บทที่ 535 เขาใช้อีกวิธีทำให้นางจดจำ
“เผยยวน พวกเจ้าเป็นคนของเผยยวน!” ซือถูรุ่ยตะโกนขึ้นมา
“คนของเผยยวนอะไรกัน เนี่ยเจิ้งอ๋องของพวกเรามาจับเจ้าด้วยตัวเอง บรรพบุรุษตระกูลซือถูของพวกเจ้าคงทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วกระมัง จึงได้เชิญเทพเจ้าองค์ใหญ่มาจัดการปีศาจร้ายเช่นเจ้าอย่างไรเล่า”
ซือถูรุ่ยขมวดคิ้ว “เผยยวน!”
“มัดเขาเอาไว้ให้ดี ชีวิตที่ยากลำบากยังรอเขาอยู่ จะให้เขารีบตายได้อย่างไรกัน พากลับไปเป็นสหายของเซี่ยหยางน่าจะดีกว่า”
เสียเวลาคนทำกับข้าว ช่างน่ารำคาญจริง ๆ
ซือถูรุ่ยถูกพวกเผยเสี่ยวเตากดลงไป และถูกเย่จิ่งฝูสกัดจุดต่าง ๆ เอาไว้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อทำลายกำลังภายในของเขา เช่นนี้เขาจึงจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่แท้จริง ถึงเวลาก็แค่ล่ามเขาเอาไว้ในกรงสุนัข และให้กินน้ำข้าวไป!
ซือถูรุ่ยกัดฟันกรอด แต่ไม่นานก็สงบลง และคิดว่าในยุทธภพคนเก่งและมีความสามารถนั้นมีมากมาย ดวงตาของเขาก็ต้องมีวิธีรักษาอย่างแน่นอน
ถึงเวลาก็แค่หาดวงตาคนอื่นมาเปลี่ยนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“พวกเจ้าคิดว่าใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้แล้วจะสามารถยึดเมืองเจว๋เฉิงได้อย่างนั้นหรือ!?” ซือถูรุ่ยหัวเราะเสียงเย็น “ในเมืองของข้ายังมีท่านอาของข้าซือถูหงอยู่ ต่อให้ไม่มีข้า พวกเจ้าก็ไม่สามารถตีเมืองเจว๋เฉิงได้ง่าย ๆ อยู่ดี!
อีกทั้งท่านอาของข้าก็อยากจะขึ้นมาแทนที่ข้าตั้งนานแล้ว ต่อให้พวกเจ้าเอาชีวิตข้าไปข่มขู่ก็ไม่มีประโยชน์”
เยว่พั่วหลัวถอนขนไก่ไป ก็หัวเราะไปด้วย “ใครจะเอาเจ้าไปข่มขู่กัน เจ้ามีค่ากี่แดงเชียว ช่างยกยอตัวเองเก่งจริง ๆ
ทั้งตัวยังขายได้ไม่ถึงสองเหวินด้วยซ้ำ”
“เฮอะ พวกเจ้าหัวเราะเยาะไปเถอะ ข้าได้เป็นพันธมิตรกับชนเผ่าเร่ร่อนใกล้เมืองเจว๋เฉิงตั้งนานแล้ว ต่อให้ต้าจิ้นของพวกเจ้ามีกองทัพทหารเกราะเหล็กแล้วอย่างไรเล่า ที่นี่ห่างไกลจากเมืองหลวงของพวกเจ้า และเมืองเจว๋เฉิงก็ยังมีอีกเจ็ดเมืองคอยหนุนหลัง พวกเขาไม่มีทางนั่งมองอยู่เฉย ๆ เป็นแน่ ส่วนชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านั้นก็คือทหารลาดตระเวนบนทุ่งหญ้า ไม่มีใครรู้ภูมิศาสตร์ของที่นี่ดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว
เผยยวน ที่นี่จะกลายเป็นที่ฝังศพของพวกเจ้า
พวกเจ้าดูถูกเหยียดหยามข้าไปเถอะ เพราะสุดท้ายสิ่งที่ข้าอยากได้ หากข้ายังไม่ตายข้าจะต้องได้มันมา!”
ทว่าคนทั้งกลุ่มฟังแล้วกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
มิหนำซ้ำยังนั่งลงพูดคุยกันถึงบรรดาตัวร้ายเหล่านั้นด้วย ว่าใครที่หยาบคายกว่ากัน
“ข้าคิดว่าเซี่ยหยาง เพราะเขาร้องโวยวายทุกวัน”
“เซี่ยเจินก็ไม่เลวนะ ได้ยินว่าอยู่ในตำหนักเย็นก็ยังสามารถสรรหาคำมาด่าได้ไม่ซ้ำแต่ละวัน”
“อย่างไรเสียเขาก็เป็นอดีตฮ่องเต้และเป็นคนมีการศึกษา ไม่เหมือนซือถูรุ่ยที่มีจิตใจวิปริตผู้นี้ ฟังดูก็รู้ว่าคงอ่านหนังสือมาไม่กี่เล่ม”
อาเหริ่นเองก็อุ้มซือถูเซิงที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วเข้ามาร่วมวงด้วย บัดนี้ซือถูรุ่ยมองไม่เห็นอีกแล้ว จึงไม่มีดวงตาคู่ที่คอยจับจ้องซือถูเซิงตลอดเวลาอีกต่อไป อย่างน้อยก็ทำให้คนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
คำพูดเมื่อครู่ซือถูเซิงล้วนได้ยินหมดแล้ว ยามที่นางอ้าปากพูดก็มีอาเหริ่นช่วยแปลอยู่ข้าง ๆ
“เนี่ยเจิ้งอ๋อง”
เผยยวนรีบเอ่ยขึ้น “แม่นางซือถูไม่ต้องเกรงใจ เรียกข้าว่าเผยยวนก็พอ”
ซือถูเซิงพยักหน้าช้า ๆ ประโยคนี้ค่อนข้างยาว นางจึงขยับให้ช้าลง
“ข้ารู้ว่า ‘พันธมิตรในทุ่งหญ้า’ ที่เขาพูดถึงเป็นใคร คิดว่าคงเป็นมู่หรงเจี๋ยที่จู่ ๆ ก็ผงาดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้ยินว่าเป็นคนของเผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน
ส่วนท่านอาซือถูหงนั้น เขากับพี่ใหญ่ของข้าไม่ค่อยลงรอยกันมานานแล้ว ท่านอาภักดีต่อท่านพ่อของข้า หลังจากที่ท่านพ่อถูกสังหาร เขาจึงถูกลดตำแหน่งจากรองแม่ทัพไปเป็นทหารเฝ้าประตูเมือง และท่านพ่อของข้าก็เป็นคนยึดเมืองเจว๋เฉิงมาได้ ดังนั้นท่านอาจึงเป็นคนที่จัดการได้ยากกว่าซือถูรุ่ย”
เซิงเซิงพูดถึงตรงนี้ก็อธิบายต่อว่า “ท่านอาแยกตัวมาจากกองทัพของราชสำนักในตอนนั้น ในมือของเขาจึงมีทหารเก่าแก่อยู่ด้วย เทียบกับทหารที่ซือถูรุ่ยรับสมัครมาเหล่านั้นแล้วพวกเขาแข็งแกร่งกว่ามาก ดังนั้นท่านอ๋องต้องระวังให้มาก”
ส่วนนางเดิมก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเมืองเจว๋เฉิงอยู่แล้ว
บ้านเกิดของนางอยู่ที่ต้าจิ้น แต่นางต้องติดตามท่านพ่อมาอยู่ที่เมืองเจว๋เฉิง ท่านพ่องานยุ่งและเดินทางบ่อย จึงทิ้งนางไว้ให้คนรับใช้ในจวนช่วยดูแล พอโตขึ้นก็แทบไม่เคยเจอเขาอีกเลย
ถึงแม้ว่าเทียบกับซือถูรุ่ยแล้ว ท่านพ่อจะดีกับนางมากกว่ามากก็ตาม
ช่วงเวลาแห่งความสุขเหล่านั้น อาเหริ่นล้วนเป็นคนมอบให้ ช่วงเวลาที่นางโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาที่สุด คนเดียวที่อยู่เคียงข้างนางก็คืออาเหริ่น
ความทรงจำที่เจ็บปวดและมืดมนที่สุดก็เกิดขึ้นที่เมืองเจว๋เฉิงเช่นกัน
นางจึงไม่อยากกลับไปที่นั่นอีก
ตอนนี้นางแค่อยากจะอยู่กับผู้ชายที่นางรักและลูก ๆ ของนางเท่านั้น
ส่วนชาวบ้านที่เดิมอาศัยอยู่ในเมืองเจว๋เฉิงนั้น หากเผยยวนสามารถยึดเมืองเจว๋เฉิงคืนมาได้ ก็ถือเป็นการปลดปล่อยพวกเขาเหล่านั้นด้วย
“ข้อมูลเหล่านี้ซือถูรุ่ยเป็นคนเล่าให้ข้าฟังตอนที่เขามาหาข้า คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง ส่วนชาวยุทธ์เหล่านั้นไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร ซือถูรุ่ยเลี้ยงพวกเขาเอาไว้เพียงเพื่อใช้จัดการศัตรูของตัวเองเท่านั้น โดยใช้กลอุบายสกปรกกับพวกเขา”
“การที่เจ้าบอกพวกเราเกี่ยวกับเรื่องของมู่หรงเจี๋ย ก็ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สุดแล้ว”
เพราะเรื่องนี้พวกเขาปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิด แม้แต่หน่วยสอดแนมที่ส่งไปก็ยังไม่รู้
ซือถูเซิงทำสัญญาณให้อาเหริ่นวางนางลง ก่อนจะคุกเข่าลงข้าง ๆ และคารวะให้กับเผยยวน
“แม่นางซือถูเหตุใดถึงทำเช่นนี้เล่า?”
ซือถูเซิงน้ำตาไหลออกมา ก่อนจะอ้าปากพูดว่า “ข้าขอเป็นตัวแทนราษฎรเมืองเจว๋เฉิง ขอร้องเนี่ยเจิ้งอ๋องปลดปล่อยพวกเขาให้กลับบ้านได้ในเร็ววัน ชีวิตของราษฎรเหล่านั้นในเมืองเจว๋เฉิงไม่ต่างอะไรจากหมูหมากาไก่เลยสักนิด”
ครั้งหนึ่งนางเคยพยายามเกลี้ยกล่อมท่านพ่อมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีประโยชน์ นางเป็นแค่สตรีผู้หนึ่งจึงไม่สามารถทำอะไรได้ พูดมากไปท่านพ่อก็หมดความอดทนและสั่งให้นางกลับไปอ่านข้อห้ามสตรีอีกด้วย
นางไม่ชอบเมืองเจว๋เฉิง แต่นางหวังว่าราษฎรที่นั่นจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง
จี้จือฮวนประคองนางให้ลุกขึ้น “เจ้าวางใจเถอะ พวกเรามาก็เพื่อจุดประสงค์นี้”
ซือถูรุ่ยที่อยู่ด้านข้างตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ
เวลานี้ซือถูเซิงต้องการพักผ่อนแล้ว อาเหริ่นจึงตั้งใจว่าจะอุ้มนางกลับไปพักก่อน และค่อยเอาโจ๊กข้าวฟ่างไปให้นางอีกที จี้จือฮวนก็กำลังเตรียมจะไปต้มโจ๊ก
ทว่าตอนที่เดินผ่านข้างกายของซือถูรุ่ย เขาก็เอ่ยปากเรียกนางเอาไว้
“เซิงเซิง”
ซือถูรุ่ยไอออกมาเล็กน้อย “เจ้าเกลียดเมืองเจว๋เฉิงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ซือถูเซิงแม้แต่มองก็ยังไม่อยากจะมองเขา
อาเหริ่นขมวดคิ้ว “คนอย่างเจ้ายังมีหน้ามาถามนางอีกอย่างนั้นหรือ นางมีเหตุผลอะไรต้องชอบที่นั่น หรือชอบเจ้ากัน?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าเป็นแค่ผู้บุกรุกและเป็นคนนอก ส่วนเซิงเซิงก็แค่ถูกเจ้าหลอกก็เท่านั้น!” ซือถูรุ่ยจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร
เขาอยากได้อะไร ก็ไปชิง ไปแย่งมา
เขากับเซิงเซิงเป็นคนที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด ตอนนี้เมื่อมีผู้ชายอีกคนจะมาชิงตัวนางไป เขาไม่ยอม มีอะไรหรือไม่?
เป็นนางเองที่ไม่รู้จักชั่วดีไม่ใช่หรือ?
ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็ไม่ใช่คนผิด!
“เจ้าหุบปากเสียเถอะ!” ไป๋จิ่นปาโคลนใส่เขา หากไม่ใช่เพื่ออยากจะทรมานเขานาน ๆ ละก็ เขาคงเข้าไปทุบกะโหลกของซือถูรุ่ยนานแล้ว
พูดมาแต่ละอย่าง ช่างเหลวไหลสิ้นดี!
สุนัขได้ยินยังอยากจะผูกคอตายเลยด้วยซ้ำ
ซือถูรุ่ยหัวเราะเยาะ ความเจ็บปวดตามร่างกายไม่มีทางเทียบได้กับความจริงที่ว่า ซือถูเซิงไม่มีทางรักเขาและเกลียดเขาได้เลย
เขาเสียใจอย่างนั้นหรือ?
ไม่ ไม่เสียใจ เขาซือถูรุ่ยต่อให้จะต้องตาย ก็ไม่เคยเสียใจที่ตอนนั้นชิงตัวนางกลับมา
อย่างน้อยชั่วชีวิตนี้ของนางก็ไม่มีทางลืมเขาได้ลง
ขอเพียงนางได้ยินชื่อ ซือถูรุ่ย จะต้องรู้สึกหวาดกลัวอย่างแน่นอน ในความฝันทั้งเช้าค่ำเมื่อคิดถึงเขา นางก็จะต้องกัดฟันด้วยความเคียดแค้น
อย่างน้อยเขาก็ใช้วิธีการนี้ เพื่ออยู่ข้างกายของนางได้แล้ว
.
.