟ้าก็จะมืดแล้วนะ” จี้จือฮวนไล่เขาไปขึ้นม้า เมื่อคืนเขาก็กำชับนางเกือบทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังจะพูดอีก ทำตัวอย่างกับยายแก่อย่างไรอย่างนั้น
สุนัขตัวโตเผยยวนจึงขึ้นหลังม้าไปด้วยความน้อยใจเป็นอย่างมาก
…
มู่หรงจาวกับเผยยวนใช้เวลาประมาณสองวัน ก็มาถึงยังสถานที่ที่นัดหมายกันไว้
เดิมคิดว่าอาจต้องรออีกสักพัก แต่ระหว่างทางหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อก็บินกลับมา แล้วบังเอิญมาเจอกับพวกเผยยวนพอดี จึงไม่ได้กลับไปที่ค่ายทหาร
เผยยวนนำจดหมายมอบให้มู่หรงจาว มู่หรงจาวได้อ่านก็เอ่ยอย่างมีความสุขขึ้นมา “ท่านอ๋องเจ้าคะ พี่ชายข้าบอกว่าเขาทั้งประหลาดใจและยินดีอย่างมากที่ได้รับจดหมายจากข้า คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ด้วย ส่วนเรื่องที่ท่านอ๋องเสนอเขายินดีมาเจรจาต่อหน้าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
ดังนั้นเมื่อคนทั้งกลุ่มมาถึงสถานที่นัดหมาย ก็พบว่ามีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว
ยังมีการตั้งกระโจมง่าย ๆ หลังหนึ่งด้วย
มู่หรงจาวกำลังหยอกล้อลูกน้อยอยู่บนรถม้า หลิวเฟิงก็ได้มาเคาะที่ประตูรถม้าเบา ๆ “แม่นางมู่หรง ถึงแล้วขอรับ”
มู่หรงจาวแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดม่านรถม้าขึ้น เพียงแต่หลังจากผ่านไปหลายปี ความทรงจำของนางที่มีต่อพี่ชายกลับมีแต่ช่วงวัยเด็กเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้นางเป็นถึงแม่คนแล้ว ย่อมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายของนางเลย
ตอนนี้มู่หรงเจี๋ยเห็นคนแล้ว เขาเป็นฝ่ายขี่ม้าเข้ามาต้อนรับก่อน
หลังจากอยู่ห่างกันพอประมาณ ทั้งสองฝ่ายก็ได้หยุดลง มู่หรงเจี๋ยมีผิวคล้ำแฝงด้วยความป่าเถื่อนตามแบบฉบับผู้ชายบนทุ่งหญ้า โดยเฉพาะจมูกที่โด่งเป็นสันและเบ้าตาที่ลึกลงไป หน้าตาแตกต่างจากพวกถู่เจีย แต่กลับคล้ายมู่หรงจาวถึงเจ็ดแปดส่วน
ดูท่าครั้งนี้มาหาคนไม่ผิดจริง ๆ
ส่วนมู่หรงจาวที่อยู่บนรถม้าก็เห็นมู่หรงเจี๋ยที่เป็นผู้นำแล้ว จึงอุ้มลูกแล้วเปิดม่านขึ้น ก่อนจะลงจากรถม้าอย่างมีความสุขทันที
และเอ่ยทักทายด้วยภาษาเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน “พี่ชาย!”
มู่หรงเจี๋ยกับน้องสาวพรากจากกันไปนานหลายปี เมื่อได้ยินคำว่าพี่ชายอีกครั้ง ราวกับว่าเนิ่นนานมาแล้วที่เขาไม่ได้ยินคำนี้
คนของเผยยวนไม่ได้ขัดขวางมู่หรงจาว และปล่อยให้นางอุ้มลูกวิ่งเข้าไปหามู่หรงเจี๋ย “พี่ชาย!”
มู่หรงเจี๋ยก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาจึงลงจากหลังม้าและเข้ามารับนาง สองพี่น้องได้พบกันอีกครั้ง เมื่อมองดูใบหน้าที่คล้ายกัน คำพูดที่เหลือก็ดูจะไม่จำเป็นอีกต่อไป
“พี่ชาย เป็นท่านจริง ๆ ด้วย!” วันเวลาแห่งความยากลำบากและความทุกข์ทรมานของมู่หรงจาว แปรเปลี่ยนเป็นความสุขใจทันทีที่นางได้พบครอบครัว
น้ำเสียงในตอนนี้จึงแฝงไปด้วยอาการสะอื้น
มู่หรงเจี๋ยประคองใบหน้าของนางขึ้นมา “อาจาว ข้าตามหาเจ้าอย่างยากลำบาก คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่ที่ต้าจิ้นด้วย”
หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดจะไปต้าจิ้น แต่เขาไม่รู้ขนบธรรมเนียมอะไรเลย และไม่รู้ว่าจะพูดภาษาที่นั่นอย่างไร และเขาในตอนนั้นก็ยังอ่อนแอ หากไปต้าจิ้นคาดว่าคงต้องกลายเป็นทาสของตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นแน่
แต่ตอนนี้เขาได้เป็นผู้นำของเผ่าแล้ว จึงได้มีชื่อเสียงและอำนาจขึ้นมา
และขณะนั้นเองเด็กในอ้อมแขนของนางก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างพอดี จึงเรียกความสนใจของมู่หรงเจี๋ยได้ทันที
“นี่คือ?” มู่หรงเจี๋ยถาม
“พี่ชาย นี่คือลูกชายของข้า เขาชื่อเสี่ยวอวี่เจ้าค่ะ”
มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้วแล้วมองไปทางเผยยวน “เจ้ากับเนี่ยเจิ้งอ๋อง?”
มู่หรงจาวรีบปัดมือไปมา “ไม่ใช่เจ้าค่ะ พ่อของเด็กคนนี้เป็นคนสารเลวที่หน้าไม่อาย แต่ได้พระชายากับท่านอ๋องมาช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นข้ากับลูกเกรงว่าคงตายไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้มาพบท่าน”
มู่หรงเจี๋ยได้ยินดังนั้น ความสงสารก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
น้องสาวของเขามีชีวิตที่ยากลำบากในต้าจิ้นจริง ๆ
เขาจึงขอบคุณเผยยวนด้วยการคารวะตามแบบฉบับของเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นคนช่วยมู่หรงจาวเอาไว้ถึงสองครั้ง
มู่หรงจาวจึงทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับพวกเขาทั้งสองฝ่าย ก่อนเชิญเผยยวนนั่งลงคุยรายละเอียด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้พาคนเข้ามา จึงมีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่เข้าไปในกระโจม
“พี่ชาย ข้าจะขอพูดสั้น ๆ นะเจ้าคะ ซือถูรุ่ยไม่สามารถเป็นพันธมิตรกับท่านได้อีกแล้ว เพราะเขากลายเป็นเชลยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ไร้คุณธรรม และเชื่อถือไม่ได้เจ้าค่ะ”
.
.
.