บทที่ 473 เหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมกองทัพ
เผยยวนกับจี้จือฮวนไม่ได้อยู่ที่จวนแม่ทัพจางนานนัก เรื่องที่พวกเขาต้องจัดการหลังจากนี้ยังมีอีกมาก
…
ส่วนทางด้านของสือฟาง ข่าวที่สายลับมารายงานก็ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที!
ไม่เพียงสูญเสียลูกชายบุญธรรม ยึดเมืองจินโจวไม่ได้ ทว่าแม้แต่พี่น้องของเขาก็ต้องมาล้มตายไปด้วย!
“ศพเล่า! คนอื่นไม่มีใครรอดกลับมาแม้แต่คนเดียวเลยอย่างนั้นหรือ!?” สือฟางคว่ำโต๊ะอย่างแรง
สายลับตัวสั่นเทา “ไม่…ไม่มีขอรับ!”
“คนมากมายเพียงนั้น ตายหมดเลยอย่างนั้นหรือ!? เมืองจินโจวนั่นเอาทหารปกป้องเมืองมากมายมาจากที่ใดกัน?”
สายลับเอ่ยตอบ “ดูเหมือนว่าทัพใหญ่ของกองทัพทหารเกราะเหล็กจะมาถึงแล้วขอรับ เนี่ยเจิ้งอ๋องเผยยวนนำทหารบุกโจมตีด้วยตัวเอง! ธงทหารสีดำนั่นไม่ผิดอย่างแน่นอนขอรับ”
สือฟางเดินอย่างช้า ๆ ก่อนจะตัดสินใจในทันที “ถอยกลับเพี่ยวโจว!”
เผยยวนต้องเข้าโจมตีเพี่ยวโจวเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน เขาจะสู้จนตัวตายหรือควรส่งเซี่ยเซวียนให้กับเผยยวน สือฟางยังต้องพิจารณาก่อน
การสูญเสียลูกบุญธรรมกับพี่น้อง เขาย่อมปวดใจและเสียใจอยู่แล้ว แต่หากทำเพื่อเซี่ยเซวียนแล้วต้องเสียสละมากเพียงนี้ก็ไม่คุ้มค่าเลย
เมื่อเทียบกับพวกหวังป้าเทียน สือฟางมีมุมมองที่ลึกซึ้งกว่า
ต่อให้สามารถตัดสินแพ้ชนะกับเผยยวนได้ ดีสุดก็แค่ปกป้องเพี่ยวโจวเอาไว้ได้
แต่หากตอนที่สู้กัน หนึ่งในแปดเมืองของหลงซีต้องการมาแบ่งน้ำแกงสักถ้วยล่ะก็…
เช่นนั้น…เกรงว่าที่เขาลำบากมาครึ่งค่อนชีวิต ทุกอย่างคงต้องสูญเปล่าแล้ว การทำเพื่อเซี่ยเซวียนเพียงคนเดียวคุ้มค่าจริงหรือ?
เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้มค่าเลย
ระหว่างที่สือฟางสั่งให้กองกำลังไปพักเพื่อเตรียมล่าถอยกลับไปนั้น ก็มีสายลับคนใหม่มารายงาน ว่าศพของหวังป้าเทียนและเหลียงจงถูกแขวนและเฆี่ยนตีอยู่ในจินโจว พร้อมทั้งถูกพวกชาวบ้านด่าทอต่าง ๆ นานา สือฟางทำได้เพียงหลับตาลง และสั่งให้กองทัพล่าถอยกลับไป
…
เมืองจินโจวในคืนนี้ ไม่มีความหวาดกลัวและความกังวลที่มีทัพใหญ่มาประชิด และหวั่นเกรงว่าชีวิตตกอยู่ในอันตรายอีกแล้ว
พวกคนแก่และเด็กล้วนได้กลับบ้านกับครอบครัวแล้ว ทุกคนต่างช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน กองทัพทหารเกราะเหล็กที่ได้พักผ่อนแล้วก็เข้ามาช่วยซ่อมโต๊ะ เก้าอี้ ทำความสะอาดลานบ้าน
พวกเอี๋ยนเฟินฟางครั้งนี้นับว่าได้สร้างผลงานใหญ่ ไปที่ใดก็มีแต่คนเข้ามาทักทายพวกเขา
“นั่นก็คือกองปืนไฟ”
“รู้อย่างนี้ตอนแรกข้าสมัครเข้ากองปืนไฟไปแล้ว น่าเกรงขามจริง ๆ”
“พวกเราก็ไม่น้อยหน้านะ ครูฝึกบอกไว้ไม่ใช่หรือ ทุกตำแหน่งในกองทัพล้วนเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครแทนที่ใครได้”
กองปืนไฟทั้งหมดมารวมตัวกัน ก่อนจะก่อกองไฟขึ้นมา
พวกชาวบ้านเก็บห้องเสร็จเรียบร้อยก็เชิญพวกเขาเข้าไปพัก แต่เหล่าทหารก็ได้ปฏิเสธไป ทั้งหมดเลือกปูที่นอนอยู่ที่พื้นด้านนอก เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนชาวบ้าน
จ้านอิ่งก็พาพวกม้าศึกไปกินหญ้าในป่าแล้ว
อาชิงขยี้ตาซุกตัวและหาวอยู่ในอ้อมแขนที่แข็งแรงของเผยยวน พุงน้อย ๆ หงายขึ้น ส่วนคนได้หลับไปแล้ว ขณะที่เซียวเซวียนจิ่นก็ห่มผ้าห่มให้อาอินอยู่ในรถม้า แล้วมานั่งเฝ้านางอยู่ด้านนอก
ทุกคนล้วนเหนื่อยกันอย่างมาก แต่บางคนก็ยังดื่มเหล้ากันอยู่ และบางคนก็นอนกรนอยู่ข้าง ๆ
ข้างกองไฟ เอี๋ยนเฟินฟางก็คอยพลิกแป้งอบไปมา เมื่อย่างเสร็จแล้วจึงได้แจกจ่ายให้คนอื่น ๆ
ฉู่จิ้นยังไม่หลับ จึงมาขอกินด้วย
“ให้เจ้า~” เสียงอ่อนหวานของเอี๋ยนเฟินฟางดังขึ้น หูของฉู่จิ้นดับไปชั่วขณะ นานขนาดนี้แล้วเขาก็ยังไม่ชินเสียที
“ครั้งนี้โชคดีที่เจ้าพบกลอุบายของกองกำลังสือฟางก่อน”
ฉู่จิ้นยักไหล่ “พระชายาฉลาดกว่าข้าเสียอีก ยังไม่มีใครส่งข่าวมา แต่นางก็หาพบเอง”
ฉู่จิ้นตอนนี้เลื่อมใสจี้จือฮวนอย่างสุดใจแล้วจริง ๆ และเขาก็ได้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองแล้ว มิน่าเล่า คนในครอบครัวถึงบอกว่าตัวเขายังมีสิ่งที่ต้องแก้ไขอีกเยอะ
ชายหนุ่มเช่นเมิ่งชื่อฮว่าและอวี้จื่อหนิง ต่างเป็นลูกวัวที่เพิ่งเกิดจึงไม่กลัวเสือ* คนใดบ้างที่ไม่เคยโอ้อวดความสามารถของตัวเอง และตอนที่เพิ่งเข้ากองทัพ พวกเขาก็ยังไม่ค่อยเชื่อมั่น เพียงแต่การยิงไม่กี่นัดของจี้จือฮวน กลับเอาชนะใจพวกเขาได้แล้ว
* ลูกวัวที่เพิ่งเกิดจึงไม่กลัวเสือ (初生牛犊不怕虎) หมายถึง คนหนุ่มสาวที่ยังคิดไม่รอบด้าน กล้าคิดกล้าทำ
จนกลายเป็นความเลื่อมใสอย่างสุดใจ
ดังนั้นอารมณ์ของฉู่จิ้นในตอนนี้ พวกเขาจึงสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
“แค่ทำความคุ้นเคยก็พอ เพราะวิธีการของลูกพี่ฮวนฮวนนั้นคาดเดาไม่ได้” จากนั้นอวี้จื่อหนิงก็หัวเราะ หึ ๆ ออกมา
เขากระทุ้งมู่เหยากวงที่กำลังทำความสะอาดกระบอกปืนอยู่ข้าง ๆ เบา ๆ “เจ้าไม่ไปนอนพักหรืออย่างไร เป็นผู้หญิงเหตุใดถึงชอบมาเบียดอยู่กับพวกเรากัน”
มู่เหยากวงปรายตามองเขาเล็กน้อย “อยากโดนตีหรือ?”
เมิ่งชื่อฮว่าเคาะหน้าผากของอวี้จื่อหนิงไปหนึ่งที “นางเป็นกองปืนไฟ ไม่อยู่กับพวกเรา แล้วจะให้ไปอยู่ที่ใด?”
เอี๋ยนเฟินฟางเบียดตัวเข้ามาราวกับหมียักษ์ตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น “เหยาเหยา เสื้อข้าขาดแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าช่วยปะให้ข้าทีสิ”
“ได้ แต่เจ้าก็ต้องเรียนรู้เอาไว้ด้วยนะ”
“ก็ได้ เหยาเหยา เหตุใดเจ้าถึงได้เข้าร่วมกองทัพอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มทั้งหมดต่างมองมาที่นางจนเป็นตาเดียว
ตามหลักแล้ว หน้าตาอย่างมู่เหยากวง แค่เดินเตร่อยู่ในเมืองหลวง คนที่ไล่ตามเพื่อจะสู่ขอคงได้ต่อแถวยาวเหยียดอย่างแน่นอน
มู่เหยากวงชะงักมือลง ขนตางอนยาวกะพริบหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “พ่อข้าดูถูกที่ข้าเป็นลูกสาว มักจะด่าทอว่าข้าเป็นของชดเชย** พี่ชายข้าเป็นผีพนัน หลังจากที่ครอบครัวตกอับ พวกเขาก็คิดจะจับข้าให้แต่งกับผู้ชายอายุสี่สิบกว่า ให้ไปเป็นอนุคนที่สิบแปด ขายข้าแค่สองร้อยตำลึง แต่ข้ายังไม่ทันแต่ง พี่ชายข้าก็เอาเงินสองร้อยตำลึงนั่นไปเล่นพนันหมดแล้ว”
** ของชดเชย (赔钱货) หมายถึง คำเปรียบเปรยถึงลูกสาวที่แฝงด้วยความดูถูก
เมิ่งชื่อฮว่าขมวดคิ้วเล็กน้อย อวี้จื่อหนิงกลับด่าออกมา “เจ้าไม่ใช่ลูกเขาหรืออย่างไรกัน?”
มู่เหยากวงหัวเราะเสียงเย็น “มีเพียงลูกชายเท่านั้นที่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลได้ ส่วนข้านับเป็นตัวอะไรกัน วันนั้นข้ากำลังคิดจะหนีออกจากบ้าน แต่เห็นว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กกำลังประกาศรับสมัครทหารอยู่ อีกทั้งยังรับสมัครทหารหญิงด้วย ข้าก็เลยสมัครมา”
จู่ ๆ เมิ่งชื่อฮว่าก็คิดถึงวันที่เกณฑ์ทหารขึ้นมาได้ โดยวันนั้นใบหน้าของมู่เหยากวงมีรอยตบขนาดใหญ่ประดับอยู่ “วันนั้นพ่อเจ้าตบเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาที่เรียบนิ่งของมู่เหยากวงจู่ ๆ ก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็สงบลงในพริบตา “อืม เขาบอกว่าข้าทำตัวขัดจารีตประเพณี ไปมั่วกับพวกผู้ชายในกองทัพ แต่ไม่ยอมหาเงินให้เขากับพี่ชายใช้ และบอกอีกว่าตอนนั้นหากขายข้าเข้าซ่องไปเสียก็คงจะดี”
“บัดซบ นี่เป็นคำพูดของคนจริง ๆ หรือ!” อวี้จื่อหนิงโมโหอย่างมาก
มู่เหยากวงหัวเราะเบา ๆ “ตอนนี้ข้าสบายดี เพราะข้าได้เป็นทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กแล้ว ภายหน้าข้าจะต้องเป็นแม่ทัพหญิงให้ได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกแล้ว ข้าเป็นผู้หญิงแล้วอย่างไรเล่า ชีวิตข้า ข้าก็ต้องเป็นคนกำหนดเอง ไม่มีทางแย่กว่าพวกเจ้าแน่”
“พูดได้ดี!” อวี้จื่อหนิงรินเหล้าหนึ่งจอก “พี่น้อง ข้าคารวะเจ้า!”
เอี๋ยนเฟินฟาง “เรียกพี่สาวน้องสาว~”
“ได้ พี่สาวน้องสาว ข้าขอคารวะให้เจ้า ต่อไปข้าก็คือน้องสาวเจ้า” อวี้จื่อหนิงทำหน้าทะเล้น
“เช่นนั้นเจ้าเล่า เหตุใดถึงมาเข้าร่วมกองทัพ?”
อวี้จื่อหนิงดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก “ข้าตีลังกาอยู่ในคณะละครมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่เป็นใคร ดังนั้นมาเป็นทหารไม่ดีกว่าทำงานในคณะละครหรอกหรือ เป็นนักแสดงงิ้วจะมีอนาคตอะไรกัน ใคร ๆ ก็สามารถรังแกข้าได้ การที่ข้าได้เข้าร่วมกองทัพทหารเกราะเหล็ก ข้าไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ”
“ไม่กลัวตายหรือ?”
“พวกเรามาที่นี่ มีกี่คนที่กลัวตายกัน! เวลาต่อสู้ก็ต้องสู้ให้สุดชีวิต”
ทุกคนมองไปทางเมิ่งชื่อฮว่า เมิ่งชื่อฮว่าจึงชะงักไปเล็กน้อย เขาพูดขึ้นมาเพียงประโยคเดียว “ข้าจน ดังนั้นมาเป็นทหารอย่างน้อยก็มีเบี้ยหวัด”
ทุกคนมองดูเสื้อผ้าของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงลักษณะท่าทางของเขา
ขออภัย พวกเรามองไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจน
[องค์หญิงใหญ่กับแม่ทัพจางจะไม่มีเรื่องความรักระหว่างชายหญิงในวัยชรา พวกเขาเป็นแค่คนรู้จักและเป็นสหายที่ดีต่อกัน ทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมในความรักที่อีกฝ่ายมีต่อบ้านเมืองและครอบครัว เพราะความรักขององค์หญิงใหญ่มีให้เพียงท่านข่านเท่านั้น บางทีชาติหน้าอาจมีวาสนาได้อยู่ด้วยกันกระมัง แต่ว่าชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ทุกคนล้วนพยายามทำตามความเชื่อของตัวเอง ก็นับเป็นความสมบูรณ์อย่างหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ อย่างน้อยพระจันทร์ในหัวใจของแม่ทัพจางม่อ ก็ยังจะเป็นพระจันทร์ดวงเดิมของเขาตลอดไป ส่วนองค์หญิงใหญ่ของต้าจิ้นก็เป็นของทั้งสองแคว้น ชีวิตคนก็เหมือนพระจันทร์ มักมีทั้งตอนที่สว่างและอับแสง มีทั้งกลมและเสี้ยว]
.
.
.