บทที่ 530 เสือขวางทาง
จีฝูเย่ตกตะลึงอีกครั้ง
ทัพใหญ่อะไร?
อะไรที่มาถึงหลักเขตแดนแล้ว?
พวกเขาเป็นนักต้มตุ๋นที่ไม่มีเงิน จึงปลอมตัวเป็นเขาไม่ใช่หรือ?
จากนั้นก็เห็นว่าเผยยวนถอดหน้ากากออก “อาศัยประโยชน์จากความสับสนวุ่นวายในตอนนี้ อ้างชื่อของซือถูรุ่ยเพื่อออกจากเมือง เท่านี้ก็น่าเชื่อถือแล้ว”
จี้จือฮวนพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง ดังนั้นต้องจัดการศพเหล่านี้ก่อน จากนั้นพวกเราก็เก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางได้เลย”
“แล้วศพเหล่านี้จะทำอย่างไร?” เรื่องของซือถูรุ่ยนั้น พวกเขาแค่ปลอมตัวก็สามารถออกจากเมืองไปได้อย่างรวดเร็วแล้ว แต่ศพเหล่านี้หากวางไว้เช่นนี้จะสะดุดตาเกินไป
เยว่พั่วหลัวจึงพูดขึ้นมาว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
แค่โรยกู่สลายศพลงไป เพียงพริบตาหนอนกู่ก็กัดกินพวกเขาจนไม่เหลือซากแล้ว
เยว่พั่วหลัวเพิ่งล้วงหนอนกู่ออกมา ทันใดนั้นซือเยียนที่อยู่ข้างกายจีฝูเย่ก็เอ่ยด้วยความเคร่งเครียดขึ้นมา “สำนักกู่! เจ้าเป็นคนของสำนักกู่”
“โอ๊ะ สาวน้อยสายตาเฉียบแหลมมากทีเดียว” เยว่พั่วหลัวปรบมือให้เบา ๆ จากนั้นก็หมุนกายไป หนอนกู่ก็กำลังกัดกินศพเหล่านั้นแล้ว ทำให้กู่ลึกลับในร่างของอาชิงอยากกินด้วย
เวลานี้ซือเยียนก็ขวางอยู่ตรงหน้าของจีฝูเย่อย่างหวาดระแวง “พวกเจ้าไม่ใช่นักต้มตุ๋นในยุทธภพหรอกหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”
“หากเจ้ายืนอยู่ข้างพวกเรา พวกเราก็เป็นพวกเดียวกัน แต่หากว่าเจ้ากล้าวิ่งออกไปตะโกนเสียงดัง เราก็จะเป็นศัตรูกัน” จี้จือฮวนเอ่ย
บรรยากาศจึงตึงเครียดขึ้นมาทันที
จนกระทั่งจีฝูเย่เอ่ยปากขึ้นมา “ข้ากับซือถูรุ่ยผู้นั้นเดิมก็ไม่ได้เป็นมิตรกันอยู่แล้ว ท่านอาจารย์ ท่านช่วยพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าจะร่วมมือกับท่านแน่นอนขอรับ”
เผยยวนจึงได้หันหน้ามามองเขา จีฝูเย่มองใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาพลางทอดถอนใจ คิดไม่ถึงว่าหน้าตาของท่านอาจารย์จะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ เพียงแต่เขายังมองฐานะที่แท้จริงของท่านอาจารย์ไม่ออกว่าเป็นผู้ใดกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้นวรยุทธ์ของเขาก็ยังเหนือกว่าซือถูรุ่ย ดูจากกลุ่มคนที่มีความสามารถรอบตัวเขาแล้ว การปลอมตัวเป็นพ่อค้าอาวุธคนหนึ่งอย่างเขาจะมีประโยชน์อันใดกัน?
แต่ในเมื่อเลือกกราบเขาเป็นอาจารย์แล้ว จีฝูเย่ต่อให้ต้องเดินไปสู่ความมืดมิด ก็ต้องประสบความสำเร็จให้ได้
“ซือเยียน ถอยไป ห้ามเสียมารยาทกับท่านอาจารย์ข้า”
ซือเยียนจนปัญญา จึงถอยไปอยู่ด้านหลังจีฝูเย่อย่างเงียบ ๆ
เยว่พั่วหลัวจึงเอากู่ปลอมแปลงออกมา และโยนมันลงไปบนใบหน้าของซือถูรุ่ย หวังว่ามันจะช่วยทำหน้ากากหนังมนุษย์ให้ได้
สุดท้ายหนอนน้อยเพิ่งจะเข้าไป ก็ใช้เท้าปัดขี้เถ้าเหล่านั้นออกด้วยความรังเกียจ ท่าทางนั้นบ่งบอกว่ารังเกียจเขาอย่างยิ่ง
ส่วนไป๋จิ่นก็โยนเสื้อผ้าของศพเหล่านั้นเข้าไปในเตาไฟ จากนั้นก็สาดน้ำลงบนพื้นกะละมังหนึ่ง “ลูกพี่ฮวนฮวน ก่อนพวกเราจะไป พาไช่หุ่ยผู้นั้นไปด้วยได้หรือไม่?”
“อ้อ ใช่แล้ว! นั่นเป็นศิษย์ทรยศของพวกเราสองสำนัก จะทิ้งเขาไว้ในเมืองและปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด” เยว่พั่วหลัวเอ่ยเตือน
จี้จือฮวนจึงพยักหน้าให้ “ได้อยู่แล้ว แต่พวกเราต้องออกไปให้ได้อย่างปลอดภัยด้วย”
หลังจากนั้นไม่นานแบบจำลองใบหน้าของซือถูรุ่ยก็ถูกทำขึ้นมา เยว่พั่วหลัวจึงเอาไปเปรียบเทียบกับใบหน้าของทุกคนดู สุดท้ายก็พบว่าเว่ยเจ๋อเซิงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดจึงให้เขารับบทเป็นซือถูรุ่ย เมื่อสลับเสื้อผ้าของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้แม้แต่เว่ยเจ๋อเซิงเองดูน่ารังเกียจขึ้นมาทันที
เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จที่ประตูก็มีคนมารายงานพอดี เผยเสี่ยวเตาจึงเปิดประตูออก คนที่มาก็คือคนสนิทข้างกายของซือถูรุ่ย
เมื่อเห็นว่าซือถูรุ่ยอยู่นี่จริง ๆ ก็โค้งกายแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านเจ้าเมือง เรือนทั้งหมดพวกเราได้ค้นหมดแล้วขอรับ แต่ไม่พบร่องรอยของคุณหนูเลย จะออกไปตามหาที่นอกจวนหรือไม่ขอรับ?”
เว่ยเจ๋อเซิงไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา เพียงแค่จ้องลูกน้องคนนั้นนิ่ง ๆ
“ผู้น้อยจะไปค้นหาใหม่เดี๋ยวนี้ขอรับ!” คนเหล่านั้นตกใจเป็นอย่างมาก คิดว่าซือถูรุ่ยจะอาละวาด
“อะแฮ่ม ช้าก่อน!” เว่ยเจ๋อเซิงแสร้งกดเสียงให้ต่ำลง เพื่อให้ใกล้เคียงกับเสียงของซือถูรุ่ย
“ท่านเจ้าเมือง เสียงของท่าน?”
เว่ยเจ๋อเซิงจึงเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “เมื่อครู่ข้าสูดพิษเข้าไปเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก พวกเจ้าไปพาตัวท่านไช่หุ่ยมา แล้วไปเตรียมรถม้า ข้าจะพาท่านฝูเย่ออกจากเมือง”
ผู้ใต้บังคับบัญชางุนงง “ท่านเจ้าเมือง ท่านจะออกจากเมืองตอนนี้หรือขอรับ ไม่ทราบว่า…”
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าจะไปทำอะไรต้องบอกเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ ส่วนพวกเจ้าก็อยู่ค้นหาเซิงเซิงในเมืองต่อ แล้วข้าจะรีบกลับมา”
“ขอรับ ท่านเจ้าเมืองโปรดวางใจ พวกผู้น้อยจะตามหาคุณหนูอย่างสุดความสามารถขอรับ”
เมื่อคนเหล่านั้นจากไปแล้ว เว่ยเจ๋อเซิงจึงได้ลูบหน้าอกตนเองเบา ๆ เกือบจะปล่อยไก่เสียแล้ว โชคดีที่เขาสามารถเลียนแบบท่าทางหยิ่งผยองของเย่จิ่งฝูได้ดี ในที่สุดก็สามารถหลอกพวกนั้นได้สำเร็จ
ทันทีที่ซือถูรุ่ยออกคำสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่กล้าชักช้าอีก รีบเตรียมรถม้าและหามไช่หุ่ยที่นอนนิ่งไม่สามารถขยับเขยื้อนได้จากเรือนหมอมา
เดิมไช่หุ่ยก็รู้สึกร้อนใจอยู่แล้ว เพราะไม่เพียงทำภารกิจที่ซือถูรุ่ยมอบหมายให้ไม่สำเร็จ ทั้งยังได้ยินว่าซือถูรุ่ยได้ทำสัญญากับจีฝูเย่แล้ว ทองคำก็ถูกหามเข้าไปในเรือนของจีฝูเย่แล้วเช่นกัน
ซือถูรุ่ยต้องเอาตัวเขาไประบายความโกรธเป็นแน่ ดังนั้นตลอดทางเขาจึงเอาแต่คิดหาคำแก้ตัว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจยิ่งกว่าก็คือ กู่ลึกลับที่เขาเลี้ยงดูมานานหลายปี ได้จากเขาไปแล้วอย่างแท้จริง
อย่าว่าแต่ไม่เหลือร่องรอยเลย ในเรือนที่ถูกเผาจนไม่เหลือเค้าเดิมนั้น แม้แต่สัตว์พิษตัวเล็ก ๆ ของเขาก็ไม่เหลือเช่นกัน
เมื่อไช่หุ่ยคิดถึงตรงนี้ หัวใจก็ราวกับถูกมีดกรีด
ดังนั้นทันทีที่มาถึงเรือนของจีฝูเย่ก็รู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก กลัวว่าซือถูรุ่ยจะคิดว่าเขาไม่มีประโยชน์แล้ว และจะฆ่าเขาทิ้ง
แต่เขายังไม่ทันเห็นซือถูรุ่ย คนที่เห็นเป็นคนแรกกลับเป็นพวกไป๋จิ่นและเยว่พั่วหลัว
ในมือของไป๋จิ่นถือกล่องใบเล็กเอาไว้ เป็นอย่างที่ไช่หุ่ยคาดเอาไว้จริง ๆ ตอนนี้เขาตกใจจนตัวสั่นไปหมด ดิ้นไปมาบนเปลหามราวกับเป็นลมบ้าหมูอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เวลานี้ไป๋จิ่นได้ชูกล่องใบน้อยขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยกับคนที่หามเขาเข้ามาว่า “เอาคนยัดเข้ามาก็พอแล้ว”
ไช่หุ่ยยิ่งตัวสั่นเทามากกว่าเดิม
ข้าไม่ไป ๆ!!
แต่บรรดาคนรับใช้กลับหามเขาขึ้นไปในรถม้าแล้ว ทั้งยังปิดประตูรถม้าให้อย่างใส่ใจ และแทบอยากจะโค้งคำนับสามครั้งอวยพรให้เขาเดินทางอย่างปลอดภัยอีกต่างหาก
ไช่หุ่ยโมโหจนเกือบกระอักเลือดออกมา ทว่าเพิ่งจะหันไปก็เห็นว่าข้างกายยังมีคนอีกคนนอนอยู่
ไช่หุ่ยรู้สึกว่าลมหายใจนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เยว่พั่วหลัวเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มมองไช่หุ่ย หากออกจากเมืองแล้วพบว่าคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ เป็นเจ้านายของตัวเองอย่างซือถูรุ่ย จะสนุกเพียงใดกัน!
เฮ้อ รายชื่อเชลยของหมู่บ้านตระกูลเฉินมีคนสำคัญเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว
พอใจ น่าพอใจยิ่งนัก! พอใจจนทะลุฟ้า!
“ออกเดินทางเถอะ” เว่ยเจ๋อเซิงนาน ๆ ทีจะได้เพลิดเพลินบนความทุกข์ของคนอื่นเช่นนี้ เขาจึงนอนอยู่ในรถม้า กินผลไม้ เพียงแต่สาวใช้อ้อนแอ้นข้างกายกลับเป็นสตรีที่แบกดาบแทน
ทุกคนต่างรู้สึกกระสับกระส่าย หลังออกจากประตูจวน ข้ามสะพานไม้ และออกจากประตูใหญ่ของจวนซือถูได้สำเร็จ ก็พบว่าประตูเมืองเจว๋เฉิงอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ระหว่างที่จะออกไปเข้าร่วมกับทัพใหญ่ของกองทัพทหารเกราะเหล็กได้แล้วนั้น จู่ ๆ ก็มีคนที่ชอบขวางทางกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมา
คนที่มานั้นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หน้าตาของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับซือถูรุ่ย เวลาพูดก็ไม่ได้ให้ความเคารพแต่อย่างใด
“ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองออกจากเมืองเวลานี้มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ บัดนี้ในเมืองมีเรื่องมากมาย ขอท่านเจ้าเมืองอยู่คอยสั่งการที่จวนด้วย เพื่อให้ราษฎรเบาใจ”
คนบนรถม้าไม่มีใครเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน
เว่ยเจ๋อเซิงจึงลุกขึ้น หลังจากสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วจึงเปิดม่านออก ก่อนจะกวาดตามองชายผู้นั้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ข้าย่อมมีเรื่องสำคัญอยู่แล้ว”
ชายผู้นั้นมองเว่ยเจ๋อเซิงเล็กน้อย “เสียงของท่านเจ้าเมืองวันนี้เหตุใดถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เล่า”
เผยเสี่ยวเตาจึงเอ่ยอย่างหมดความอดทนขึ้นมา “พูดมากทำไมกัน ที่จวนเจ้าเมืองวันนี้มีโจรเข้ามา ท่านเจ้าเมืองถูกพิษจึงเจ็บคอมาก ไม่สามารถหายได้ในเร็ววัน อดทนตอบคำถามเจ้าได้ก็นับว่าดีมากแล้ว! ท่านเจ้าเมืองได้ยินว่าโจรผู้นั้นจะออกจากเมือง จึงจะส่งท่านฝูเย่ออกไปด้วย แต่เจ้าทำท่านเจ้าเมืองล่าช้า เจ้ารับผิดชอบไหวอย่างนั้นหรือ?”
.
.
.