บทที่ 499 แผนการของซือถูรุ่ย
อาอินคว้าก้อนหิมะมาอีกสองก้อน แล้วพุ่งตัวออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ พร้อมกันนั้นยังหยิบอาวุธที่เผยยวนทำให้นางไว้ออกมาจากเอว ซึ่งเป็นหอกยาวที่ว่องไวและสามารถยืดได้หดได้
ส่วนทหารเกราะเหล็กที่ซุ่มอยู่รอบ ๆ ก็ได้อุ่นร่างกายรออยู่แล้ว เมื่อพุ่งเข้ามาก็ไม่รอช้าลงมือทันที
ขณะที่เผ่าหมาป่ากำลังคิดจะเข้าไปช่วย ก็เห็นว่ามีชายรูปร่างกำยำกระโดดออกมาจากทุกหนทุกแห่ง เหวี่ยงทหารที่หม่าเหวินปินพามาเหล่านั้นแล้วทุ่มลงบนพื้น ฉุดกระชากลากถูและเหวี่ยงกันไปมา
หลังจากนั้นไม่นาน หม่าเหวินปินก็ถูกชกอย่างแรงจนมองเห็นดาวกลางวันแสก ๆ พร้อมกันนั้นฟันในปากของเขาก็ร่วงจนหมด จากนั้นเผยเสี่ยวเตาก็ลากเขากลับไปที่ค่ายของเผ่าหมาป่าอย่างง่ายดาย ส่วนอาวุธและอาหารแห้งที่เขานำมา รวมถึงเครื่องมือต่าง ๆ ย่อมต้องมอบให้เผ่าหมาป่าไป
“พวก…พวกเจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใค-” หม่าเหวินปินยังคิดจะโต้เถียง ทว่าอาอินกลับยัดหิมะเข้าปากเขาทันที เย็นจนทำให้หนังศีรษะของเขาชาวาบ กลางกระหม่อมรู้สึกชาขึ้นมาจนตาเหลือก ชาจนคนเกือบสลบไป
หลังจากจับคนมัดเอาไว้แล้ว ทุกคนก็ได้อบอุ่นร่างกายกันไปไม่น้อยแล้ว แม้จะยังไม่หายคันไม้คันมือ แต่หากลากคนกลับไปไว้กลางหิมะอีกครั้ง และแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ก็ดูจะเป็นการจงใจไปหน่อย
อูหลางและคนอื่น ๆ ต่างสะกดความหวาดกลัวภายในใจเอาไว้ เวลานี้พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ถึงความจริงใจที่เผยยวนมีต่อพวกเขาว่ามากมายเพียงใด หากเขาเป็นคนเช่นเดียวกับซือถูรุ่ย พาคนบุกขึ้นมาสังหารพวกเขา ครั้งนี้คงไม่มีซือถูเซิงมาช่วยพวกเขาไว้อีกแล้ว
“ท่านย่าอูหลางโปรดอย่าได้ถือสา พวกเราพาคนมา เดิมก็ไม่ได้อยากรบกวนพวกท่าน หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้พวกท่านเกิดปัญหา พวกเขาไม่มีทางปรากฏตัวอย่างแน่นอน” เผยยวนอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
แต่ไม่ใช่ว่าอูหลางจะไม่เข้าใจอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าหากก่อนหน้านี้พวกเขาฝืนจะลงมือกับพวกเผยยวน ชิงตัวเด็ก ๆ กลับมา บัดนี้ผลลัพธ์ที่อยู่ตรงหน้า คนที่ต้องโชคร้ายต้องเป็นพวกเขาอย่างแน่นอน!
พวกฮวาหลางเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในเผ่าแล้ว เป็นกลุ่มคนที่สามารถต่อสู้ได้ดี แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าได้พาคนจำนวนมากเพียงนี้ขึ้นมาบนภูเขาด้วย แสดงให้เห็นว่าทักษะการต่อสู้ของพวกเผยยวนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าของพวกเขาจะสามารถเทียบได้
บางทีสิ่งที่จี้จือฮวนพูดเมื่อครู่นั้นอาจจะถูกต้องแล้ว เผ่าหมาป่าของพวกเขามีเพียงพละกำลังที่แข็งแกร่ง และใช้ได้ผลแค่การสู้กันซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่เจอกับพวกเจ้าเล่ห์ พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เผยเสี่ยวเตาคิดว่าเผ่าหมาป่านั้นเลือกสถานที่ตั้งได้เก่งมากทีเดียว เพื่อให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น จึงเลือกที่จะอยู่ติดกับทะเลสาบน้ำแข็ง สถานที่ไม่ใหญ่นัก แต่กลับมีปลาให้จับกินได้ด้วย
นางหาที่มัดหม่าเหวินปินไม่ได้ ดังนั้นจึงเตะคนลงไปในทะเลสาบแทน
หม่าเหวินปินที่รู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ก่อนที่หัวจะพุ่งลงไปกระแทกกับแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ จนแตก เมื่อถูกเผยเสี่ยวเตาดึงเชือกลากขึ้นมาอีกครั้ง จึงกล้าโผล่ออกมาแค่หัวเท่านั้น
เสื้อผ้าฝ้ายที่สวมใส่เวลานี้เปียกปอนจนหนาหนัก จึงดึงเขาให้จมลงไปราวกับท่อนเหล็ก หม่าเหวินปินหนาวจนสั่นไปทั้งตัว ไหนเลยจะยังกล้ายโสโอหังอีก ตอนนี้ก็เหลือแค่คุกเข่าลงแล้วเรียกท่านพี่ก็เท่านั้น
เผยเสี่ยวเตาจึงหัวเราะออกมา พร้อมกับถือดาบเล่มใหญ่เคลื่อนไหวไปมาอยู่เหนือศีรษะของเขา
“เมื่อครู่ตะโกนเสียงดังเพียงนั้น เจ้าเป็นใคร และใครส่งเจ้ามา ไหนพูดออกมาสิ?”
เยว่พั่วหลัวเข้ามาใกล้ “ท่าทางเช่นนี้ของเจ้ามันอะไรกัน?”
“อ่อ หลายวันมานี้ข้าไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ เลยจะลองแกะสลักฟักเขียวดู” ทันทีที่สิ้นเสียง เผยเสี่ยวเตาก็ถือดาบเริ่มเคลื่อนไหวไปมาเหนือศีรษะของหม่าเหวินปินอีกครั้ง
หม่าเหวินปินรู้เพียงว่าเมื่อดาบกระทบกับแสงและส่องประกายขึ้นมา ผมของเขาก็จะหายไป เหลือเพียงหนังศีรษะที่โดดเด่น!
เขาจึงตะโกนขึ้นทันที “จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตข้าด้วย!!”
“ใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมตอบคำถามของข้าดี ๆ เล่า!” เผยเสี่ยวเตาเริ่มจากโกนมวยผมของเขาก่อน จากนั้นก็ย้ายมาโกนผมตรงหน้าผากขนาดใหญ่ของเขาอีก
หม่าเหวินปินอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ “ข้ายังไม่ทันได้ตอบแค่นั้นเองขอรับ ข้าไม่ได้จะปากแข็งจริง ๆ นะขอรับ!”
เผยเสี่ยวเตาหันหน้าไป “เขาตอบไม่ทันอย่างนั้นหรือ?”
เยว่พั่วหลัวพยักหน้ารับ “อืม เจ้าลงมือเร็วเกินไปแล้ว คนยังไม่ทันได้สติเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่สำคัญ อย่างไรเสียตอบหรือไม่ตอบข้าก็จะฝึกดาบอยู่ดี ดังนั้นรีบพูดมา!”
หม่าเหวินปินโมโหจนแทบจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว เหตุใดถึงมีคนเช่นนี้ด้วย!
ไม่ฟังคนเขาพูดให้จบก็ลงมือแล้ว ตอนที่ท่านเจ้าเมืองส่งเขามา ก็ไม่เห็นมีใครบอกเขาว่าตอนนี้เผ่าหมาป่ากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว
หม่าเหวินปินรู้สึกคับข้องใจจนอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านเจ้าเมืองซือถูรุ่ย ให้มาตามหาหัวหน้าเผ่าหมาป่า”
เผยเสี่ยวเตามองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านข้าง ก็พบว่าทุกคนยังยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ นางจึงเอ่ยถามเสียงเบาขึ้นมา “ใครคือหัวหน้าเผ่าหรือ?”
ไม่นานท่านย่าอูหลางก็เอ่ยรับ “ข้าเอง”
“ซือถูรุ่ยคิดจะทำอะไรกันแน่ คิดว่าเผ่าหมาป่าของเรายังหนีมาไกลไม่พออีกอย่างนั้นหรือ?”
แน่นอนว่าหม่าเหวินปินอยากจะด่ายายแก่ผู้นี้ แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าจริง ๆ จึงได้แต่ทำสายตาวาวโรจน์แล้วเอ่ยขึ้นมา “พวกเราอยู่ในเมืองได้ยินมาว่าที่เพี่ยวโจวเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงต้องการหมาป่าหิมะของพวกเจ้า และถือโอกาสมาตรวจสอบที่นี่ด้วย”
อ้อ~ มีเจตนาอื่นจริง ๆ ด้วย
ก็คิดว่าซือถูรุ่ยผู้นั้นจะมาฆ่าอาเหริ่นเสียอีก
“ก็แค่เท่านี้เอง แต่ที่ข้ายั่วยุพวกเขาก็แค่ทำไปเพราะความเคยชินเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!” หม่าเหวินปินรีบขอร้องอ้อนวอน
แต่แน่นอนว่าในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น เขากำลังครุ่นคิดว่า รอเขากลับไปได้แล้ว ครั้งหน้าจะต้องกลับมาฆ่าเจ้าสุนัขพวกนี้ให้หมดจึงจะหายแค้น
“เหตุใดข้าถึงเชื่อเจ้าไม่ลงกัน นอกจากจากเรื่องพวกนี้แล้ว ไม่มีจุดประสงค์อย่างอื่นแล้วจริง ๆ หรือ?” ดาบของเผยเสี่ยวเตาขยับเข้าไปใกล้อีกครั้ง
หม่าเหวินปินรีบเอ่ยขึ้นมา “อย่า ๆ ๆ จอมยุทธ์หญิงอย่าใจร้อนสิขอรับ ข้าเป็นทายาทรุ่นที่สามเพียงคนเดียวของตระกูลแล้ว!”
เขาหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาออกมา “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ…ก็คือท่านเจ้าเมืองสั่งข้าว่า หากพบคนของเผ่าหมาป่าให้ฆ่าให้หมด โดยเฉพาะ…โดยเฉพาะชายที่ชื่อว่าอาเหริ่นผู้นั้น แล้วพาหมาป่าหิมะกลับไป
ท่านเจ้าเมืองยังบอกอีกว่า หากเขาตายไปแล้ว เช่นนั้นก็ให้ปล่อยเผ่าหมาป่าที่เหลือเหล่านั้นไป แต่หากว่ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ หลังจากตายแล้วก็ให้บดกระดูกและเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่านเสีย”
“สูด ขนาดคนโรคจิตได้ยินยังรู้สึกว่าโรคจิตเลย” เยว่พั่วหลัวกลอกตามองบน หากไม่ฆ่าอาเหริ่น เจ้าซือถูรุ่ยผู้นั้นคงไม่มีทางรามือแน่
จี้จือฮวนจึงเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่เจ้าเมืองเลือกและส่งมา เช่นนั้นซือถูเซิงยังสบายดีหรือไม่?”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ใช่แล้ว เหตุใดถึงลืมซือถูเซิงไปได้
หม่าเหวินปินเมื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงซือถูเซิง แววตาก็เผยความหวาดระแวงออกมาแวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นดาบในมือของเผยเสี่ยวเตา เขาก็ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยตอบไป “ตอนนั้นหลังจากที่คุณหนูกับท่านเจ้าเมืองกลับจวนแล้ว ก็ไม่มีคนรู้ว่านางอยู่ที่ใดอีก”
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร คนทั้งคนเป็นหรือตายเจ้าก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
หม่าเหวินปินได้ยินนางขึ้นเสียงสูงก็รีบเอ่ยขึ้นมา “ข้าไม่รู้จริง ๆ ไม่มีใครในเมืองเจว๋เฉิงรู้เรื่องนี้ เกรงว่าคงมีเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่รู้ว่าคุณหนูอยู่ที่ใด เพราะหลังจากกลับไปที่เจว๋เฉิงก็ไม่มีใครเห็นคุณหนูอีก ข้าเข้าออกจวนเจ้าเมืองบ่อย ๆ นางบำเรอมากมายเพียงนั้น กลับไม่เคยได้ยินใครพูดถึงนางเลย
อีกอย่าง ภายในเมืองเจว๋เฉิง ท่านเจ้าเมืองก็ได้สั่งห้ามทุกคนว่าห้ามเรียกเขาด้วยชื่ออีก และไม่อนุญาตให้ผู้ใดพูดคำว่าซือถูเซิงด้วย”
นี่ก็หมายความว่า ซือถูเซิงเป็นตายอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องถามซือถูรุ่ยด้วยตัวเองแล้ว!
เผยยวนหมุนตัวไปเอ่ยกับอูหลาง “ท่านย่าอูหลาง ตอนนี้พวกท่านอยู่ที่นี่คงไม่ปลอดภัยอีกแล้ว และคนผู้นี้ก็ไม่สามารถปล่อยกลับไปได้ แต่หากทางเพี่ยวโจวไม่มีข่าวส่งกลับไป ซือถูรุ่ยต้องส่งคนมาอีกอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย พวกท่านก็ไปกับพวกเราเถอะ”
.
.
.