บทที่ 522 ซือถูเซิงต้องอยู่ในจวนอย่างแน่นอน
ซือถูรุ่ยไม่ให้โอกาสจีฝูเย่ได้โต้เถียงอีก ดังนั้นเขาจึงลงมือทันที
เผยยวนกับจีฝูเย่ตั้งรับการโจมตีโดยพร้อมเพรียงแทบจะในทันที แม้ว่าวรยุทธ์ที่ทั้งสองคนใช้จะแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกรังเกียจวิธีการต่ำช้าของซือถูรุ่ยที่ลงมืออย่างกะทันหันเช่นนี้
“ซือถูรุ่ย เจ้าเป็นพวกที่เถียงไม่ชนะก็จะลงมือหรืออย่างไร เสียทีที่เจ้าเป็นถึงเจ้าเมือง แต่กลับใจกว้างเพียงเท่านี้เองน่ะหรือ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!”
จีฝูเย่หมุนขลุ่ยหยกบนปลายนิ้วหนึ่งรอบ และยืนขวางตรงหน้าเผยยวนเอาไว้ “คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ เชิญเทพเข้าบ้านง่าย แต่จะส่งเทพออกจากบ้านนั้นยาก*”
* เชิญเทพเข้าบ้านง่าย แต่จะส่งเทพออกจากบ้านนั้นยาก (请神容易送神难) หมายถึง การจะเชิญคนมาช่วยที่บ้านนั้นง่าย แต่การจะให้คนออกจากบ้านนั้นเป็นเรื่องยาก
“เฮอะ ตอนที่เพิ่งเข้าเมืองมา เจ้ายังร้องขอความช่วยเหลือราวกับขอทานอยู่เลยไม่ใช่หรือ? พอแพ้จนหมดสภาพก็ขอกราบอาจารย์อย่างไร้ยางอาย ตอนนี้กลับกลายเป็นสุนัขรับใช้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ? พอรู้ว่าข้าต้อนรับอาจารย์เจ้าอย่างดีก็เริ่มเหยียบจมูกขึ้นหน้า** เป็นแค่นักต้มตุ๋นคนหนึ่ง ใครให้ความกล้านี้กับเจ้ากัน กล้ากระโดดไปมาต่อหน้าข้าเช่นนี้”
** เหยียบจมูกขึ้นหน้า (蹬鼻子上脸) หมายถึง ฝ่ายหนึ่งใจกว้างไม่ถือสาหาความ แต่อีกฝ่ายกลับยังคงทำท่าทางเย่อหยิ่งใส่
ซือถูรุ่ยพูดจาเยาะเย้ย
จีฝูเย่กลับไม่ได้สนใจ คนธรรมดาอย่างเจ้าจะไปรู้อะไรกัน
คิดว่าชื่อจีฝูเย่สามคำนี้ของเขามีค่ามากอย่างนั้นหรือ?
สิ่งที่มีค่าสำหรับเขาก็คือความสามารถ และฝีมือที่เป็นเลิศต่างหากเล่า!
ตัวอย่างเช่น ท่านอาจารย์ของเขา
เมื่อมองดูซือถูรุ่ยผู้นี้อีกครั้ง คนที่ฆ่าได้แม้แต่พ่อแท้ ๆ ของตนเอง หากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้สัญญาว่าจะให้เงินมากมายเพียงนั้น คิดว่าเขาอยากมาหรืออย่างไร!
อีกทั้งท่านอาจารย์ เพื่อที่จะปลอมตัวเป็นเขา ถึงกับส่งคนมาลอบทำร้ายเขาระหว่างทาง บนโลกนี้คนที่สามารถลอบทำร้ายเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้มีกี่คนกัน ฮือ ๆ ๆ อาจารย์ แม้แต่การลอบทำร้ายคนยังเก่งกาจเพียงนี้!
มีทั้งคุณธรรมและความเมตตา เจ้าดูสิ ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถฆ่าข้าได้ แต่กลับยังไว้ชีวิตข้าและรถอาวุธอีกคัน!
เท่านี้ยังไม่พอพิสูจน์ความสามารถและความใจกว้างของท่านอาจารย์อีกอย่างนั้นหรือ!
“การทำตัวเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีถือเป็นความสามารถของคน แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือคนอย่างท่านเจ้าเมืองซือถูต่างหากเล่า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ข้ายังกลัวว่าคนใกล้ชิดของท่านจะพากันทรยศและตีตัวออกหากเสียมากกว่า”
ซือถูรุ่ยกัดฟัน “เจ้ามันรนหาที่ตายยิ่งนัก!”
เขาเพิ่งจะพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดจบ จีฝูเย่ก็เดินไปที่ข้างกายของเผยยวนด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านอาจารย์ขอรับ คนที่ใจร้อนและโมโหง่ายเช่นนี้ ไม่ใช่ลูกค้าที่ดีที่จะทำการค้าด้วย พวกเราควรไตร่ตรองให้มากจึงจะดีกว่านะขอรับ”
ซือถูรุ่ยอยากจะบีบคอเจ้านักต้มตุ๋นนี่ให้ตายคามือจริง ๆ ทว่าก็ทำไม่ได้เพราะเจ้าเด็กนี่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลัง ‘จีฝูเย่’ เอะอะก็เรียกหาแต่ท่านอาจารย์ ทำให้คนรู้สึกแค้นเคืองมากจริง ๆ
การกระทำที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ของจีฝูเย่ กลับทำให้เยว่พั่วหลัวอดที่จะยกย่องชื่นชมไม่ได้!
เพราะเวลาออกเดินทางสิ่งที่ควรพาไปด้วยก็คือ สุนัขรับใช้ที่ยั่วโมโหคนเก่ง
เผยยวนเห็นซือถูรุ่ยโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว จึงได้ออกหน้าไกล่เกลี่ย “เอาละ เลิกทำให้ท่านเจ้าเมืองซือถูเสียเวลาได้แล้ว ท่านเจ้าเมืองเชิญ”
“พี่จีพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าย่อมไม่ถือสานักต้มตุ๋นคนหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่การที่พี่จีใจกว้างเก็บคนเช่นนี้เอาไว้ข้างกาย ระวังเขาจะสร้างปัญหาให้ท่านภายหลัง”
จีฝูเย่กลอกตามองบน ต้องให้เจ้ามาเป็นกังวลด้วยอย่างนั้นหรือ เพราะข้ามีแต่จะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อท่านอาจารย์ต่างหากเล่า!
เผยยวนไม่อยากดูเขากับจีฝูเย่เอาแต่ทุ่มเถียงกันอยู่ที่นี่ เพราะสิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้ก็คือ ซือถูเซิงอยู่ที่ใดกันแน่!
หากครั้งนี้ยังหาซือถูเซิงไม่เจอ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องล่าช้าไปอีกนานเพียงใด
“จะว่าไปแล้ววันนี้เป็นวันเกิดของท่านเจ้าเมือง ข้าจึงได้เตรียมของขวัญแสดงความยินดีมาให้ด้วย แต่จะขอมอบให้ท่านเจ้าเมืองภายหลัง”
ประโยคนี้ทำให้ซือถูรุ่ยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ความจริงแล้วจีฝูเย่ก็เตรียมของขวัญมาเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาไม่ชอบใจซือถูรุ่ยผู้นี้อีกแล้ว ยังจะต้องให้ของขวัญอะไรกันอีก
เผยยวนเดินเคียงข้างไปกับซือถูรุ่ย “เมื่อคืนข้าทราบข่าวว่าที่จวนของท่านเกิดไฟไหม้ คงไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายกระมัง?”
ซือถูรุ่ยฝืนยิ้มออกมา “มีแขกได้รับบาดเจ็บแค่หนึ่งราย ตอนนี้หมอยังรักษาอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
“เดิมข้าก็อยากจะไปดู แต่หลังจากออกไปกลับได้ยินเสียงเพลงดังมาจากเรือนของท่านเจ้าเมืองไม่หยุด เสียงนั้นราวกับนกขมิ้นที่ออกมาจากหุบเขา ช่างไพเราะจับใจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าท่านใดเป็นผู้ขับร้องอย่างนั้นหรือ?”
ซือถูรุ่ยสีหน้าราบเรียบขึ้นทันใด “แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งก็เท่านั้น หากพี่จีชอบ คืนนี้ข้าจะให้พวกนางมาดูแลท่าน”
“หืม? เสียงร้องเช่นนี้ท่านเจ้าเมืองยังบอกว่าธรรมดาอีกหรือ ยังมีคนที่ร้องได้ไพเราะกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ?”
ซือถูรุ่ยเผยสีหน้าราวกับคิดถึงใครบางคนออกมา “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่นางไม่ร้องเพลงอีกแล้ว”
“ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกัน หากว่ามีโอกาสได้ฟังสักบทเพลง ข้ายินดีที่จะไม่รับค่าจ้าง และจะช่วยท่านเจ้าเมืองทำการใหญ่ให้สำเร็จด้วย”
ซือถูรุ่ยมองเผยยวนด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลง
แต่น่าเสียดายที่เสียงของเซิงเซิงหายไปแล้ว แม้แต่จะพูดออกมาสักประโยคก็ยังพูดไม่ได้
จะช่วยเขาเอาใจจีฝูเย่ได้อย่างไร?
เมื่อครู่เขาไม่น่าคุยโวออกไปเลย แล้วจะไปหาคนที่ขับร้องได้ดีกว่ามาจากที่ใดกัน?
แต่ในเวลานี้ความสนใจของเผยยวนไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของซือถูรุ่ยอีกต่อไป ทว่าเขากำลังสนใจรอยแผลที่คอและมือของอีกฝ่ายมากกว่า
“ท่านเจ้าเมืองซือถู เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้กัน ผู้ใดหาญกล้าได้ถึงเพียงนี้?”
ทว่าแววตาของซือถูรุ่ยกลับอ่อนโยนลง “เป็นคนรักของข้าเอง”
“หืม? ดูเหมือนว่าคงดื้อรั้นยากจะปราบพยศได้ ไม่สู้เปลี่ยนคนใหม่ดีกว่าหรือ?” เผยยวนรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา ดูท่าเมื่อคืนซือถูเซิงอยู่กับซือถูรุ่ยจริง ๆ
หรือไม่ก็อยู่ในจวนแห่งนี้
อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นข่าวดี!
อาเหริ่นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เผยเสี่ยวเตาที่อยู่ด้านข้างจึงกดตัวเขาเอาไว้ ส่งสัญญาณบอกเขาว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด
ขอเพียงรู้ว่าคนยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้พวกเขาต้องพลิกจวนเพื่อค้นหาก็จะต้องหาคนให้เจอ
พริบตาต่อมาเผยยวนก็เปลี่ยนท่าทีและทำตัวสนิทสนมมากขึ้น พร้อมทั้งเริ่มคุยเรื่องเกี่ยวกับอาวุธกับซือถูรุ่ยอย่างเต็มอกเต็มใจ
“การสวนสนามครั้งนี้ ข้าเลือกจัดที่ประตูเมือง เหล่าทหารได้รออยู่ที่นั่นแล้ว ดังนั้นพี่จีช่วยดูให้ทีว่ามีอาวุธอะไรที่เหมาะสมบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นท่านเดินทางไปมาทั่วแคว้นมีความรู้กว้างขวาง คงสามารถให้คำแนะนำข้าได้กระมัง”
ในหัวของเผยยวนตอนนี้กลับกำลังคิดว่าจะหาตัวซือถูเซิงเจอได้อย่างไร จึงเอ่ยอย่างคล้อยตามเขาไป “ท่านเจ้าเมืองชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่งเท่านั้น ที่เสนอว่าต้องการดูสวนสนามก่อนหน้านี้นั้น ก็เพื่อจะได้ขายอาวุธในราคาที่สูงขึ้นก็เท่านั้นเอง”
หลังจากที่พวกเขาขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้ว รองแม่ทัพข้างกายซือถูรุ่ยหลายคนก็เริ่มโบกธง ทหารที่อยู่ด้านล่างพลันเริ่มเคลื่อนไหว
เผยยวนเองก็จัดให้มีการเดินสวนสนามทุกปี อีกทั้งกองทัพทหารเกราะเหล็กก็เป็นกองทัพของทางการ ดังนั้นเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการเชื่อฟังคำสั่ง ย่อมดีกว่ากองทัพที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของซือถูรุ่ย
แต่สิ่งที่แปลกเกี่ยวกับกองทัพของซือถูรุ่ยก็คือ ชุดทหารของเขาแบ่งออกเป็นห้าสี เห็นได้ชัดว่าหม่าเหวินปินที่ก่อนหน้านี้บุกไปเผ่าหมาป่า ก็เป็นหนึ่งในกองกำลังของเขาด้วย
สีทั้งห้าสีนี้แสดงถึงกลยุทธ์การต่อสู้แบบต่าง ๆ
แต่เมื่อดูจากวัยแล้วกลับมีหลายช่วงอายุ เพราะแม้แต่ชายชราในเมืองก็ถูกเกณฑ์มาด้วย สองปีมานี้เมืองเจว๋เฉิงไม่มีผู้ชายหนุ่ม ๆ แล้วหรืออย่างไรกัน?
แถมบางคนก็ยังขาพิการข้างหนึ่ง แขนขาดข้างหนึ่งอีกด้วย
ตามกลยุทธ์ในการต่อสู้ คนหนุ่มที่แข็งแรงควรจะอยู่ด้านหน้า ส่วนคนที่มีอายุมากก็ควรเป็นกำลังเสริมอยู่ด้านหลัง แต่ซือถูรุ่ยกลับทำตรงกันข้าม เขาเอาทหารแก่ ๆ เหล่านั้นมาไว้ด้านหน้า คิดดูก็รู้ว่านี่ก็คือการเอาคนแก่มาเป็นโล่มนุษย์ เพื่อรับการโจมตีระลอกแรก
ส่วนด้านหลังจะถืออาวุธตามความสูง การจัดวางที่ไร้ระเบียบนี้ถือว่าทำได้ไม่เลว แต่กลยุทธ์กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เหมือนกลยุทธ์ที่ชาวยุทธ์ใช้ห้ำหั่นกัน แต่ไม่ใช่การต่อสู้ในสนามรบ
แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีทั้งคนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย และคนพิการ แต่คนหนุ่มที่อยู่ทางด้านหลังกลับถูกแบ่งออก และให้รับผิดชอบอาวุธที่แตกต่างกัน
.
.
.