บทที่ 474 เปลืองสายตา
เมื่อไป๋จิ่นลืมตาขึ้นมาฟ้าก็มืดแล้ว หลังกลับมาจากสนามรบก็ผล็อยหลับไปทันที ตอนนี้สะลึมสะลือลุกขึ้นมาเพราะรู้สึกกระหายน้ำ
เมื่อเปิดประตูห้องออกไป ก็พบว่าในร้านขายยานี้ไม่มีใครอยู่เลย ทหารที่บาดเจ็บล้วนกลับไปพักฟื้นที่บ้านกันหมดแล้ว อย่างไรเสียพวกเขาต่างก็มีบ้านอยู่ในเมืองนี้
ในลานบ้านที่เย็นยะเยือก ไป๋จิ่นที่นอนนานเกินไปและยังงุนงงอยู่ จึงเดินไปข้างบ่อน้ำก่อนจะถอดเสื้อผ้าออก เผยให้เห็นกล้ามแขนที่แข็งแรงและกล้ามเนื้อที่เป็นลอนชัดเจน เขาตักน้ำขึ้นมาถังหนึ่ง จากนั้นก็ราดตั้งแต่หัวลงมา
หยดน้ำไหลลงมาตามผิวกายของเขาก่อนจะหายเข้าไปในขอบกางเกง ช่างดูเย้ายวนยิ่งนัก บาดแผลที่ด้านหลังเมื่อถูกน้ำเย็นก็ทั้งแสบทั้งชา ไป๋จิ่นจึงสูดปากเบา ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วก่อนจะเอี้ยวตัวมองไปด้านหลัง
“อ้าก!” เขาตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว และเกือบจะตกลงไปในบ่อน้ำ
ก่อนจะเห็นเยว่พั่วหลัวถือเทียน และกำลังยืนมองเขาอยู่
“ดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียง เจ้าอยากจะทำให้คนตกใจตายหรืออย่างไร?!”
เยว่พั่วหลัวเอาเทียนลง “ข้าจะมาดูแผลให้เจ้าน่ะสิ เหตุใดตื่นแล้วถึงไม่ยอมส่งเสียงเล่า”
ไป๋จิ่นเกาหลังแล้วพูดขึ้นมา “บอกเจ้าทำไมกัน เจ้าจะใส่ยาให้ข้าหรือ?”
“อืม เจ้ายังไม่ตื่น หากข้าถือวิสาสะถอดเสื้อผ้าเจ้าออกคงจะไม่เหมาะเท่าใดนัก” เยว่พั่วหลัวล้วงยารักษาบาดแผลและเบตาดีนที่จี้จือฮวนเตรียมไว้ให้ออกมา “มาเถอะ ข้าจะไม่ทะนุถนอมเพียงเพราะเจ้าเป็นดอกไม้ที่งดงามหรอกนะ”
มุมปากของไป๋จิ่นกระตุกขึ้นมาทันที แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ เขากลับนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงอย่างเชื่อฟัง ที่ข้างเท้างูสองตัวกับเพียงพอนขาวของเยว่พั่วหลัวกำลังแยกเขี้ยวใส่กันอยู่
ประตูได้ปิดลงแล้ว เหตุผลก็เพราะกลัวว่าจะมีลมยามค่ำคืนพัดเข้ามา
ภายในห้องมีเพียงแสงสลัว ๆ จากเทียนเล่มหนึ่งเท่านั้น เยว่พั่วหลัวขมวดคิ้วและมองดูบาดแผลที่ทับซ้อนกันบนร่างกายของเขา
ไป๋จิ่นไม่เคยใช้ดาบสู้ตายกับคนอื่นเช่นนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาสำนักพิษมักจะใช้พิษเพื่อชัยชนะ
ดังนั้นเนื้อขาว ๆ ของเขาจึงมีรอยแผลมากกว่าสิบรอยเพิ่มขึ้นมา ประกอบกับไม่ได้ใส่ยาทันทีจึงทำให้ผิวหนังเปิดออก ดูน่ากลัวอย่างมาก
ตอนที่เยว่พั่วหลัวใส่ยาให้เขา ไป๋จิ่นรู้สึกได้ถึงลมหายใจของนางที่เป่ารดอยู่บนแผ่นหลัง จนเขาต้องกลืนน้ำลายลงคอ “เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดว่ารอยแผลไม่เท่ากัน จนอยากจะกรีดเพิ่มไปอีกสักสองสามแผลกระมัง”
ไม่บ่อยนักที่เยว่พั่วหลัวจะไม่พูดจาแขวะเขา “เจ็บมากใช่หรือไม่?”
นางกะพริบตาเล็กน้อย ปลายจมูกที่โค้งมนมีกระขึ้นอยู่เล็กน้อย
ไป๋จิ่นดันตัวเองขึ้นมา และเอามือข้างหนึ่งเท้าคางไว้ จากนั้นก็หันหน้ามามองหน้านาง “แค่นี้ไม่สะทกสะท้านหรอก ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นลูกผู้ชาย โอ๊ย ๆ ๆ! โอ๊ย เบาหน่อยสิ”
เยว่พั่วหลัวกดลงไปสองที จากนั้นก็เปิดกระเป๋าใบน้อยของตัวเอง เลือกหนอนกู่สามสี่ตัวที่อยู่ในนั้นออกมาวางลงตรงหน้าไป๋จิ่น “มาเถอะ ครั้งนี้ข้าจะใจกว้างสักครั้ง ถือเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว”
ไป๋จิ่นกวาดตามองเล็กน้อย “อะไรน่ะ?”
“หนอนกู่ที่ใช้ฟื้นฟูบาดแผลน่ะสิ ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น ตัวนี้ข้าสู้อยู่สามวันสามคืนจึงจับมันมาได้ และตัวนี้ข้าได้รับมาจากผู้อาวุโสของเรา ส่วนตัวนี้ข้าสร้างขึ้นมาเองกับมือ มีเงินก็ยังยากที่จะได้มา!”
เยว่พั่วหลัวจับพวกมันวางเรียงกัน
หนอนกู่เหล่านั้นเดินวนอยู่ที่เดิม หนวดขยับเล็กน้อย ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจริง ๆ
ไป๋จิ่นตัวสั่นเทา “เจ้าจะให้หนอนเหล่านี้เดินไปเดินมาบนร่างกายที่บริสุทธิ์ สูงส่ง และศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจล่วงล้ำได้ของข้าเนี่ยนะ ข้าขอปฏิเสธ!”
“หนอนกู่เหล่านี้สามารถรักษาบาดแผลได้ดีมาก เจ้าอย่าทำตัวเป็นคนไม่มีหัวคิดเช่นนี้ หากเจ้าไม่เลือกข้าจะเลือกให้เจ้าเอง” เยว่พั่วหลัวเลือกหนอนกู่ตัวสีชมพูขึ้นมา และกำลังจะวางมันลงไปบนตัวของไป๋จิ่น
ทว่าไป๋จิ่นกลับเบิกตากว้างแล้วคว้าข้อมือของนางเอาไว้ เยว่พั่วหลัวได้สติขึ้นมาจึงยื้อแย่งกับเขา
ไป๋จิ่นดึงนางและหันมาอย่างแรง ทว่าเขากลับออกแรงมากเกินไป เยว่พั่วหลัวที่ถูกเขาดึงถึงกับเซ ก่อนจะล้มทับลงมาบนร่างของเขา หนอนกู่ตัวนั้นก็พลันลอยตีลังกาอยู่กลางอากาศ
“เฝินเป่าเปาของข้า!” เยว่พั่วหลัวรีบยื่นมือออกไปรับ ทำให้เรือนร่างของนางเสียดสีกับเนื้อตัวของเขา ไป๋จิ่นหน้าแดงขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอึกอักออกมาเล็กน้อย ทั้งสองคนจึงชะงักงันกันไปชั่วขณะ
นางกะพริบตาปริบ ๆ “เหตุใดเจ้าถึงพกมีดสั้นติดกายด้วยเล่า?”
ไป๋จิ่นเดิมทีก็เป็นคนขาวอยู่แล้ว เมื่อหน้าแดงก็ยิ่งเห็นได้ชัด!
“เวลานอนข้ารู้สึกไม่ปลอดภัย!”
เยว่พั่วหลัวตั้งใจตรวจสอบช่วงท้องของเขาด้วยความสงสัย ไป๋จิ่นจึงยื่นมือออกไปปิดตาของนางเอาไว้ “มองอะไรของเจ้ากัน มีดสั้นของข้าใช่สิ่งที่จะให้เจ้าดูได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ!?”
เยว่พั่วหลัวร้อนใจขึ้นมา “ได้ เจ้าแอบซ่อนอาวุธลับเอาไว้ แต่ก็แค่มีดสั้นไม่ใช่หรือ! ใครไม่มีบ้าง! เจ้าเอาออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ ข้ารับรองเลยว่าข้าก็มีอาวุธที่ร้ายกาจกว่าเจ้าแน่นอน”
ไป๋จิ่นกลืนน้ำลายลงคอ มองท่าทางของนางที่ราวกับไก่ชน ก่อนจะเอ่ยออกไปตรง ๆ “เจ้าไม่มีทางมี”
เยว่พั่วหลัวขัดขืนขึ้นมา “ข้าจะไปเอาอาวุธของข้าออกมาให้คนตาไม่มีแววอย่างเจ้าดูเดี๋ยวนี้”
“อย่า ๆ ๆ เจ้ามันร้ายกาจจริง ๆ เลิกขยับได้แล้ว!” ไป๋จิ่นพูดถึงตรงนี้ก็กัดฟันเล็กน้อย
“สรุปจะใส่ยาหรือไม่?”
“ไม่ต้องใช้หนอนกู่ของเจ้านะ!” ไป๋จิ่นพูดขึ้นมา แล้วผลักนางลงจากเตียง ส่วนเขาก็กลับไปนอนคว่ำหน้าดังเดิม
เยว่พั่วหลัวถูกเขาผลักจนหน้าเกือบคะมำ หลังจากยืนได้มั่นคงแล้ว ก็ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความโมโห ก่อนจะเอาหนอนกู่ของตัวเองกลับเข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง
“ไม่รับรู้เจตนาที่ดี ทั้งยังพกมีดสั้นติดตัวอีก!
ใครไม่มีบ้าง พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้ออันที่ใหญ่กว่า ร้ายกาจกว่า คอยดูสิ”
ไป๋จิ่นหันหน้าไปมองเจ้าเด็กโง่ “ใหญ่กว่าอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง”
เพราะของข้าใหญ่ที่สุด
เยว่พั่วหลัวไม่ชอบท่าทางหยิ่งผยองเช่นนี้ของเขาเลยสักนิด แต่เวลาใส่ยาก็ตั้งใจเป็นอย่างมาก เวลาทายาก็กลัวว่าเขาจะเจ็บ จึงโน้มตัวลงไปเป่าแผลให้เขาเบา ๆ
ไป๋จิ่นรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างกาย และรู้สึกสบายมากในเวลาเดียวกัน
แต่มีดสั้นนั่น เหตุใด…
ช่างเถอะ ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว
เขาเริ่มง่วงขึ้นมานิดหน่อย ไป๋จิ่นจึงหาวออกมา และรู้สึกว่าเขาง่วงงุนเต็มทีแล้ว
“เอาไว้เป่าจนแห้งแล้ว เจ้าค่อยพลิกตัวกลับมา ข้าจะทายาข้างหน้าให้เจ้าด้วย”
เยว่พั่วหลัวเอ่ยจบ เห็นเขาไม่ตอบโต้จึงผลักเขาไปหนึ่งที ก่อนจะได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขา
“ชิ แค่นี้ก็หลับเสียแล้ว!”
เยว่พั่วหลัวตัดสินใจพลิกตัวเขา ทว่าเพิ่งจะพลิกตัวได้เยว่พั่วหลัวก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “หึ ไม่ให้ข้าดู ข้าก็จะดู!”
พริบตาต่อมา
ไป๋จิ่นตื่นแล้ว…
เยว่พั่วหลัวก็เข้าใจแล้ว…
ทั้งสองคนมองหน้ากัน เวลานี้ความเงียบดีกว่าเสียงใดจริง ๆ
เว่ยเจ๋อเซิงเพิ่งกลับมาหลังจากทำงานเสร็จ เขาอยู่ห้องเดียวกับไป๋จิ่น กำลังจะมาดูว่าแผลของไป๋จิ่นเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป คำว่าพี่ไป๋ยังไม่ทันออกจากปากก็ต้องรีบถอยออกมา
ก่อนจะปิดประตูให้อย่างใส่ใจ “รบกวนแล้ว ทั้งสองท่านเชิญต่อได้เลย ผู้น้อยไปนอนที่ใดก็ได้”
อุณหภูมิภายในห้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นี่ก็คือมีดสั้นที่เจ้าพูดถึงอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่…ไม่ได้หรือ?!” ไป๋จิ่นดึงผ้าห่มขึ้นมา
เยว่พั่วหลัวมีท่าทางโมโห ก่อนจะกัดฟันเอ่ยออกมา “หน้าตาน่าเกลียดจริง ๆ!”
ไป๋จิ่นใบหูแดงก่ำ แต่ก็ยังปากแข็ง “แค่ใช้ได้ก็พอ เจ้าจะสนใจทำไมว่ามันจะน่าเกลียดหรือไม่น่าเกลียดกัน!”
“คนอัปลักษณ์ ดังนั้นมีดสั้นจึงอัปลักษณ์ด้วย!”
“ไม่ได้ให้เจ้าใช้เสียหน่อย เจ้าจะมาสนใจทำไมกัน”
“ข้าก็ไม่ได้อยากจะใช้เสียหน่อย!”
“เช่นนั้นก็ถือว่าข้าถูกสุนัขกัดก็แล้วกัน!”
“เจ้าด่าใครว่าเป็นสุนัขฮะ”
“ใครรับข้าก็ด่าคนนั้น!”
เสียงของเว่ยเจ๋อเซิงดังลอดเข้ามาจากด้านนอก “เอ่อ…ดูของคนเขาไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบนะ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว”
.
.
.