บทที่ 497 แผนการชั่วร้าย
อาเหริ่นเงยหน้าขึ้น ตั้งใจมองอาอินและอาชิงเป็นครั้งแรก
แต่ไม่นานเขาก็สลบไปอีกครั้ง คนของเผ่าหมาป่าต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก “อาเหริ่น!”
เผยยวนวางอาชิงลง แยกคนของเผ่าหมาป่าที่ห้อมล้อมออก แบกอาเหริ่นขึ้นมาแล้ววางเขาลงบนเตียงน้ำแข็งอย่างเดิม จี้จือฮวนก้าวเข้าไปตรวจชีพจรทันที อูหลางก็รีบหยิบยันต์ออกมา และอีกหลายคนก็กำลังเตรียมจะกรีดข้อมือเพื่อเอาเลือดให้เขาดื่ม
เยว่พั่วหลัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้าจะทำอะไรกัน?”
“พวกเราจะรักษาเขา อาเหริ่นต้องถูกมารร้ายจองจำเอาไว้แน่ เลือดของพวกเราสามารถช่วยขับไล่มารร้ายได้”
จี้จือฮวนวางข้อมือของอาเหริ่นลง “เก็บเลือดเอาไว้เถอะ ร่างกายเขาแค่อ่อนแออยู่ก็เท่านั้น เพราะตื่นเต้นจึงทำให้สลบไปอีก ไปต้มโจ๊กเนื้อมาหน่อยสิ”
พวกฮวาหลางต่างก็มองหน้ากัน “หมายความว่าอย่างไร อาเหริ่นไม่เป็นอะไรแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เดิมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอยู่แล้ว แต่ว่า…อาชิง เมื่อครู่เจ้าทำอะไรกันแน่?” จี้จือฮวนเอ่ยถาม
ทุกคนต่างก็มองไปยังอาชิงน้อยที่กำลังถูแขนตัวเองอยู่
เจ้าตัวเล็กกำลังเสียใจเพราะถูกอาเหริ่นบีบจนเจ็บ เมื่อเห็นทุกคนมองมาจึงเอ่ยด้วยความโมโห “เขาถูกคนวางยาพิษแล้วยังถูกกู่ทำร้ายด้วย แต่ได้ราชาร้อยกู่ช่วยไปจับหนอนกู่นั่นมากิน จากนั้นก็ได้เพียงพอนน้อยดูดเลือดที่เป็นพิษออกให้ เขาถึงได้ฟื้นขึ้นมา”
เผ่าหมาป่ากลับไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร “ไม่ใช่คำสาปของเทพหมาป่าหรอกหรือ?”
เยว่พั่วหลัวกลอกตามองบน ก่อนจะเข้าไปดมเบา ๆ “กู่ความฝัน”
ไป๋จิ่นก็จับเพียงพอนขาวขึ้นมาและเขย่าตัวมันไปมา เมื่อเพียงพอนขาวอ้าปากขึ้น เขาก็ดมกลิ่นเล็กน้อย “พิษฝันร้าย”
เมื่อทั้งสองคนพูดจบก็สบตากันเล็กน้อย และคิดว่าซือถูรุ่ยผู้นั้นเป็นคนบ้าและสารเลวที่หาได้ยากจริง ๆ
“หากใช้สองสิ่งนี้พร้อมกันจะเป็นอย่างไร?”
“กู่ความฝันจะทำให้คนหลับลึกและฝันร้ายทุกวัน และต้องอยู่กับความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้พวกเขาอยากตายก็ตายไม่ได้ แต่จะเกลียดชังตัวเองตลอดไป”
“ส่วนพิษฝันร้ายจะค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือดทีละเล็กทีละน้อย ทำให้สมองหยุดทำงานอย่างช้า ๆ จนกลายเป็นคนโง่เขลา เมื่อทั้งสองส่งเสริมและข่มกันเอง จะทำให้คนฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ แต่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ ตกอยู่ในห้วงแห่งการหลับใหล จนกระทั่งเลือดเหือดแห้งและตายไป เป็นวิธีการทรมานและทำให้คนเจ็บปวดที่สุด”
เยว่พั่วหลัวเอ่ยเสริม “คนที่วางพิษและวางกู่ได้ ต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน เพราะของประเภทนี้ ภายในสำนักของเราคนที่สามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้ ก็หาได้ยากอย่างยิ่ง”
ไป๋จิ่นพยักหน้าเห็นด้วย “คงจะเป็นฝีมือของเจ้าบ้าซือถูรุ่ยนั่นเป็นแน่ เขาสัญญาว่าจะปล่อยเผ่าหมาป่าและปล่อยอาเหริ่นไป แต่ความจริงกลับฆ่าอาเหริ่นไปแล้ว อีกอย่าง พิษและกู่นี่ หากไม่มีราชาร้อยกู่ ทั้งใต้หล้าก็ไม่ใครรักษาได้อย่างแน่นอน”
เพียงพอนแค่ช่วยดูดพิษออกมาให้เท่านั้น แต่หากหนอนกู่ในร่างกายยังไม่ตาย พิษก็จะยังคงไหลเวียนต่อไป กลับกันจะทำให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรงขึ้นเพราะถูกพิษอื่นโจมตี มีโอกาสมากที่อาเหริ่นจะเสียชีวิตในทันที
“บางทีอาจมีเทพเจ้าหมาป่าคอยคุ้มครองเขาอยู่จริง ๆ กระมัง”
ราชาร้อยกู่เลือกพักอยู่ในร่างของอาชิง การกลับมาของอาชิงจึงทำให้อาเหริ่นฟื้นขึ้นมา
“ซือถูรุ่ยผู้นั้นช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ราชาร้อยกู่แม้แต่สำนักกู่ของพวกเราก็ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็น ต่อให้พวกเจ้ากราบกรานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ เกรงว่าคงทำได้แค่มองดูอาเหริ่นตายจากไปก็เท่านั้น” เยว่พั่วหลัวทอดถอนใจออกมา ช่างเป็นคนสารเลวที่มีจิตใจชั่วช้าจริง ๆ
พวกฮวาหลางฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็พอเข้าใจความหมายของพวกเขาคร่าว ๆ ว่าซือถูรุ่ยเป็นคนทำร้ายอาเหริ่น อาเหริ่นเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้น
“เช่นนั้นอาเหริ่นจะสลบไปอีกหรือไม่?”
จี้จือฮวนเอ่ยตอบ “พักผ่อนให้มากไม่นานก็หายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหนุ่มแน่นอยู่ พื้นฐานร่างกายเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
กลับเป็นท่านย่าอูหลางที่ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเจ้าคือ?”
เยว่พั่วหลัวจึงไม่คิดจะปิดบัง “ธิดากู่แห่งสำนักกู่ เยว่พั่วหลัว เป็นอาจารย์ของอาชิง
อาภรณ์ขาวสำนักพิษ ไป๋จิ่น”
มีทั้งกู่และพิษ ท่านย่าอูหลางจึงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หากเมื่อครู่คนเหล่านี้คิดจะฆ่าพวกเขาล่ะก็ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คงเป็นเรื่องง่ายราวกับดีดนิ้วกระมัง
“ข้าตาไม่มีแวว มองไม่ออกเอง เมื่อครู่ล่วงเกินทุกท่านแล้ว”
ความหวาดระแวงในสายตาของท่านย่าอูหลางเวลานี้ได้หายไปแล้ว มีเพียงความขอบคุณเท่านั้น เผ่าหมาป่าเดิมทีก็มีนิสัยเรียบง่ายอยู่แล้ว การซ่อนตัวจากโลกภายนอกมานานทำให้ขาดความรู้ไปมาก แค่คำพูดที่พวกเขาพูดเมื่อครู่ ก็ต้องใช้เวลานานมากในการทำความเข้าใจ
คนทั้งกลุ่มจึงเห็นว่าไม่เหมาะที่จะอยู่รบกวนตอนที่จี้จือฮวนรักษาอาเหริ่น ดังนั้นจึงได้ออกไปกันทั้งหมด ส่วนอาอินก็ใช้หม้อดินของพวกเขาต้มโจ๊กให้อาเหริ่นอยู่
แขนของอาชิงถูกบีบจนช้ำ เผยยวนจึงนำยามาทาให้เจ้าตัวเล็ก
“ท่านพ่อ ข้าร้ายกาจหรือไม่ขอรับ?”
เผยยวนรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขา จึงบีบแก้มอ้วน ๆ ของเขาอย่างมันเขี้ยว “ร้ายกาจ อาชิงของพ่อร้ายกาจที่สุด”
“อิ ๆ ๆ” อาชิงเอาหัวไถไปกับอ้อมแขนของเผยยวน การกระทำของสองพ่อลูกล้วนอยู่ในสายตาของเผ่าหมาป่า ใครก็ตามที่ไม่ได้มีสายตาอคติ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเผยยวนรักอาชิงจริง ๆ
อาอินเคี่ยวโจ๊กจนข้นแล้วชิมไปหนึ่งคำ จึงได้ยกเข้าไปในบ้านน้ำแข็งด้วยความพอใจ
“ท่านแม่เจ้าคะ”
จี้จื้อฮวนก็เตรียมให้อาเหริ่นกินยาบำรุงร่างกาย
โดยอาอินคนเดียวก็สามารถลากตัวอาเหริ่นขึ้นมาได้แล้ว ก่อนจะให้เขาพิงบนกำแพงน้ำแข็งด้านหลัง เปิดปากของเขาออกและอาศัยตอนที่โจ๊กยังอุ่นอยู่รีบป้อนให้เขาทันที
ตอนแรกอาจป้อนได้ยาก แต่ก่อนหน้านี้อาอินมีประสบการณ์การป้อนข้าวให้เผยยวนมาแล้ว จึงทำภารกิจนี้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
นางพูดน้อยลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่จี้จือฮวนก็เข้าใจนาง หากนางไม่ยอมรับอาเหริ่นก็คงไม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เขา
จี้จือฮวนจะคอยสนับสนุนการตัดสินใจของนางตลอดไป
…
ฮวาหลางเดินเข้าไปที่ข้างกายของเยว่พั่วหลัว อยากถามให้ละเอียดว่าอาการป่วยของอาเหริ่นนั้นคืออะไรกันแน่
และเยว่พั่วหลัวก็เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย จึงอธิบายทุกอย่างให้นางฟังอย่างละเอียด ทั้งยังหยิบเพียงพอนและหนอนกู่ออกมาอธิบายหลักการให้นางฟังอีกด้วย
พวกเผ่าหมาป่าเวลานี้จึงเข้าใจได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าซือถูรุ่ยที่น่ารังเกียจนั่นจะใช้วิธีที่ต่ำช้าเช่นนี้
และเมื่อเห็นไป๋จิ่นและคนอื่น ๆ หนาวจนตัวสั่น จนแทบไม่อยากจะออกจากข้างกองไฟ ก็รีบไปที่บ้านของตัวเองเพื่อเอาเสื้อผ้าที่ทำจากหนังสัตว์มาคลุมให้พวกเขา ซึ่งช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากจริง ๆ
ในตอนนั้นเอง หลิวเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา หมาป่าหิมะกำลังเตรียมที่จะโจมตีหลิวเฟิง เผยยวนก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “เขาเป็นคนของข้า มีอะไรหรือ?”
หากไม่มีเรื่องสำคัญ หลิวเฟิงไม่มีทางปรากฏเช่นนี้แน่
“ท่านอ๋อง มีกองทหารม้ากำลังมุ่งหน้ามายังภูเขาหิมะ เป้าหมายคาดว่าคงจะมาตามหาเผ่าหมาป่าขอรับ”
“เห็นหรือไม่ว่าเป็นใคร?”
“จากระยะไกลเห็นเพียงชุดทหารสีแดงที่สวมเกราะทับเท่านั้นขอรับ”
เผยยวนพยักหน้ารับรู้ “พวกเจ้าไปซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ ๆ นี้ อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม รอคนมาแล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับ”
เผยเสี่ยวเตาจึงเอ่ยถามขึ้นมา “ช่วงนี้พวกเจ้าได้ไปล่วงเกินใครเข้าหรือไม่?”
อูหลางส่ายหน้า “ตั้งแต่เกิดเรื่องของซือถูรุ่ย แม้แต่ในเมืองพวกเราก็ไม่เคยเข้าไป จะไปล่วงเกินใครได้อย่างไรกัน”
ประกอบกับผู้ชายที่แข็งแรงในเผ่าเวลานี้ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว ไหนเลยจะมีความสามารถไปหาเรื่องคนอื่นได้ เพื่อปกป้องตัวเองพวกเขาจึงทำได้เพียงอพยพไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ไป๋จิ่นเอ่ยขึ้นมา “สนใจเขาทำไมกัน มีสีน้ำมันสีแดงหรือไม่ เอามาให้พวกเราหน่อย รอคนมาถึงก็คงรู้แล้วว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไรไม่ใช่หรือ?”
แต่ทางที่ดีภาวนาให้คนกลุ่มนี้เป็นเพียงคนผ่านทาง หรือคนที่หลงทางมาก็พอ หากว่ามาหาเรื่องล่ะก็ เช่นนั้นก็ถือว่าพวกเขาโชคร้ายแล้ว ในภูเขาหิมะที่กว้างใหญ่เช่นนี้ หากไม่ขยับร่างกายเสียบ้าง อาจจะหนาวตายได้จริง ๆ
.