บทที่ 538 ไม่สู้ดึงมาเป็นพันธมิตรจะดีกว่า
เวลานี้ลูกน้อยในอ้อมแขนของมู่หรงจาวก็เริ่มงอแงขึ้นมา นางจึงกล่อมเสียงเบา เมื่อเงยหน้ามาอีกครั้งก็เอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้า…ข้าอยากจะขอร้องท่านอ๋องและพระชายา ให้หาคนพาข้าไปส่งที่เผ่ารอบ ๆ เพื่อตามหาพี่ชายของข้าด้วยเจ้าค่ะ มู่หรงจาวจะจดจำบุญคุณนี้ไว้อย่างแน่นอน ภายหน้าจะตอบแทนให้ได้ดั่งสายธารเลยเจ้าค่ะ”
“พี่ชายเจ้าชื่อว่าอะไร?” เผยยวนถามขึ้นมา
มู่หรงจาวเอ่ยตอบ “เขาชื่อมู่หรงเจี๋ยเจ้าค่ะ”
ทุกคนมองหน้ากัน คงไม่ใช่มู่หรงเจี๋ยที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ผู้นั้นหรอกกระมัง?
ทว่าเรื่องที่เขาเป็นผู้นำเผ่าและอยู่ใกล้ ๆ นี้ อีกทั้งยังชื่อเดียวกันอีก จึงตรงกับคนที่เป็นพันธมิตรกับซือถูรุ่ยผู้นั้นอย่างมาก
“เจ้ารอก่อน พวกเราขอปรึกษากันสักครู่” จี้จือฮวนเอ่ยออกไปตรง ๆ
มู่หรงจาวรู้ตัวว่านางเป็นแค่คนต่างแคว้นคนหนึ่ง ดังนั้นการที่พวกเขาให้ที่อยู่ที่กินกับนางก็มากพอแล้ว การมาร้องขอเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ตกลงก็ถือเป็นเรื่องปกติ
“เจ้าค่ะ”
เรื่องนี้กระชั้นชิด ดังนั้นจี้จือฮวนกับเผยยวนจึงลุกขึ้นและออกไปคุยกันข้างนอก
มู่หรงจาวรู้สึกว่าท่าทางของทุกคนนั้นดูแปลกไป จึงเอ่ยถามออกมา “เหตุใดพวกเจ้าพอได้ยินชื่อของพี่ชายข้าแล้ว ต้องทำสีหน้าเช่นนี้ด้วย พี่ชายข้ากับกองทัพทหารเกราะเหล็กมีความขัดแย้งกันอย่างนั้นหรือ?”
เยว่พั่วหลัวเอามือทั้งสองข้างเท้าคาง ก่อนเอ่ยว่า “อืม ตอนนี้ยังไม่มี”
แต่ไม่นานต้องมีแน่
คำขอร้องของมู่หรงจาว ความจริงแล้วเผยยวนไม่เห็นด้วย
ประการแรก ในเมื่อมู่หรงเจี๋ยสามารถกลายเป็นผู้นำของที่นี่ได้ นั่นหมายความว่าต้องมีดินแดนของตัวเอง และดินแดนผืนนั้นก็คือที่ที่เผยยวนจะยึดคืน ไม่ต้องพูดถึงว่ากว่าที่มู่หรงเจี๋ยจะได้ดินแดนแห่งนี้มานั้นยากลำบากเพียงใด แล้วตอนนี้กลับต้องคืนให้ผู้อื่น ใครจะยอมกัน?
ประการที่สอง ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามู่หรงจาวผู้นี้มีความสำคัญเพียงใดในใจของมู่หรงเจี๋ย ไม่แน่ว่าการที่เขาให้ทหารไปส่งนาง อาจเป็นการทำร้ายพี่น้องของตัวเองก็เป็นได้
แน่นอนว่าจี้จือฮวนเข้าใจความกังวลของเผยยวนดี
แต่นางกลับคิดอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นนางจึงพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
เผยยวนเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ฮวนฮวน ความหมายของเจ้าก็คือ ให้พวกเราสนับสนุนมู่หรงเจี๋ยกับเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” ในนิยาย มู่หรงเจี๋ยเป็นไป๋หลันอ๋องที่มีอำนาจในเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนในภายภาคหน้า ส่วนท่านข่านของเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนสุดท้ายก็ลุ่มหลงมู่หรงจาว นางจึงเหยียบผู้ชายที่มีอำนาจสูงที่สุดสองคน ขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้หญิงแห่งเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน
มู่หรงจาวในตอนนี้อาจจะยังมองไม่ออก แต่ในนิยายเคยมีการพูดถึงนางเอาไว้หนึ่งประโยคนั่นก็คือ ‘คนที่มีบุญคุณกับนาง มู่หรงจาวจะต้องตอบแทนเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน’
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมตอนนั้นจี้จือฮวนถึงช่วยนางเอาไว้โดยไม่มีเงื่อนไข
“เผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนภายในระส่ำระสาย บัดนี้ท่านข่านก็อายุมากแล้ว และมู่หรงเจี๋ยก็องอาจห้าวหาญ เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจและหาได้ยาก คนเช่นนี้หากสามารถดึงมาเป็นพันธมิตรกับเราได้ สนับสนุนเขาให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของอำนาจของเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน และทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างทั้งสองแคว้น สำหรับอาฉือและราษฎรทั้งสองแคว้นแล้วต่างก็ได้ประโยชน์ ประกอบกับมีถู่เจียคอยหนุนหลัง การยึดหลงซีทั้งแปดเมืองคืนนั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
เพราะต้าจิ้นไม่ใช่ต้าจิ้นเช่นในอดีตอีกแล้ว บัดนี้ราชสำนักก็ไม่ได้มีศึกภายนอกและภายในแล้ว นอกจากนี้ยังได้พิสูจน์ให้ทั้งใต้หล้าเห็นแล้วว่า มังกรยักษ์ที่หลับใหลได้ตื่นขึ้นแล้ว หากผู้ใดกล้ารุกรานก็ต้องพร้อมรับความโกรธเกรี้ยวของต้าจิ้นด้วย
เมื่อผนึกกำลังกับเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนและถู่เจีย อำนาจสามฝ่ายรวมกัน จึงจะเกิดความสมดุล!
เช่นนี้ก็จะสามารถย่นระยะเวลาในการทำสงครามให้สั้นลงได้
“แต่มู่หรงเจี๋ยผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่?” เผยยวนไม่กล้าเอาทหารมากมายเพียงนั้นไปเสี่ยง
เรื่องนี้จี้จือฮวนก็ไม่สามารถรับปากได้
ดังนั้นทั้งสองคนจึงตัดสินใจร่วมกัน
พวกเขาจะช่วยมู่หรงจาวให้ได้พบกับพี่ชาย แต่ต้องเจรจากันก่อน
อย่างไรเสียซือถูรุ่ยก็อยู่ในมือของพวกเขา มู่หรงเจี๋ยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาเพียงเพราะเชลยคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตมู่หรงจาวอีกด้วย
และหากเป็นคนฉลาดก็จะรู้ว่า แค่เมืองเจว๋เฉิงเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง ความช่วยเหลือที่ให้เขาได้ก็มีอย่างจำกัด แต่ต้าจิ้นนั้นเป็นแคว้นใหญ่
ดังนั้นเผยยวนในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน จึงมีสิทธิ์และอำนาจที่จะเป็นตัวแทนต้าจิ้นทำข้อตกลงกับมู่หรงเจี๋ยได้
หลังจากได้ข้อสรุปเช่นนี้แล้ว ตอนที่ทั้งสองคนกลับเข้ามาอีกครั้ง พวกเขาก็ได้บอกมู่หรงจาวถึงแผนการของพวกเขา รวมถึงสถานการณ์ระหว่างพี่ชายของนางกับพวกเขาในขณะนี้ด้วย
มู่หรงจาวก็สมกับที่เป็นคนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงในภายภาคหน้า เพราะหลังจากที่นางฟังจนจบอย่างสงบ ไม่นานก็ตัดสินใจได้ นางอุ้มลูกแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของเผยยวนกับจี้จือฮวน ไม่สนใจคำห้ามปรามของพวกเขาสองคน และปฏิเสธที่จะลุกขึ้น
“บุญคุณที่ท่านอ๋องกับพระชายาช่วยชีวิต มู่หรงจาวรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ข้ากับพี่ชายแม้ว่าจะไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี แต่ท่านอ๋องเคยช่วยเผ่าของเราเอาไว้ ข้าจะโน้มน้าวพี่ชายให้ได้ ขอท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ”
จี้จือฮวนประคองนางให้ลุกขึ้นมา “ข้าเชื่อในตัวเจ้า แต่พวกเราก็ยังมีความกังวลอยู่ เอาเช่นนี้ พวกเราเลือกสถานที่มาสักที่หนึ่ง อาศัยตอนที่ยังไม่เริ่มทำศึกไปพบหน้ากันสักครั้ง เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”
“ย่อมต้องดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
มู่หรงจาวเคยเห็นความเก่งกาจของหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อที่ตำบลฉาซู่มาแล้ว และรู้ว่าพวกเขาใช้มันในการส่งข่าว
หลังจากมู่หรงจาวเขียนจดหมายเสร็จแล้ว หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อก็เอาของยืนยันตัวตนของมู่หรงจาวติดตัวไปด้วย และบินไปทางเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุนทันที
เซียวเย่เจ๋ออยากรู้เรื่องของพวกเขาในช่วงที่ผ่านมาอย่างมาก และยังได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ในเมืองหลวงให้พวกเขารู้อีกด้วย
“สิงโตหินสองตัวที่ทางเข้าหมู่บ้าน รวมถึงตัวที่อยู่ในตำบลฉาซู่ ตอนนี้ได้กลายเป็นสิงโตหินศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ทุกวันต่างมีคนไปลูบจำนวนมาก และบอกว่าที่นี่ไท่ซ่างหวงและองค์หญิงใหญ่เคยมาพัก เป็นที่ให้กำเนิดของอัจฉริยะบุรุษ
ตอนนี้คนในเมืองจำนวนมากต่างก็ย้ายไปอยู่ที่ตำบลฉาซู่ บ้านที่นั่นคนทั่วไปต่างก็ซื้อไม่ไหวแล้ว
คนในหมู่บ้านต่างก็คิดถึงพวกเจ้ามาก ลูกหมูที่บ้านพวกเจ้าเกิดมาสามครอกแล้ว เป็ดที่ไท่ซ่างหวงทรงเลี้ยงก็สามารถวิ่งไปได้ทั่วแล้ว
ช่วงก่อนหน้านี้ หวงไท่ซุนคิดถึงพวกเจ้ามากจึงกลับไปศึกษาที่ตำบลฉาซู่แล้ว อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ตอนก้าวออกจากประตูจึงเข่าอ่อนและล้มลงไป ทำเอาฟันหน้าหักด้วย…”
เซียวเย่เจ๋อพูดจ้อไม่หยุด จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงล้วงถุงเงินใบเล็กที่ดูบิด ๆ เบี้ยว ๆ ใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะโยนให้อาชิงที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของอาเหริ่นแล้วเอ่ยว่า “เอ้า การบ้านเย็บปักถักร้อยของอาหญิงน้อย นางฝากมาให้เจ้า
เป็นโชคดีของเจ้าแล้วรู้หรือไม่!” เซียวเย่เจ๋อรู้สึกเจ็บจี๊ดขณะพูดเรื่องนี้
ตัวเขาเป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่ แต่ถุงเงินใบแรกที่อาหญิงน้อยทำกลับไม่ได้ให้เขา!
อาชิงเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่น จริง ๆ เลย มองอย่างไรเขาก็ไม่ชอบขี้หน้า
อาชิงรับถุงเงินไป เซียวเซวียนจิ่นก็ชะโงกหน้ามา แล้วถามด้วยความสงสัย “ด้านบนปักอะไรเอาไว้?”
ดูยุ่งเหยิงไปหมด
อาชิงกะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยว่า “คางคกอย่างไรเล่า และนี่ก็คืองูหนึ่งกับงูสองของข้า ส่วนนี่คือแมงมุมน้อย ชัดเจนเพียงนี้ท่านยังแยกไม่ออกอีกหรือ?”
เซียวเซวียนจิ่น “???”
นี่มันอึกองหนึ่งชัด ๆ!
เซียวเซวียนจิ่นไม่กล้าพูดออกมา เดิมก็ล่วงเกินพี่ภรรยาไปแล้ว หากล่วงเกินน้องภรรยาอีก เช่นนั้นชีวิตก็อย่าหวังว่าจะราบรื่นได้อีกเลย
อาชิงแขวนถุงเงินไว้ที่เอวอย่างมีความสุข ไม่เพียงเท่านั้น เขายังอวดไปทั่วอีกด้วย
“พวกท่านดูสิ นี่คือถุงเงินของข้า”
“ดูสิ ถุงเงิน”
“ถุงเงิน~~~~”
ตลอดช่วงบ่าย ในหัวของทุกคนในค่ายทหารต่างก็มีแต่คำว่า ‘ถุงเงิน’
อาชิงคิดไปคิดมา เมื่อหย่งหนิงฝากของขวัญมาให้เขา เช่นนั้นเขาก็ต้องส่งให้นางบ้าง เขาจึงคิดอยู่นานมากว่าจะให้อะไรดี
พอดีกับที่ทุกคนต่างมากินข้าวร่วมกัน
อาชิงกินไปก็เอ่ยกับไป๋จิ่นที่อยู่ข้าง ๆ ไป “อาจารย์ ระดูของท่านหายดีหรือยังขอรับ และช่วยแนะนำข้าได้หรือไม่ว่าควรมอบของขวัญอะไรให้หย่งหนิงดี?”
“พรวด!” ไป๋จิ่นสำลักน้ำออกมาทันที
.
.
.