บทที่ 491 ใช่แน่แล้ว
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา กองทัพทหารเกราะเหล็กที่ล้อมเข้ามาก็ชะงักไป
ทุกคนต่างรู้ดีว่าลูกแท้ ๆ ของท่านแม่ทัพยังไม่เกิด ทั้งสามคนล้วนเป็นเด็กที่ท่านแม่ทัพเก็บมาเลี้ยง เมื่อก่อนแม้แต่การเลี้ยงเด็กท่านแม่ทัพก็ทำไม่เป็น จึงทำได้เพียงเข้าไปในเมืองและเชิญสตรีที่เคยเลี้ยงเด็กมาสอน
ตอนนั้นฝาแฝดทั้งสองถูกคนทิ้งไว้ในภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และมีกลุ่มคนเสียชีวิตอยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาจึงคิดว่าสมาชิกในครอบครัวของเด็กน้อยคงประสบกับเหตุร้าย จึงได้พาพวกเขากลับมาด้วย
แต่ตอนนี้เผ่าหมาป่ากลับบอกว่าเป็นลูกหลานของพวกเขา…
หรือจะเป็นญาติของเด็กทั้งสองคนจริง ๆ?
เผยยวนเองก็คิดเช่นนั้น แต่เรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะพูดกันบนท้องถนน “หากพวกเจ้าเชื่อข้า ก็ตามข้าเข้าไปคุยกันในโรงเตี๊ยม”
เผ่าหมาป่าไม่มีอะไรต้องกลัว พวกเขาจึงพยักหน้ารับคำทันที สายตาก็มองไปทางเด็กทั้งสองอย่างแรงกล้าอีกครั้ง
กลับเป็นเด็กทั้งสองคนที่คราวนี้เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
เดิมทีพวกเขาก็เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว ฟังที่พวกผู้ใหญ่พูดจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก นี่จะมาพาพวกเขาไปชัด ๆ
จะพาพวกเขาไปจากท่านพ่อท่านแม่!
แต่พวกเขาไม่อยากไปจากท่านพ่อท่านแม่!
หลังจากเข้าไปในโรงเตี๊ยม เผยยวนและจี้จือฮวนก็ให้เด็ก ๆ รออยู่ด้านนอก และสั่งให้เซียวเซวียนจิ่นกับหานฉีจับตามองเด็กน้อยทั้งสองคนเอาไว้
แต่อาอินกับอาชิงกลับไม่ยอม พวกเขานั่งอยู่ตรงบันไดจ้องมองคนของเผ่าหมาป่าเหล่านั้นด้วยใบหน้าถมึงทึง หากไม่ใช่เพราะเผยยวนกับจี้จือฮวนอยู่ด้วย พวกเขาคงจะไปหยิบท่อนไม้มาไล่คนแล้ว!
เซียวเซวียนจิ่นรู้ว่าคงไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ จึงทำได้เพียงอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา
เผยยวนส่งชาไปตรงหน้าพวกเขา เผ่าหมาป่าก็ไม่ดื่มไม่กิน เพียงแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างดื้อดึงว่า “คืนเด็ก…ให้พวกเรา”
“พวกเจ้าบอกว่าเด็กสองคนนี้เป็นคนในเผ่าของพวกเจ้า มีหลักฐานอะไรมายืนยันกัน เรื่องอะไรข้าต้องเชื่อพวกเจ้าด้วย หากจะมารับก็ควรให้พ่อแม่ของพวกเขามารับเอง อาศัยแค่คำพูดประโยคเดียวจากพวกเจ้า ข้าไม่มีทางมอบเด็กให้พวกเจ้าแน่”
เผยยวนเอ่ยจบ ก็รู้สึกไม่สบายใจ
เด็กสองคนนี้อาจจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเขา เลือดที่ไหลอยู่ภายในกายก็ไม่ใช่เลือดของเขา แต่นอกเหนือจากนั้นพวกเขามีอะไรที่แตกต่างจากลูกแท้ ๆ ของเขากัน?
ต่อให้วันนี้พ่อแม่แท้ ๆ ของพวกเขาจะอยู่ที่นี่ด้วย เผยยวนก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไป!
สามารถทิ้งลูกไว้ท่ามกลางหิมะ และจนถึงป่านนี้ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะมาตามหาเลยสักครั้ง ตอนนั้นขอแค่พวกเขาไปปิดประกาศที่ที่ว่าการก็คงไม่มีวันนี้
ทว่าเผ่าหมาป่ากลับเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา ท่าทางดื้อรั้นเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าบกพร่องเรื่องการสื่อสาร
จี้จือฮวนจึงเอ่ยถามขึ้นมา “พ่อแม่ของพวกเขาเล่า?”
เผ่าหมาป่ามองหน้านาง “อาเหริ่น นอน…หลับแล้ว”
“อาเหริ่นหรือ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“เป็น…พ่อของพวกเขา”
เผยยวนขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็ให้เขามาด้วยตัวเอง”
“มา…ไม่ได้”
จี้จือฮวนดึงเผยยวนหนึ่งทีแล้วพูดขึ้น “พวกเขาบอกว่าหลับไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีก?”
ความจริงแล้วนางเองก็ไม่อยากจะคิดในแง่ดี แต่ในใจลึก ๆ ก็รู้สึกว่าผู้คนที่อาศัยอยู่กับสัตว์ ไม่ได้มีจิตใจซับซ้อนเพียงนั้น สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาเป็นไปได้สูงว่าเป็นความจริง
และการที่คนคนหนึ่งหลับไป ไม่ตายแต่ไม่สามารถมาได้ นอกจากจะเป็นเหมือนเผยยวนเมื่อก่อน ก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว
เผยยวนจึงหันหน้าไปถาม “ตอนนั้นทิ้งเด็กสองคนเอาไว้ที่ใด พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่?”
เผ่าหมาป่าพยักหน้าหงึก ๆ “พั่นโจวตะวันออก ภูเขาหมาป่า”
หัวใจของเผยยวนหนักอึ้ง จี้จือฮวนเห็นปฏิกิริยาของเขาก็รู้ว่าใช่แน่แล้ว
นางจึงดึงเผยยวนเดินไปอีกด้านหนึ่ง “พวกเขาพูดถูกอย่างนั้นหรือ?”
“อืม ตอนนั้นหลังจากหลงซีทั้งแปดเมืองถูกข้าศึกยึดไป เมืองพั่นโจวที่ถูกตระกูลซือถูโจมตีและยึดครองก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเจว๋เฉิง ในนั้นมีพวกชั่วช้าสามานย์ที่ราชสำนักประกาศจับอยู่หลายคน และตระกูลซือถูต่างก็เป็นคนบ้าระห่ำ ทั้งยังอยู่ใกล้กับเมืองชายแดนของเรา จึงคอยรังควานพวกเราอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นข้ามาเป็นกองหนุน อาศัยตอนที่ราชสำนักยังไม่มีคำสั่ง ใช้ทางลัดผ่านภูเขาหิมะ จึงได้พบกับเผ่าหมาป่าเข้า
เพราะได้พวกเขานำทางให้ ข้าจึงสามารถออกมาจากทุ่งหิมะได้อย่างราบรื่น แต่ต่อมาเมื่อข้าไล่ตามศัตรูมาใกล้จะถึงพั่นโจวอีกครั้ง ก็ไม่พบร่องรอยของเผ่าหมาป่าอีก เดิมพวกเขาก็มักจะอยู่ร่วมกับหมาป่าหิมะ ข้าจึงคิดว่าพวกเขาคงไปอยู่อื่นแล้ว จึงไม่ได้สนใจอะไร
และเป็นตอนนั้นเองที่ข้าผ่านสนามรบชายแดน เก็บเด็กทั้งสองคนกลับมาจากบนภูเขาหิมะ”
“เหตุใดตอนแรกเจ้าถึงไม่สงสัยเลยเล่าว่าพวกเขาอาจเป็นเผ่าหมาป่า?”
เผยยวนส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าไม่สงสัย เพียงแต่ข้าเคยพูดคุยกับเผ่าหมาป่า และรู้มาว่าเมื่อลูกของพวกเขาเกิดมา บนใบหน้าจะถูกทาด้วยสีแดงที่ทำจากวัตถุดิบพิเศษเป็นอย่างแรก พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่าการคุ้มครองของเทพเจ้าหมาป่า อีกอย่างเพื่อป้องกันความหนาวเย็น พวกเขาจึงชอบสวมใส่ขนสัตว์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทารกแรกเกิด
ทว่าอาอินกับอาชิงกลับถูกห่ออยู่ในห่อผ้า ที่ทำจากผ้าไหมชั้นดีสองชั้นเท่านั้น ผ้าไหมนั่นมีเนื้อสัมผัสที่ลื่นมือ ไม่ใช่ของที่ชาวบ้านธรรมดาหรือเผ่าหมาป่าจะสามารถมีได้อย่างแน่นอน”
อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าเขาจึงไม่ได้คิดถึงเผ่าหมาป่า
“เช่นนั้น…พวกเราควรไปดูหรือไม่?”
เผยยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากว่าพ่อแม่ของพวกเขา ทำลูกทั้งสองคนหายไปเพราะไม่มีหนทางจริง ๆ เช่นนั้นก็ต้องทำให้ชัดเจน พวกเราไม่สามารถลิดรอนสิทธิ์ห้ามพวกเขาไม่ให้รู้จักกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดได้”
จี้จือฮวนก็คิดเช่นเดียวกัน อย่างน้อยไปดูว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ส่วนจะให้เด็ก ๆ กลับไปหรือไม่นั้น ค่อยหารือกันทีหลัง
แต่หากว่าจงใจทิ้งจริง ๆ ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาเอง ก็อย่าหวังว่าจะเอาเด็กไปได้
หลังจากที่ทั้งสองคนตัดสินใจดีแล้ว ก็หันไปพูดกับเผ่าหมาป่าเหล่านั้น “คำพูดของพวกเจ้า พวกเราได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นับว่ามีความเป็นไปได้ แต่พวกเราต้องการไปดูที่เผ่าของพวกเจ้าก่อน เพื่อเป็นการยืนยัน”
เผ่าหมาป่าใบหน้าแฝงด้วยความสงสัย และไม่อยากจะตกลง
เผยยวนจึงยื่นคำขาด “หากไม่ยอม พวกเจ้าก็ไปได้แล้ว แต่จะไม่สามารถเอาตัวเด็กไปได้”
เผ่าหมาป่าคิดจะต่อสู้ ทว่าผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างก็ดึงเขาเอาไว้ “เด็ก…ก็ต้อง..ไปด้วย”
ความคิดของพวกเขานั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร อยู่ที่นี่พวกเขามีคนน้อยกว่า แต่หากไปถึงบนภูเขาพวกเขาก็จะสามารถยึดตัวเด็กเอาไว้ได้
จี้จือฮวนกับเผยยวนย่อมมองแผนการของพวกเขาออก
คิดว่าพวกเขาจะขึ้นเขาไปแค่สองคนจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
เห็นว่าพวกเขาโง่หรืออย่างไร หากกล้าขัดขวางไม่ยอมให้กลับ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าพวกเขาไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน
แต่เรื่องนี้ต้องถามความเห็นของพวกเด็ก ๆ ก่อน
จี้จือฮวนกับเผยยวนจึงเข้าไปในห้อง แล้วเรียกเด็กทั้งสองคนเข้ามา
แต่เด็กทั้งสองกลับต่อต้านเป็นครั้งแรก เอาแต่ยืนพิงอยู่ที่ข้างประตูไม่ยอมเข้ามา
จี้จือฮวนจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำไม กลัวพ่อกับแม่จะกินพวกเจ้าหรืออย่างไร”
อาชิงจึงร้องไห้ออกมาทันที จากนั้นก็วิ่งตึงตังเข้ามา กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของจี้จือฮวนทันที สาวน้อยคิงคองที่น้อยครั้งจะร้องไห้ก็เช่นกัน อาอินยื่นมือไปจับเผยยวนอย่างช้า ๆ “ท่านพ่อ พวกท่านอย่าส่งพวกเราให้คนอื่นเลยนะเจ้าคะ ต่อไปพวกเราจะตั้งใจเรียนหนังสือ ข้าไม่เอาหมาป่าหิมะแล้วก็ได้ แต่ข้าไม่อยากไป”
อาชิงเองก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “อาชิงก็จะตั้งใจเรียนกู่ จะไม่ห่วงเล่นอีกแล้ว จะต้องเป็นปรมาจารย์ที่เก่งที่สุดให้ได้ ดังนั้นอย่าทิ้งอาชิงกับพี่หญิงเลยนะขอรับ”
ทั้งสองคนได้ฟังแล้วก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย ความรักที่มีให้พวกเขานับว่าไม่สูญเปล่า “ใครบอกว่าจะส่งพวกเจ้าไป พ่อกับแม่เพียงอยากจะไปดูว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ เพราะไม่อยากให้ชีวิตของพวกเจ้ามีเรื่องที่ต้องเสียใจภายหลัง”
“พวกเขาไม่เอาพวกเราแล้ว พวกเราจะไปสนใจพวกเขาอีกทำไมกัน”
“เดิมพ่อกับแม่ก็คิดเช่นนั้น แต่หากพ่อกับแม่แท้ ๆ ของพวกเจ้ากำลังลำบากอยู่เล่า? ดังนั้นพ่อกับแม่จึงอยากจะไปดูให้เห็นกับตา ส่วนพวกเจ้าจะไปด้วยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเจ้าเองแล้ว พ่อกับแม่จะไม่บังคับพวกเจ้า”
.
.
.