บทที่ 483 กองทัพที่เอาแต่กิน
“ทำศึกมาตั้งหลายปี เพิ่งจะเคยเห็นคนหน้าไม่อายเช่นนี้เป็นครั้งแรก!” เหล่ารองแม่ทัพที่อยู่บนหลังม้าก็พากันก่นด่าออกมา
พวกเขาไม่ได้ถอยทัพกลับจินโจวแต่อย่างใด และยังตั้งมั่นอยู่ที่เดิม
จี้จือฮวนเรียกรวมทหารที่มีหน้าที่ทำอาหารให้ตั้งหม้อใบใหญ่ที่ตรงนั้น อวี้จื่อหนิงรู้สึกงุนงง จึงเดินไปนั่งข้าง ๆ จี้จือฮวนแล้วเอ่ยถามขึ้นมา “ฮูหยิน ท่านไม่โมโหหรือขอรับ? พวกเรายังไม่ทันได้สู้เลย อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราด้วยซ้ำ แต่กลับถูกพวกมันข่มขู่เอาได้”
จี้จือฮวนกำลังเตรียมอาหาร ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “เด็ดถั่วงอกซะ แล้วก็หยิบเนื้อวัวตุ๋นมาด้วย”
อวี้จื่อหนิงเด็ดถั่วงอกตามที่นางสั่ง “ท่านช่วยพูดอะไรหน่อยสิขอรับ”
จี้จือฮวนมองหน้าเขา “ร้อนใจไปแล้วมีประโยชน์อันใดกัน นี่ยังเช้าอยู่เลย ต้องกินอะไรร้อน ๆ ก่อนถึงจะถูก”
อวี้จื่อหนิงนับถือความอดทนของจี้จือฮวนจริง ๆ เป็นเขาคงสาปส่งไปนานแล้ว
ทันทีที่เขาหมุนตัวไป ก็เห็นเผยยวนช่วยหั่นซี่โครงให้อยู่…
แม้ว่าอาหารในกองทัพจะอร่อยมากจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้มีเนื้อวัวหรือซี่โครงหมูทุกมื้อ และมีกี่กองทัพกันที่สามารถทำเช่นนี้ได้?
อวี้จื่อหนิงเกิดมายากจน เนื้อที่เขาได้กินมาทั้งชีวิตยังไม่เยอะเท่าที่ได้กินหลังจากเข้าร่วมกองทัพทหารเกราะเหล็กเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาจึงเด็ดถั่วงอกไปด้วย และเบียดตัวอยู่กับพวกกองปืนไฟ
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ว่างงานอยู่ จึงช่วยกันสร้างเตาไฟกลางแจ้งขึ้นมา อย่างไรเสียติดตามจี้จือฮวน ไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนมีของอร่อยให้กินทุกครั้ง และนางก็มักจะทำอาหารที่แปลกใหม่ออกมาอยู่เสมอ
…
ส่วนทางด้านนี้ สือฟางก็ได้ส่งสายลับไปตรวจสอบแล้ว
เจ้าเซี่ยเซวียนนั่นก็ยังคุกเข่าและด่าทออยู่ด้านนอกไม่หยุด ทำให้สือฟางหงุดหงิดอย่างมาก
“กองทัพทหารเกราะเหล็กถอยไปถึงที่ใดแล้ว?”
“ตอนนี้พวกเขาปักหลักอยู่ที่เนินเขานอกเมืองห่างไปสิบลี้ขอรับ”
“ดูท่าเผยยวนคงจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ แน่” สือฟางเอ่ยเบา ๆ
สายลับมีท่าทางอึกอักเล็กน้อย
“มีอะไรก็พูดมา อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อะไรของเจ้ากัน”
สายลับก้มหน้าลง “พวกเขาตั้งเตาทำอาหารที่เนินนั้นขอรับ”
ทหารมากมายเพียงนั้น จะพักกินข้าวก็เป็นเรื่องปกติ สือฟางยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาก่อนจะนั่งลง
“ไปสืบอีกแล้วค่อยมารายงาน”
“ขอรับ”
…
“ครูฝึกเจ้าคะ สิ่งนี้กินได้หรือไม่เจ้าคะ!” มู่เหยากวงออกมาจากในป่า ในมือถือเห็ดมาด้วย
“นี่คือเห็ดกระเพาะแพะ ผัดกับเนื้ออร่อยมาก” จี้จือฮวนดูอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ยขึ้นมา “ไปเก็บมาให้เยอะกว่านี้อีกหน่อย”
มู่เหยากวงจึงรีบไปหยิบตะกร้าใบใหญ่จากทหารที่มีหน้าที่ทำอาหารมา คนมากมายเพียงนี้ต้องเก็บมาให้เยอะ ๆ หน่อย
หน่อไม้ที่อยู่ในป่านั่นก็ไม่เลว!
“พระชายา ในป่านั่นมีแม่น้ำไหลผ่านและมีปลาด้วยขอรับ”
“ไปจับมา!”
แม้แต่กางเกงซับในสักตัวก็ไม่ต้องเหลือทิ้งไว้ให้พวกสือฟาง
ทหารฝ่ายที่มีหน้าที่ทำอาหารได้ฝึกทำอาหารกับจี้จือฮวนมานานแล้ว หลังจากเตรียมวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว เมื่อน้ำมันร้อนก็ใส่เครื่องปรุงรสลงไป ทำให้มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทันที!
ใครที่ไม่รู้คงคิดว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กมาเฉลิมฉลองปีใหม่ที่นี่เสียอีก!
…
แม้จะอยู่กันไกล แต่ลมนั่นก็ยังพัดพาเอากลิ่นหอมลอยไปจนถึงประตูเมืองอวิ๋นจง
“กลิ่นอะไร?”
“ใครทำอาหารกัน เหตุใดถึงได้หอมเพียงนี้”
“เหมือนจะมีกลิ่นเนื้อวัวและเนื้อแกะด้วย”
คนที่อยู่ตรงนี้ นอกจากตำแหน่งอย่างสือฟางแล้ว เนื้อวัวกับเนื้อแกะไม่ใช่ว่าใครก็สามารถกินได้
สายลับกลับมาอย่างรีบร้อน ตอนที่วิ่งขึ้นมาบนกำแพงเมือง ยังเกือบหายใจไม่ทันอีกด้วย
“ท่านแม่ทัพขอรับ กองทัพทหารเกราะเหล็กกำลังทำอาหารอยู่ขอรับ พวกเขาเอาหน่อไม้และปลาในแม่น้ำนอกเมืองของพวกเราไปกินหมดแล้วขอรับ”
สือฟางชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าบอกว่าพวกเขาทำอะไรนะ?”
“ทำ…ทำอาหารกินกันขอรับ”
กลิ่นหอมนั่นพวกกองทัพทหารเกราะเหล็กเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ!?
“ท่านแม่ทัพ หรือว่าพวกเขาไม่คิดที่จะกลับไปขอรับ”
สือฟางคิดไปคิดมา “พาทหารกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ไปลอบโจมตีพวกมัน”
ต่อให้กองทัพทหารเกราะเหล็กจะไม่ยอมกลับไป แต่คิดว่าพวกเขาจะยอมอยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวอะไรอย่างนั้นหรือ?
และเวลานี้สือฟางก็ต้องการจะติดต่อกับคนของแปดเมืองในหลงซี เพราะต้าจิ้นมีการประกาศราชโองการไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว มีใครไม่รู้บ้างว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กจะมายึดเมืองคืน
ดังนั้นเวลานี้พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องร่วมมือเท่านั้น ขอเพียงกำลังเสริมมาถึง กองทัพทหารเกราะเหล็กก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!
…
ทว่าเมื่อทหารและม้ากลุ่มเล็ก ๆ ของกองกำลังสือฟางออกมาจากเมืองได้ไม่นาน ก็ถูกทหารเกราะเหล็กที่ดักซุ่มอยู่ทั้งสองด้านของป่าโจมตีแล้ว!
“กำลังหงุดหงิดที่ไม่มีที่ระบายความโกรธอยู่พอดี จู่ ๆ ก็ส่งคนมาหาถึงที่”
ทหารเกราะเหล็กจึงยกกำปั้นซัดเข้าไป ให้พวกเขาได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งที่แท้จริงเสียบ้าง จากนั้นก็ลากพวกเขาเข้าไปในค่าย
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่พวกเขาเก็บเกี่ยวได้มาก!
ความสุขที่สามารถจับเชลยมาได้! ใครจะสามารถเข้าใจได้กัน!
“ท่านอ๋อง พระชายา เจ้าโจรเฒ่าสือฟางนั่นส่งคนมาลอบโจมตีพวกเราจริง ๆ ขอรับ ยังดีที่เราเตรียมการเอาไว้แล้ว”
“กฎเดิม”
“เข้าใจแล้วขอรับ เอาตัวไป!”
ส่วนเอาคนไปมอบให้ใครนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นไป๋จิ่นและเยว่พั่วหลัวที่กำลังทะเลาะกันอยู่
วิธีการของกองทัพในเมื่อก่อนนั้น เทียบกับผู้เชี่ยวชาญสองท่านนี้แล้ว ยังห่างชั้นกันอยู่มากทีเดียว
หากอยากรู้สถานการณ์ในเมืองอย่างละเอียด ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว
“พวกเจ้าเลิกฝันเถอะ! ต่อให้จะฆ่าพวกเรา ก็ไม่มีทางล้วงอะไรจากปากพวกเราได้อย่างแน่นอน!”
เยว่พั่วหลัวเข้ามาพร้อมกัดเนื้อแห้งไปหนึ่งคำ อีกมือก็โยนหนอนกู่สองตัวออกไป และล้วงกลองป๋องแป๋งออกมา “พวกเราไม่เอาชีวิตของพวกเจ้าหรอก เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล”
“พวกเราแค่จะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตายก็เท่านั้น!”
ทางด้านนี้ จี้จือฮวนก็ทำอาหารเสร็จแล้ว จึงตะโกนเรียกให้เหล่าทหารมาเข้าแถวรับอาหาร วัตถุดิบสดใหม่ วิธีการปรุงอาหารที่เน้นธรรมชาติมากที่สุด สดอร่อยจนคนกินแทบจะลอยได้แล้ว
กินไปก็ฟังเสียงร้องโหยหวนของทหารสือฟางไปด้วย อยู่ในที่ทุรกันดารเช่นนี้ ทำให้อาหารอร่อยไปอีกแบบจริง ๆ!
“เสียงร้องของคนนี้โหยหวนกว่าคนเมื่อครู่นี้เสียอีก”
“อืม หากมีเหล้าขาวอีกสักสองชั่งก็คงจะดี เสียงร้องคนนี้ดังกว่าจริง ๆ”
เยว่พั่วหลัวที่จะรีบไปกินข้าว เมื่อจัดการพวกเขาจนมีสภาพร่อแร่แล้ว จึงได้ออกมาพลางพูดขึ้น “ลูกสาวของสือฟางตายแล้ว”
จี้จือฮวนไม่เข้าใจ “ลูกสาวของเขาแต่งงานกับเซี่ยเซวียนไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ ในเมืองมีข่าวลือว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กของเราเป็นคนทำ แต่สือฟางดูเหมือนจะไม่เชื่อ ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์เช่นเมื่อเช้านี้ขึ้น”
“สือฟางยังนับว่าฉลาดอยู่”
สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ นอกจากเซี่ยเซวียนแล้วจะเป็นใครได้อีก?
หากหานเหล่ยยังอยู่ข้างกายเขา เขาก็คงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้
สือซุ่ยซุ่ยเป็นยันต์คุ้มภัยเดียวของเซี่ยเซวียนในเพี่ยวโจว ขอเพียงเกลี้ยกล่อมสือซุ่ยซุ่ยสำเร็จ คิดว่านางจะไม่เข้าข้างสามีของนางอย่างนั้นหรือ?
แต่เพราะสือซุ่ยซุ่ยตายแล้ว มิน่าเล่า สือฟางถึงได้ลากเซี่ยเซวียนออกมาต่อรอง
จี้จือฮวนกินข้าวไปคำหนึ่ง ในหัวก็คิดแผนการใหม่ขึ้นมาได้
“ได้ยินมาว่าสือฟางเป็นคนที่รักลูกเมียมากไม่ใช่หรือ?”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ” เผยยวนหันไป “เจ้าคิดที่จะ…?”
“เขาเอาราษฎรมาข่มขู่เรา เราจะทำบ้างไม่ได้หรือ?
เด็ก ๆ พาทหารกลุ่มเล็ก ๆ กลับจินโจว และนำร่างของเหลียงจงกับหวังป้าเทียนมาที่นี่” จี้จือฮวนหรี่ตาลง
ยังต้องคิดหาวิธีลอบเข้าไปในเมืองเพื่อขโมยโลงศพของสือซุ่ยซุ่ยมาด้วย ถึงเวลา ดูสิว่าสือฟางจะทำเช่นไร!
เขาจะฆ่าชาวบ้าน นางก็จะเอาศพให้สุนัขกิน!
ดูสิว่าใครจะโหดเหี้ยมกว่ากัน
…
สือฟางส่งคนไปสืบดูสถานการณ์เป็นระยะ เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ทหารที่เขาส่งไปกลับถูกจับจนหมด ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา
แต่ตอนนี้เขายังทำอะไรเผยยวนไม่ได้ เขาสูญเสียเหลียงจงและหวังป้าเทียนไปแล้ว คนข้างกายที่สามารถใช้การได้ก็เหลือไม่มากแล้ว
บ้างก็มีประสบการณ์ไม่เพียงพอ บ้างก็มีแต่จะทำอะไรหุนหันพลันแล่น ล้วนเป็นพวกขาด ๆ เกิน ๆ ทั้งนั้น
หากไม่ได้การจริง ๆ สือฟางก็ตัดสินใจว่าจะละทิ้งเมือง อย่างไรเสียพวกเขาก็สามารถยึดเมืองอื่นได้อีก เพราะมีทางเดินใต้ดินอยู่แล้ว
.
.
.