บทที่ 537 นางมาแล้ว
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งค่ายทหารก็ได้รู้ว่าไป๋จิ่นมีระดู…
ส่วนการต่อสู้ระหว่างอาจารย์และศิษย์ภายในสำนักพิษ ตอนนี้ยังไม่ขอพูดถึง
“ซือถูรุ่ย เจ้าโจรสุนัข!” หลังจากที่อาเหริ่นกับเด็ก ๆ ทั้งสองคนไปเมืองเจว๋เฉิง อูหลางก็ขังตัวเองอยู่ในกระโจมมาตลอดเพื่อขอพรให้พวกเขา
ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย และพบกับตัวการที่ทำให้เผ่าหมาป่าต้องเกือบล่มสลายอีกครั้ง ก็หยิบไม้เท้าขึ้นมาทุบตีเขาทันที
ซือถูรุ่ยมองไม่เห็น และมือข้างหนึ่งก็นับว่าใช้การไม่ได้แล้ว ต่อให้เย่จิ่งฝูห้ามเลือดให้เขาแล้ว ทว่าร่างกายของเขาก็เริ่มทรุดลง เพียงแต่ยังไม่ตายก็เท่านั้น
“ที่แท้นี่ก็คือซือถูรุ่ยอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าก็คิดว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอะไรเสียอีก”
“เฮอะ”
กองทัพทหารเกราะเหล็กที่เดินผ่านพูดจาเยาะเย้ยสองสามประโยค นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามซือถูรุ่ยอย่างมาก
ที่ผ่านมาจี้จือฮวนมักตอบโต้คนเลวเหล่านี้ด้วยวิธีแรงมาแรงกลับ คนประเภทนี้ตายไปก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียดาย หากไม่ใช่เพราะจะเก็บเขาเอาไว้เป็นสหายของเซี่ยหยางละก็ ไหนเลยเขาจะยังหายใจอยู่เช่นนี้ได้อีก?
ยิ่งไปกว่านั้นในค่ายทหารจะเอาน้ำต้มจากที่ใดมาให้เขาดื่มกิน
มีคนต้องกินข้าวมากมายเพียงนี้ เหลือน้ำแกงให้เขาสักสองคำก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เผยยวนกลับมาถึงก็ยุ่งจนหัวหมุน ส่วนจี้จือฮวนก็ต้องไปตรวจสอบความคืบหน้าการฝึกซ้อมของกองปืนไฟ โชคดีที่เด็กทั้งสองคนตอนนี้มีคนช่วยดูแลให้แล้ว
แต่มูหรงเจี๋ยที่ซือถูเซิงพูดถึงนั้น ยังไม่มีใครรู้เกี่ยวกับคนผู้นี้ จึงต้องให้คนไปตรวจสอบดูก่อน เพราะไม่อย่างนั้นหากบุกไปประชิดเมืองเจว๋เฉิง แล้วจู่ ๆ มีกลุ่มทหารม้าจากทุ่งหญ้าปรากฏตัวขึ้นมาละก็ ศึกนี้ก็คงสู้ได้ยากแล้ว
พวกเขาไม่ได้กลัว
แต่เพราะคนเหล่านั้นรู้จักภูมิศาสตร์ที่นี่เป็นอย่างดี หากแบ่งกองกำลังเพื่อไล่ตามพวกเขา ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกอีกฝ่ายทำลายกองกำลังทีละส่วนได้
…
เมืองเจว๋เฉิง
ซือถูรุ่ยยังไม่กลับมา แต่คนที่กลับมาก่อนคือสายลับ
“ทัพใหญ่ของกองทัพทหารเกราะเหล็กอยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้ ดูแล้วมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะบุกมาโจมตีได้ตลอดเวลาขอรับ”
ข่าวนี้ทำให้จวนซือถูที่เมื่อคืนปั่นป่วนมาตลอดทั้งคืนตกอยู่ในความหวั่นวิตก
เพราะซือถูรุ่ยอยู่ดี ๆ ก็ไม่สนใจคำห้ามปรามของใคร สั่งคนรื้อค้นของของพวกเขาจนหมด
ตอนนี้หลายคนเห็นซือถูรุ่ยไม่อยู่ จึงคิดที่จะหนีแล้ว
ไม่อย่างนั้นจะรอให้ทัพใหญ่ของกองทัพทหารเกราะเหล็กบุกมาประชิดเมืองก่อนหรืออย่างไร?
ไม่ไปตอนนี้ แล้วจะไปเมื่อใดกัน?
แต่บางคนก็คิดว่าจะรอดูก่อน เพราะออกไปแล้วก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีก
การแนะนำตัวเองก็ต้องดูด้วยว่าเจ้านายคนใหม่จะยอมรับหรือไม่
แต่ซือถูรุ่ยนั้นไม่ว่าคนจะนิสัยดีหรือไม่เขากลับรับไว้ทั้งหมด ขอเพียงมีความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอ เหล้าดีอาหารดีมีคนคอยปรนนิบัติเช่นนี้จึงมีไม่มากนัก
ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่มารวมตัวกันที่เมืองเจว๋เฉิงแห่งนี้
แต่หากไม่มีเมืองเจว๋เฉิงแล้ว พวกเขาจะไปที่ใดได้อีก?
บางคนยังคงคิดอยู่ แต่บางคนก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว ต่างหอบของมีค่าของจวนซือถูหนีไปตั้งแต่ตอนกลางดึกแล้ว
ส่วนข่าวที่ว่าทัพใหญ่ของกองทัพทหารเกราะเหล็กยกมาอยู่นอกเมืองแล้ว ก็ไม่รู้ว่าใครปากสว่างทำข่าวรั่วออกไป รวมถึงข่าวที่ว่าซือถูรุ่ยออกจากเมืองไปจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
คนที่รู้เรื่องวงในจึงไปที่เรือนของซือถูรุ่ย อย่าว่าแต่ของมีค่าหายไปเลย แม้แต่ซือถูเซิงที่ถูกซือถูรุ่ยขังเอาไว้ในเรือนก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ยิ่งเป็นการยืนยันข่าวลือนี้ได้เป็นอย่างดี!
ศัตรูที่น่าเกรงขามอยู่ตรงหน้า แต่เจ้าเมืองกลับหนีไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน!
นี่ไม่ได้จะทิ้งพวกเขาไว้ให้ยอมจำนนหรอกหรือ?
แพ้โดยไม่คิดจะสู้ ซือถูรุ่ยยังจะรักษาเกียรติเอาไว้อีกหรือไม่?
พลันนั้นจึงเกิดความอลหม่านขึ้นในเมืองเจว๋เฉิงทันที จนในที่สุดซือถูหงก็ต้องขึ้นมานั่งควบคุมสถานการณ์แทน จับตัวชาวยุทธ์ที่เป็นผู้นำกบฏเหล่านั้นเอาไว้ จากนั้นก็สั่งประหารพวกหัวขโมย และสั่งประหารคนที่สร้างความวุ่นวายทั้งหมดในจวนซือถูทันที
หากซือถูรุ่ยกลับมาจะโทษใครได้ คงทำได้เพียงโทษตัวเขาเองแล้ว!
เป็นถึงเจ้าเมือง แต่ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กลับทำลายขวัญและกำลังใจของทหาร
…
สถานการณ์ในเมืองเจว๋เฉิง พวกเผยยวนก็คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่วันนี้การที่มีแขกมาเยือนค่ายทหาร ช่างเหนือความคาดหมายจริง ๆ
เซียวเย่เจ๋อถ่มทรายในปากออกมาแล้วพูดว่า “นี่พวกเจ้า ถุย ๆ ๆ ดินทรายเยอะขนาดนี้ อยู่ไปได้อย่างไรกัน?”
“ใครเขาบอบบางเหมือนเจ้ากันเล่า เช่นนี้ข้าว่าเจ้าไปเป็นท่านหญิงหย่งหนิงเองเถอะ!” เยว่พั่วหลัวกลอกตามองบน
เซียวเย่เจ๋อส่งเสียงชิชะออกมา “เหตุใดเจ้าถึงพูดจาเช่นนี้กัน นี่ข้าเอาเสบียงมาส่งให้พวกเจ้านะ”
ครั้งนี้เขาจึงมาด้วย เมื่อได้ยินว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กจะเดินทัพเข้าสู่แปดเมืองของหลงซี เขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีก จึงทำการรวบรวมเสบียงจำนวนมากในเมืองหลวง ทั้งยังนำของที่หวงไท่ซุน ไท่ซ่างหวง และองค์หญิงใหญ่เตรียมเอาไว้ทั้งหมดมาให้ด้วยตัวเอง
ขบวนรถม้าขนาดใหญ่จนมืดฟ้ามัวดิน ล้วนเป็นเสบียงทั้งหมด รวมถึงเครื่องแบบทหารและรองเท้าทหารชุดแรกที่หมู่บ้านตระกูลเฉินทำขึ้นหลังจากฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ยังมีจดหมายจากครอบครัวทหารด้วย
สำหรับเหล่าทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กแล้ว สิ่งนี้ย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น
เซียวเย่เจ๋อมาครั้งนี้ ยังได้พาคนอีกคนหนึ่งมาด้วย
มู่หรงจาวลงมาจากรถม้า และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเล็กน้อย แต่โชคดีที่มากับเซียวเย่เจ๋อจึงไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก ทว่าก่อนหน้านี้ร่างกายของนางนั้นอวบอ้วนขึ้นเนื่องจากตั้งครรภ์ ทว่าหลังจากคลอดลูกแล้วก็ค่อย ๆ กลับมามีรูปร่างผอมเพรียวดังเดิม
“คารวะท่านอ๋อง พระชายา” มู่หรงจาวทำการคารวะ ลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนกำลังนอนหลับอย่างสบาย
จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้นางคลอดลูกที่ตำบลฉาซู่ พวกจี้จือฮวนยังอยู่ที่เมืองหลวงจึงกลับไปไม่ทัน ระหว่างนั้นก็ต้องรีบมาที่ชายแดนอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมพิธีอาบน้ำสามวันแรกของเด็กน้อย
เมื่อได้เจอกันอีกครั้งเด็กคนนี้ก็อายุเกือบสี่เดือนแล้ว ถูกขุนจนอวบอ้วน ผิวขาวราวกับหิมะ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาโตเป็นประกาย มองแวบแรกก็รู้ว่าเหมือนแม่ ภายหน้าต้องเป็นชายหนุ่มรูปงามอย่างแน่นอน
“ข้าเพิ่งเคยเจอเด็กคนนี้เป็นครั้งแรก ตั้งชื่อหรือยัง?”
“ตั้งแล้วเจ้าค่ะ ชื่อมู่หรงอวี่” มู่หรงจาวพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มมีความสุขออกมา “หวงไท่ซุนยังพระราชทานแม่กุญแจทองคำน้อยให้เขาอันหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ บอกว่าท่านเป็นคนฝากให้เขา”
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทว่าตอนนี้จี้จือฮวนกลับคิดถึงอาฉือมาก อาฉือเองก็คิดถึงพวกเขาเช่นกัน
ดูจากจดหมายที่มีความหนาเท่ากับหนังสือเล่มหนึ่งแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าบรรจุความคิดถึงของเด็กคนนั้นเอาไว้มากมายเพียงใด
พวกเขาจึงอยากจะรีบกลับไปเมืองหลวง กลับไปอยู่ข้างกายอาฉือ
“เลิกยืนคุยกันได้แล้ว มานั่งเถอะ”
เผยยวนเอ่ยเรียก
จี้จือฮวนพามู่หรงจาวไปนั่ง เด็กคนนั้นก็ไม่งอแงแต่อย่างใด หลังจากตื่นขึ้นก็กลอกตาไปมา ไม่ร้อง ไม่โยเย ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กที่กล้าหาญ
ทุกคนต่างก็สงสัยอย่างมาก มู่หรงจาวเป็นแค่คนที่ฮวาเซียงเซียงรับเอาไว้ในร้าน เหตุใดครั้งนี้อยู่ดี ๆ ถึงตามเซียวเย่เจ๋อมาชายแดนได้
แต่มีเพียงจี้จือฮวนที่พอจะเดาได้แล้ว
เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในนิยายหรือไม่?
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อมู่หรงจาวเอ่ยปากอธิบาย
“ขอเรียนทุกท่านตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาชายแดน เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตำบลฉาซู่ ข้าบังเอิญได้พบกับคนในเผ่า เขามาทำการค้าที่เมืองหลวงและได้ผ่านเค่ออวิ๋นไหล หลังจากพวกเราทักทายกันแล้ว เขาได้บอกข้าว่าพี่ชายข้าตอนนี้อยู่ใกล้กับเมืองเจว๋เฉิง และกลายเป็นผู้นำเผ่าเล็ก ๆ เผ่าหนึ่ง ทันทีที่ข้าทราบข่าวนี้ก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะมาที่นี่ พอดีกับเซียวซื่อจื่อเองก็จะมาที่นี่ด้วย จึงอนุญาตให้ข้าติดตามมาด้วยเจ้าค่ะ”
เค่ออวิ๋นไหลจะดีเพียงใด หรือฮวาเซียงเซียงจะสนิทสนมกับนางเพียงใด อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครอบครัวของนาง ดังนั้นมู่หรงจาวจึงอยากจะตามหาครอบครัวของตัวเองมาตลอด
ยิ่งไปกว่านั้นในนิยายนางเป็นถึงว่าที่ฮ่องเต้หญิงของเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน ดูจากรูปการณ์แล้ว คนที่ในนิยายไม่ได้เอ่ยถึง มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นมู่หรงเจี๋ยที่เป็นพันธมิตรกับซือถูรุ่ยอยู่ในตอนนี้!
.
.
.