บทที่ 498 นับว่าไว้หน้าเขาแล้ว
“ยะ!”
บนถนนสายเล็ก ๆ สายหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาหิมะ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินต้านกระแสลมอยู่
“บัดซบ คนพวกนั้นทนไหวได้อย่างไรกัน?” หม่าเหวินปินบ่นออกมา
“หัวหน้าขอรับ ที่นี่จะมีคนอยู่จริง ๆ หรือขอรับ?”
“ก่อนหน้านี้มีคนหลงทางบอกว่าเห็นหมาป่าหิมะที่นี่ไม่ใช่หรือ? ที่ใดมีหมาป่าหิมะ ที่นั่นต้องมีคนของเผ่าหมาป่าอยู่ไม่ผิดอย่างแน่นอน เดินต่อไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากค้นจนทั่วแล้วจะหาคนไม่เจอ”
หม่าเหวินปินพูดออกมา ทว่าก็ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เพราะบนภูเขาหิมะเช่นนี้ หิมะถล่มไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ดังนั้นต้องเบาเสียงลงหน่อย
เพียงแต่ม้าที่ขี่มาก็รู้สึกหนาวเป็นอย่างมาก พวกมันจึงไม่อยากเดินต่ออีก เอาแต่อืดอาดยืดยาดอยู่กับที่
หม่าเหวินปินใช้แส้ฟาดเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์ มิหนำซ้ำม้ายังดีดและสะบัดหม่าเหวินปินจนตกจากหลังม้าอีกด้วย ก่อนที่ม้าจะวิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้า!
“บัดซบ!” หม่าเหวินปินกลิ้งไปบนหิมะหนึ่งตลบ โชคดีที่ไม่ตกมาแล้วเป็นอะไรไป เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับก่นด่าออกมา ก่อนจะแย่งม้าจากทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ด้านหลัง และเดินหน้าต่อไป
…
อวี้จื่อหนิงและคนอื่น ๆ นั่งยอง ๆ อยู่บนภูเขาได้ไม่นาน ก็เห็นหม่าเหวินปินและพรรคพวกของเขาแล้ว ดูจากการแต่งกายของพวกเขาก็ยังแยกไม่ออกว่าเป็นทหารฝ่ายใดกันแน่
แต่กลับเป็นฉู่จิ้นที่เอ่ยขึ้นมา “เป็นลูกน้องของซือถูรุ่ย เจ้าเมืองเจว๋เฉิงคนปัจจุบัน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” อวี้จื่อหนิงเอ่ยถามออกมา เวลานี้หิมะได้ปกคลุมใบหน้าทำให้ใบหน้าของเขาแข็งไปหมดแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถูใบหน้าไปมา
ฉู่จิ้นเอ่ยอย่างสบาย ๆ “ท่านลุงของข้าเคยบอกว่า ชุดทหารของซือถูรุ่ยทางด้านซ้ายจะมีคำว่า ‘เจวี๋ย’ ความหมายก็คือไร้ความรู้สึก ไร้ความรัก ไร้ความตาย”
“นี่มันดัด…นี่นา” อวี้จื่อหนิงคิดอยู่นานก็คิดคำเปรียบเทียบไม่ออก
ทว่าเมิ่งชื่อฮว่าที่อยู่ข้าง ๆ กลับเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ตามที่พระชายาเคยพูด เช่นนี้เรียกว่าดัด…จริต”
“ใช่! พระชายามักจะด่าปากาเช่นนี้ ข้าว่าซือถูรุ่ยผู้นี้ก็คงจะไม่ต่างกัน แต่พวกเขาขึ้นมาบนภูเขาหิมะเช่นนี้ หรือว่าจะมาสอดแนมชายแดนของเรา?”
เมิ่งชื่อฮว่าหรี่ตาลง “พูดยาก รอดูไปก่อนเถอะ”
พวกเขายังไม่ได้รับข่าวจากทางหลิวเฟิง ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งยอง ๆ อยู่ที่นี่เพื่อคอยเป็นกำลังเสริมให้พวกเผยยวน เพราะกลัวว่าเผ่าหมาป่านั่นจะไม่ยอมให้พวกเขาพาเด็ก ๆ กลับไป และจะบังคับจับกุมไว้ที่นี่
“เอ๊ะ เหตุใดพวกเขาถึงเข้าไปด้านในเล่า? เช่นนั้นไม่เท่ากับไปพบท่านอ๋องและพระชายาของพวกเราหรอกหรือ! ไม่ได้ ข้าต้องไปห้ามพวกเขา” อวี้จื่อหนิงกำลังจะลุกขึ้นมา ทว่ากลับถูกหลิวเฟิงที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกดเอาไว้เสียก่อน “อย่าขยับ”
หลิวเฟิงจ้องมองคนพวกนั้น ก่อนจะพูดออกมาตรง ๆ “คนอยากรนหาที่ตายเจ้าจะไปขวางทำไม”
งานอดิเรกของพระชายาทุกคนต่างก็รู้ดี ทั้งสี่ฤดูก็คือการจับตัวเชลย
คิดว่าเพราะเปลี่ยนสถานที่ นางจะไม่สะดวกจับเชลยอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทาง มีเพียงจับเชลยให้มากเท่านั้น ชีวิตจึงจะเจริญรุ่งเรือง
เรื่องการทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้น ล้วนขึ้นอยู่กับพระชายาของพวกเขาทั้งสิ้น
…
หม่าเหวินปินบ่นพึมพำไปตลอดทาง
“หัวหน้า ข้าเหมือนได้ยินเสียงคนกำลังคุยกัน ยังมีเสียงหมาป่าหอนด้วยขอรับ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเสียงหมาป่าหลายตัวหอนรับกันขึ้นมา ทุกคนต่างก็คิดถึงตำนานของหมาป่าหิมะ และเริ่มกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี ทุกคนล้วนนำอาวุธที่ใช้จับหมาป่ามาด้วย หากพวกมันเชื่อฟัง เช่นนั้นทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้น แต่หากขัดขืนล่ะก็ อย่าหาว่าพวกเขาไม่เกรงใจก็แล้วกัน
หม่าเหวินปินจึงสั่งการทันที “บุกเข้าไป!”
พูดจบก็มุ่งหน้าไปยังที่มาของเสียง พวกเขาควบม้ามา แต่เห็นได้ชัดว่าม้าของพวกเขารับรู้ได้ถึงอันตรายจึงไม่อยากเข้าไปใกล้ พวกเขาดึงบังเหียนเอาไว้แน่น ในมือถือตาข่ายล่าสัตว์เอาไว้แน่น
และในตอนนั้นเอง ลูกหมาป่าตัวน้อยที่เพิ่งวิ่งได้ตัวหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากเนินสูง พร้อมแลบลิ้นออกมาอย่างมีความสุข และกระโดดไปมาบนหิมะ
หม่าเหวินปินหรี่ตาลง “ซ่อนตัวเก่งจริง ๆ พี่น้องทั้งหลาย บุกเข้าไป หมาป่าหิมะที่จับได้จะเป็นมื้อค่ำของวันนี้ ส่วนหนังของพวกมันก็จะถลกไปมอบให้ท่านเจ้าเมือง!”
“ยะ!” หม่าเหวินปินออกคำสั่ง ทหารม้าที่อยู่ด้านหลังก็รีบวิ่งเข้าไปหาหมาป่าหิมะตัวเล็กนั่นทันที
“อะวู้!” ด้านหลังของลูกหมาป่าหิมะ มีหมาป่าหิมะที่โตเต็มวัยหลายตัวปรากฏตัวขึ้น
และคนของเผ่าหมาป่าต่างก็หยิบอาวุธของตัวเองขึ้นมา รอพวกเขาอยู่บนเนิน
“ดูเหมือนว่าจะอยู่กันครบ ปล่อยให้พวกข้าตามหาเสียตั้งนาน!” หม่าเหวินปินยิ้มเย็นออกมา “ยืนอยู่เฉย ๆ เถอะ”
ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาก็ค่อย ๆ ล้อมพื้นที่นี้เอาไว้
พวกฮวาหลางจ้องหม่าเหวินปินเขม็ง แทบอยากจะพุ่งเข้าไปเด็ดหัวเขาเสียเดี๋ยวนี้
เพราะหม่าเหวินปินเวลานี้กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างเย่อหยิ่ง “ยายแก่ในเผ่าของพวกเจ้าเล่า ให้นางออกมาคุยกันหน่อย”
พวกฮวาหลางกำลังจะด่าออกไป ทว่าท่านย่าอูหลางก็เดินออกมาพร้อมกับไม้เท้าแล้ว
“หาข้ามีธุระอันใด?”
หม่าเหวินปินยิ้มเย็น “ย่อมเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว หรือต้องให้ข้าขึ้นไปหาเจ้าด้วย เจ้าควรจะลงมาฟังคำสั่งเสียดี ๆ!”
เผ่าหมาป่าได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็นฟืนไฟ มีชายฉกรรจ์บางคนถึงกับยกขาขึ้นเพื่อจะพุ่งตัวลงไป อาอินก็ปะปนอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย นางห่อตัวด้วยหนังสัตว์แน่นหนา เมื่อได้ยินดังนั้นก็คว้าหิมะมาหนึ่งกำมือ และปั้นเป็นลูกขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
ท่านย่าอูหลางเคยเห็นโศกนาฏกรรมที่เกือบจะทำลายล้างเผ่าพันธ์ุมาแล้ว ดังนั้นนางจึงออกคำสั่ง ห้ามสมาชิกในเผ่าเข้าไปปะทะกับฝ่ายตรงข้ามโดยเด็ดขาด
หม่าเหวินปินเห็นพวกเขาโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแต่ไม่กล้าลงมือ ก็แสดงความโอหังมากกว่าเดิม
“ชิ ๆ ๆ ตอนนั้นแข็งแกร่งกันนักไม่ใช่หรือ? ดูท่าหลายปีมานี้คงจะเชื่องลงแล้วกระมัง ทั้งยังรู้ด้วยว่าข้าเป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ พวกเจ้าดูสิ นี่ก็คือเผ่าหมาป่าที่แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ข้าว่าคงเปลี่ยนเป็นเผ่าสุนัขธรรมดาไปแล้ว! เผ่าสุนัข ฮ่า ๆ ๆ ขี้ขลาดจริง ๆ”
“สุนัขก็เป็นสุนัขวันยังค่ำ สุนัขตัวน้อย ร้องให้ข้าฟังหน่อยสิ! มาสิ!” หม่าเหวินปินหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
แต่จู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะก้อนหนึ่งกระแทกเข้าที่ใบหน้า ทำให้หม่าเหวินปินถึงกับร่วงลงจากหลังม้าและลงไปกองกับพื้น
เผ่าหมาป่าตกตะลึง ทุกคนต่างก็มองไปยังอาอินน้อยที่ยืนเท้าเอวอยู่ตรงนั้น
จากนั้นเด็กน้อยก็ด่าออกมา เสียงกังวานใสก้องไปทั่วบริเวณ “สัตว์เดรัจฉานที่ใดมาเห่าหอนที่นี่กัน แจ้งชื่อมา แล้วข้าจะมอบหิมะไปให้เจ้าอีกสองลูก ทั้งยังจะตีจนพ่อแม่ของเจ้าจำลูกสุนัขอย่างเจ้าไม่ได้เลยคอยดู!”
หม่าเหวินปินวันนี้ตกลงจากม้าเป็นครั้งที่สองแล้ว ความโมโหจึงพุ่งถึงขีดสุดแล้ว
“บัดซบ กล้าสู้กลับอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าพวกเจ้าคงจะกินดีหมีหัวใจเสือเข้าไปกระมัง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาไม่กี่ปี ก็ลืมเสียแล้วว่าใครอนุญาตให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่-”
เขาพูดยังไม่ทันจบ อาอินก็ปาหิมะที่ก้อนใหญ่กว่าลูกเมื่อครู่ออกไปทันที
ก้อนหิมะที่ถูกปาด้วยเด็กสาวที่มีพลังช้างสาร จะเป็นแค่ก้อนหิมะธรรมดาได้อย่างไรกัน?
คราวนี้หม่าเหวินปินผู้นั้นถึงกับกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง และกระแทกลงกับพื้นจนหิมะยุบเป็นรูปร่างคน
ไม่เพียงแต่ทหารที่หม่าเหวินปินพามาจะตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่คนของเผ่าหมาป่าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
หลังจากที่ฮวาหลางได้สติ ก็รีบดึงอาอินไปไว้ด้านหลัง “อีกเดี๋ยว…เจ้าไปซ่อนตัว…พวกเรา…จะปกป้องพวกเจ้าเอง”
แต่อาอินกลับดึงนางมาไว้ด้านหลังของตัวเองแทน “อีกเดี๋ยวตอนที่พวกเราสู้อยู่ พวกท่านก็ไปจัดการเรื่องอาหารเถอะ ไม่ต้องให้พวกท่านลงมือก็สามารถจัดการคนพวกนี้ได้แล้ว”
อาอินทำหน้าจริงจัง ไม่มีท่าทางล้อเล่นกับพวกเขาแม้แต่น้อย ฮวาหลางกำลังจะพูดต่อ ก็เห็นคนสามสี่คนกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือร้ายที่หลุดออกจากกรงก็มิปาน
“พวกเจ้า! ระ~วัง…” คำพูดของเผ่าหมาป่ายังติดอยู่ในลำคอ ทว่าเผยเสี่ยวเตากับไป๋จิ่นก็ยกดาบฟันลงไปแล้ว เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว จากนั้นก็โยนมือที่ถูกฟันจนขาดให้หมาป่าหิมะที่พุ่งเข้ามากัดกินเป็นอาหารอีกด้วย
“…”
คน…คนเหล่านี้คือใครกัน!
.
.
.