บทที่ 512 เศษเหล็ก
ซือถูรุ่ยหรี่ตาลง “เจ้าบอกว่าใครมานะ?”
คนที่มารายงานก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “อีกฝ่ายบอกว่าเขาคือท่านฝูเย่ได้รับเชิญมาที่นี่ แต่ระหว่างทางเกิดล่าช้าไปสองสามวัน ผู้น้อยจึงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรขอรับ”
ซือถูรุ่ยชำเลืองมองไปทางเผยยวน จู่ ๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจะยังสู้กันต่อได้อย่างไรกัน
แต่ละคนจึงหยุดมือลง “โอ๊ะ ดูเหมือนว่าท่านฝูเย่ท่านนี้ของพวกเรา ดีไม่ดีอาจเป็นตัวปลอมกระมัง”
“หากนี่เป็นเรื่องเหลวไหลล่ะก็ มิเท่ากับจะถูกคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ?”
“ข้าจะดูสิว่าใครกล้ามากำเริบเสิบสานในเมืองเจว๋เฉิงของเรา ท่านเจ้าเมืองไม่สู้เชิญตัวคนผู้นั้นเข้ามา เมื่อคนทั้งสองเผชิญหน้ากันก็จะรู้เองว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวจริง และใครที่เป็นตัวปลอม จริงหรือไม่ขอรับ?”
“จะว่าไปก็แปลก จีฝูเย่ สามคำนี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจอะไรอย่างนั้นหรือ? เหตุใดช่วงนี้ถึงมีคนปลอมตัวเป็นเขามากมายเพียงนั้นกัน”
ทว่าก็มีเพียงพวกเผยยวนเท่านั้นที่ถือเทียบเชิญของจริง อีกทั้งคนข้างกายของเขาก็มีความสามารถจริง ๆ
แต่ต่อให้เขาจะเป็นจีฝูเย่ตัวจริงหรือไม่ ตอนนี้ทุกคนก็แตกหักกับเขาแล้ว เหตุใดยังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายด้วยเล่า
พวกเยว่พั่วหลัวเริ่มรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย กำลังคิดว่าอีกเดี๋ยวจะลอบวางยาซือถูรุ่ยให้ตายเช่นไรดี
มีเพียงจี้จือฮวนเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งอยู่ อย่างไรเสียตอนเป็นสายลับและปลอมตัวเป็นคนอื่น นางก็เคยผ่านประสบการณ์ถูกตัวจริงจับได้มาแล้ว นางจึงช่ำชองเรื่องพวกนี้อย่างมาก
เผยยวนเองก็ไม่มีอะไรต้องกลัว มาก็มาสิ
อย่างไรเสียเทียบเชิญก็อยู่ในมือของเขา
เขาไม่ยอมรับใครจะทำอะไรได้
“ใช่แล้ว เหตุใดถึงอยากปลอมตัวเป็นข้ากัน แล้วทำไมไม่ปลอมเป็นท่านเล่า หรือเพราะท่านไม่มีชื่อเสียง อยู่บนโลกมาสี่สิบกว่าปีก็ยังคงไร้ชื่อเสียงเรียงนามอยู่ จึงไม่มีใครรู้จักกระมัง”
จี้จือฮวนประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะปากร้ายเช่นนี้ นี่สามารถทำให้คนโมโหจนตายได้เลยนะ
แล้วก็จริงดังนั้น เมื่ออีกฝ่ายโมโหจนร้องเอะอะโวยวายขึ้นมาจริง ๆ ทว่ามีประโยชน์อันใดกัน สู้ก็สู้ไม่ได้ สู้ไปก็ไม่ชนะ โมโหไปเถอะ
ทว่าจุดสูงสุดของพวกเขาไม่ได้หยุดแค่ตรงนี้
ซือถูรุ่ยเห็นเผยยวนมีท่าทางผ่อนคลาย และไม่มีท่าทางตื่นตระหนกเลยแม้แต่นิดเดียว จึงเอ่ยหยั่งเชิงขึ้นมา “พี่จี คนผู้นี้ท่านว่าข้าควรไปพบหรือไม่ไปพบดี?”
เผยยวนสะบัดแขนเสื้อ แล้วพิงจี้จือฮวนด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว “ท่านเจ้าเมืองซือถูอยากไปพบก็ไปพบเถอะ”
ซือถูรุ่ยขมวดคิ้ว ท่าทางลำบากใจเป็นอย่างมาก “เฮ้อ ข้าก็ไม่ได้อยากสงสัยพี่จี แต่ก็ไม่อยากให้คนปลอมตัวเป็นท่านเที่ยวหลอกลวงผู้อื่นอยู่ด้านนอกเช่นนี้ เด็ก ๆ! ไปเชิญจีฝูเย่ผู้นั้นเข้ามา”
“ขอรับ”
จี้จือฮวนป้อนผลไม้ถึงปากของเผยยวน ทั้งสองคนแม้จะไม่ได้พูดกันสักคำเดียว แต่ดูจากความสนิทสนมของพวกเขาแล้ว ก็สามารถยืนยันได้ว่าข่าวลือที่จีฝูเย่โปรดปรานซือเยียนสาวใช้ของตัวเองเป็นพิเศษนั้นคือเรื่องจริง
ทุกคนต่างสงบนิ่งและเฝ้ารอให้จีฝูเย่อีกคนปรากฏตัว ทว่าเมื่อคนเข้ามาจริง ๆ กลับทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
จีฝูเย่ผู้นั้นไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วยมากนัก มีเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น สภาพก็ค่อนข้างสะบักสะบอมและได้รับบาดเจ็บกันทั่วหน้า อีกทั้งรูปร่างเมื่อเทียบกับเผยยวนแล้ว ก็ยังขาดความสง่าผ่าเผยและสูงส่งอย่างคนที่อยู่ดีกินดีอีกด้วย
นอกจากหน้ากากและเสื้อผ้าที่แตกต่างกันเล็กน้อยแล้ว ราศีที่แผ่ออกมาก็ยังสู้คนที่นั่งอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทุกคนที่ได้เห็นต่างคิดในใจ ชิ ยังสู้พวกที่ปลอมตัวมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ซือถูรุ่ยเองก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ทว่าพริบตาต่อมา จีฝูเย่ที่มาใหม่ผู้นั้นก็ได้ต่อว่าเผยยวน “เจ้าเป็นนักต้มตุ๋นจากที่ใดกัน กล้าปลอมตัวเป็นข้าอย่างนั้นหรือ?”
เผยยวนไม่สนใจเขา แค่เห็นสภาพไก่ตกน้ำแกง*ของเขา ก็คิดได้ว่าเทียบเชิญที่ตนได้มา เจียงจือหวยคงส่งคนไปชิงมาเป็นแน่ แต่ช่วยทำงานให้เรียบร้อยกว่านี้หน่อยจะได้หรือไม่!?
* ไก่ตกน้ำแกง (落汤鸡) หมายถึง ลูกหมาตกน้ำ
ฆ่าให้ตายก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?
เผยยวนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่า หากเจอเจียงจือหวยครั้งหน้าต้องต่อว่าเขาสักยก แต่แค่คิดก็รู้ได้ว่าเจียงจือหวยจะตอบกลับมาเช่นไร
“ทุกท่านในที่นี้ช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย ข้าถูกซุ่มโจมตีระหว่างทาง ใบผ่านทางรวมถึงเทียบเชิญทั้งหมดล้วนถูกคนชิงไป ตอนแรกข้าคิดว่าคงเจอโจรเข้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนอยากปลอมตัวเป็นข้า และปะปนเข้ามาในเมืองเจว๋เฉิงนี่เอง”
ทุกคนต่างมองไปทางเผยยวน รอเขาอธิบาย
“น่าขัน คนที่ไม่มีอะไรสักอย่างกลับกล้ามากล่าวโทษคนที่มีใบผ่านทาง และยังเป็นแขกที่เจ้าเมืองเจว๋เฉิงเชิญมาด้วยตัวเอง หรือนี่คือกฎของที่นี่อย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าผู้ใดมาชี้หน้าพวกเราหาว่าเป็นตัวปลอม ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายถูกอย่างนั้นหรือ?” เย่จิ่งฝูพูดจบก็หัวเราะเยาะออกมา
“เฮอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องไม่มีทางยอมรับ แต่ข้าจีฝูเย่ไหนเลยจะยอมให้คนอย่างเจ้ามาแอบอ้างส่งเดชได้!”
จีฝูเย่เอ่ยจบ ก็หันไปเอ่ยกับซือถูรุ่ย “ก่อนที่ท่านเจ้าเมืองซือถูจะเชิญข้ามา เคยเขียนจดหมายให้ข้า เจ้ามีจดหมายฉบับนั้นหรือไม่?”
“ไม่มี” เผยยวนตอบไปตามตรง “ของแบบนี้ไม่เผาทิ้งข้าจะเก็บไว้เป็นมรดกสืบทอดของตระกูลหรืออย่างไรกัน?”
จีฝูเย่สะอึกขึ้นมา “ไม่มีก็คือไม่มี เจ้าบอกว่าเผาไปแล้วอย่างนั้นหรือ! หลอกลวงก็คือหลอกลวง!”
เอ่ยจบเขาก็หยิบจดหมายปึกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สาวใช้ข้างกายรีบเดินเข้าไปทันที “นายท่านของข้าถูกคนลอบทำร้าย ท่านเจ้าเมืองซือถูควรจะได้รู้ความจริง และคิดว่าใครเป็นคนส่งคนเหล่านี้มากันแน่ อย่าหลงเชื่อผิดคนนะเจ้าคะ”
ซือถูรุ่ยมองจดหมายเหล่านั้นเล็กน้อย เขาเป็นคนเขียนจริง ๆ
คราวนี้เรื่องเริ่มซับซ้อนขึ้นมาแล้ว
“พี่จี ท่านอธิบายกับข้าได้หรือไม่? ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เผยยวนขยับพัดเบา ๆ “ผู้บริสุทธิ์ไม่พูดก็ยังบริสุทธิ์ ข้าไม่อยากจะลดตัวไปเปรียบเทียบกับเขา”
จีฝูเย่หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าสู้ไม่ได้มากกว่า”
“ซือเยียน เอาชีวิตเขาซะ!” จีฝูเย่ออกคำสั่ง สาวใช้ข้างกายก็ชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมาทันที กระบี่อ่อนเมื่ออยู่ในมือของนางก็ไม่รู้ว่าใช้กลไกอะไร จากกระบี่จึงกลายเป็นกระบี่สองด้ามในพริบตา และพุ่งเข้าใส่พวกเผยยวน
จี้จือฮวนใช้มือซ้ายดึงกระบี่อ่อนออกมาจากเอวเช่นกัน จากนั้นก็หมุนตัวผละจากข้างกายเผยยวน ชายกระโปรงสีขาวปลิวไสวในอากาศ
ซือเยียนสองคนประมือกันแล้ว!
สมกับที่เป็นองครักษ์หญิงข้างกายของจีฝูเย่ ทุกกระบวนท่าลื่นไหลเฉียบคม ส่วนจี้จือฮวนก็ไม่ได้ด้อยกว่า โดยเฉพาะเคล็ดวิชาลับที่เจียงจือหวยมอบให้นาง นางได้ฝึกฝนอยู่ในห้องลับในมิติพิเศษมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว แม้แต่ตอนนอนก็ยังฝึกกำลังภายในไปด้วย
การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนจึงลื่นไหลราวกับสายน้ำ แต่ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเป็นคนในยุทธภพ ย่อมสามารถมองออกว่ากระบวนท่าของพวกนางนั้นแตกต่างกัน
คนหนึ่งรวมจุดแข็งของแต่ละสำนักเอาไว้ ส่วนอีกคนการเคลื่อนไหวกลับเรียบง่ายและธรรมดา แต่ทุกท่วงท่าล้วนสามารถตอบโต้กระบวนท่าของศัตรูได้ในทันที ขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะอยู่นั้น การต่อสู้ก็ได้จบลงแล้ว
ตอนที่ซือเยียนจะเล่นกลสกปรก จี้จือฮวนก็คว้านางด้วยกรงเล็บเหล็กและกระชากอาวุธของนางมา ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้น
“นายท่านของพวกเราใจกว้าง จึงไม่ถือสาพวกเจ้า มิเช่นนั้นแค่เศษเหล็กเหล่านี้พวกเจ้าคิดจะมากวัดแกว่งขวานหน้าบ้านของหลู่ปานอย่างนั้นหรือ เกรงว่าคงถูกตัดลิ้นและโยนลงกระทะน้ำมันไปแล้ว เพื่อไม่ให้รกหูรกตาคนอื่นอีก”
เมื่อจี้จือฮวนพูดจาเยาะเย้ยจบ จีฝูเย่ก็โมโหอย่างมาก
การที่เขาท่องไปทั่วทุกแคว้น ล้วนอาศัยทักษะอันน่าอัศจรรย์ของตัวเอง แต่บัดนี้กลับถูกนักต้มตุ๋นผู้นี้ด้อยค่าจนไม่เหลือชิ้นดี ถึงกับกล้าบอกว่าอาวุธที่เขาสร้างขึ้นเป็นแค่เศษเหล็กอย่างนั้นหรือ!
คำดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้! เขาไม่สามารถรับได้จริง ๆ!
.
.