บทที่ 464 คลำเครือไปหาแตง*
* คลำเครือไปหาแตง (顺藤摸瓜) หมายถึง สืบเบาะแสไปเรื่อย ๆ จนพบความจริง
“เร็วเข้า! แม่ทัพสือกำลังรวบรวมกองกำลัง เตรียมจะไปจากที่นี่แล้ว!”
ด้านหน้ามีคนวิ่งมา เร่งให้พวกเขารีบเดิน
“พวกเจ้ารับผิดชอบเรื่องขนส่งและดูแลเสบียงใช่หรือไม่!”
ทหารเกราะเหล็กพยักหน้ารับ
“ตามข้ามา”
คนผู้นั้นตะโกนขึ้นมาและเดินนำหน้าไป พวกจี้จือฮวนก็ตามไปแต่โดยดี โดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ท่านแม่ทัพ เหตุใดถึงจะไปจากที่นี่แล้วเล่าขอรับ!? วันนี้จะบุกเมืองไม่ใช่หรือขอรับ!”
“บัดซบ ไม่รู้ว่ากำลังเสริมของราชวงศ์ต้าจิ้นโผล่มาจากที่ใด เวลานี้ได้ยึดภูเขาสองลูกของเราไปแล้ว สายลับที่กลับไปรายงานก็บอกว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กมาถึงแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าที่คอยคุ้มกันเสบียงไปอยู่ด้านหน้า พวกเราต้องรีบไปแล้ว”
จำนวนคนที่กองกำลังสือฟางส่งมาครั้งนี้ไม่สามารถเทียบกับกองทัพทหารเกราะเหล็กได้ ดังนั้นสือเกาเฟย ลูกชายบุญธรรมของสือฟางจึงตัดสินใจที่จะเข้าเมือง แต่ใช้เส้นทางใดน่ะหรือ ย่อมใช้เส้นทางลับที่ไม่มีใครล่วงรู้นั่น เวลานี้คนที่อยู่ภายในเมืองจินโจว เปรียบเสมือนลูกธนูที่สุดแรงบินตั้งนานแล้ว การจะโจมตีเมืองในเวลานี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก ก่อนที่กองทัพทหารเกราะเหล็กจะมาถึง อย่างน้อยเมืองก็ตกเป็นของพวกเขาแล้ว เมื่อสือฟางมาสนับสนุน สองกองทัพสู้กันพวกเขาอาจจะได้รับชัยชนะก็เป็นได้
เมื่อสามารถใช้กลอุบายสกปรกได้ พวกเขาย่อมไม่ปะทะซึ่ง ๆ หน้าเด็ดขาด
เหล่าทหารกองทัพทหารเกราะเหล็กเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทางเดินอย่างนั้นหรือ? ทางเดินที่ใดกัน!
แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นการเผยพิรุธออกไป และอาจจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะได้รู้เรื่องทางเดินไปด้วย
คนทั้งกลุ่มจึงรีบวิ่งตามพวกเขาลงเนินเล็ก ๆ ไป เมื่อลงไปใกล้แล้วจึงได้เห็นว่ามีกลุ่มคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ตีนเขา
หลิวเฟิงที่ติดตามข้างกายจี้จือฮวนมาเอ่ยขึ้น “มีข่าวลือเกี่ยวกับสือเกาเฟยผู้นี้ว่าเขาเป็นผู้ชายตัวเตี้ย มองไกล ๆ เหมือนเด็กสิบกว่าขวบคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังเกลียดการที่มีคนล้อเลียนเรื่องความสูงของเขามากที่สุด และถนัดการใช้หอกขอรับ”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับรู้
แล้วก็จริง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นผู้ชายรูปร่างเตี้ยคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า แม้แต่อานม้าก็ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษ ห้อยเอาไว้สูงจนถึงช่วงท้องของม้า
จี้จือฮวนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ใกล้เคียงกับอาฉือที่ตอนนี้อายุเก้าขวบอย่างไรอย่างนั้น
แต่ใบหน้ากลับเป็นใบหน้าของชายวัยกลางคน ทั้งยังไว้หนวดเครารุงรังไปหมด แม้จะดูแปลกประหลาด แต่ขณะเดียวก็ดูขบขันไม่น้อย
ยิ่งเมื่อมองดูใบหน้าที่คางแหลมเหมือนลิงนั่นอีกครั้ง ก็รู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้ง่าย ๆ
ที่เอวของจี้จือฮวนในขณะนี้มีปืนพกที่ประกอบเองกระบอกหนึ่งเหน็บเอาไว้ เดิมทีการได้พบเขาเวลานี้นางควรเอาชีวิตเขาได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงเรื่องทางเดินอะไรนั่น จึงทำได้เพียงปล่อยเขาไปก่อน
“ท่านแม่ทัพขอรับ คนที่ขนส่งเสบียงกลับมาแล้วขอรับ บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย แต่ยังดีที่เสบียงยังพอเหลืออยู่ ยังหนักอยู่เลยขอรับ”
สือเกาเฟยหรี่ตาลง “ดี ทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้รั้งท้าย ส่วนคนอื่น ๆ ตามข้าเข้าไปที่ทางเดิน”
สือเกาเฟยจู่ ๆ ก็ชี้ไปที่ไป๋จิ่น “เจ้าเข้าไปก่อน”
ไป๋จิ่นแอบกลอกตามองบน เข้าก็เข้าสิ คิดว่าจะทำให้เขาตกใจตายได้หรืออย่างไร
เขาจึงตะโกนเสียงดังขึ้นมา “ขอรับ”
จากนั้นทหารที่ยืนอยู่สองข้างทางก็ดึงหญ้าที่พันอยู่ออก ก่อนที่จะดันแผ่นดินเหนียวที่ปกคลุมไปด้วยพืชขนาดเล็กสีเขียวชอุ่มออกไป ปากถ้ำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แผ่นดินเหนียวนั่นทำออกมาให้ดูขรุขระ หากไม่มีคนไปขุด ก็คงไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นเพียงแผ่นดินเหนียวแผ่นหนึ่งเท่านั้น
ดวงตาของไป๋จิ่นดำมืดลง ก่อนจะรับคบเพลิงมาแล้วเดินเข้าไปด้านใน อุโมงค์นั่นดูไม่เหมือนเพิ่งขุดขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังมีรอยเท้ามากมายเต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่าเคยมีคนเข้าออกที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง
คนที่เหลือจึงเดินตามไปติด ๆ เมื่อพวกเขาเดินนำไปแล้ว สือเกาเฟยจึงได้เดินตามเข้าไป ส่วนหลิวเฟิงและจี้จือฮวน รวมถึงคนสนิทอีกสองคนข้างกายสือเกาเฟยก็เดินตามหลังสือเกาเฟยไปอีกที
…
เมืองจินโจวเวลานี้
กำแพงเมืองที่สูงตระหง่านด้านนอกเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกโจมตี ลู่เอี้ยนเดินขึ้นไปบนกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว และเอาธงทหารที่หักลงบนพื้นปักให้ตั้งตรงอีกครั้ง ส่วนแม่ทัพจางม่อก็กำลังยืนอยู่บนกำแพงเฝ้ายามแทนทหารอยู่
ร่างที่แก่ชรานั้นหลังเริ่มโค้งงอแล้ว คราบเลือดที่เลอะเส้นผมสีขาวก็ยังไม่ได้เช็ดออกแต่อย่างใด
“ท่านแม่ทัพจาง พักผ่อนสักหน่อยเถอะขอรับ”
จางม่อส่ายหน้าไปมา “ไฟป่าโหมกระหน่ำแล้ว กองทัพของสือฟางก็คงไม่สามารถอยู่บนภูเขาได้อีกต่อไป ต้องลงมาจากเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่พวกมันจะบุกโจมตีเมืองเร็ว ๆ นี้ ไม่อาจชะล่าใจได้”
ลู่เอี้ยนเองก็เห็นควันที่ลอยขึ้นมาจากไฟป่าที่โหมกระหน่ำเช่นกัน
หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาหลายครั้ง ทุกคนต่างก็หมดแรงแล้ว หากครั้งนี้พวกเขาถูกโจมตีอย่างหนักอีกล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถต้านทานจนกว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กจะมาถึงได้อีกแล้ว
“ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผู้หญิงและคนแก่ล้วนพาเด็ก ๆ ไปซ่อนในอุโมงค์ใต้ดินแล้วขอรับ ตอนนี้ในเมืองจึงเหลือเพียงชายหนุ่มที่กำลังลาดตระเวน ประตูเมืองทั้งสี่ มีเพียงประตูทางทิศตะวันออกเท่านั้นที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด”
“ดี”
ลู่เอี้ยนหันกลับไป ทหารหนุ่มเหล่านั้นหลับตาลงอย่างไม่อาจฝืนได้อีกแล้ว พร้อมกับส่งเสียงกรนออกมา
“ใต้เท้าลู่ หากครั้งนี้แพ้ศึกข้าคงไม่มีหน้ากลับไปราชสำนักอีก ดังนั้นข้าขอสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง บางทีวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะได้คุยกับใต้เท้าลู่แล้วก็เป็นได้”
ลู่เอี้ยนเม้มริมฝีปาก “ท่านแม่ทัพจาง…”
แม่ทัพชราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ทว่าร่างนั้นยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ลู่เอี้ยนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งหนึ่งครั้ง ก่อนจะลงจากกำแพงเมืองไป ในอ้อมแขนของเขามีสารที่เขียนบอกใต้หล้าอยู่
และมีจดหมายที่เขียนถึงพ่อแม่และครอบครัวด้วย เขาลู่เอี้ยนขอตายเพื่อปกป้องจินโจว หากสวรรค์ไม่เมตตา พวกเขาก็คงไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ขณะที่ลู่เอี้ยนกำลังเดินอยู่บนถนนที่ไร้ผู้คน
…
กลุ่มคนที่มีไป๋จิ่นนำทางได้เดินไปจนถึงจุดสิ้นสุดของอุโมงค์แล้ว คนกลุ่มอื่น ๆ ก็ได้แยกย้ายกันไปตามเส้นทางอื่นต่อ
เมื่อเดินออกมาก็ไม่ต้องคอยก้มตัวอีกแล้ว และเขาก็พบว่า นี่คือห้องใต้ดินห้องหนึ่ง เมื่อผลักประตูห้องใต้ดินแล้วกระโดดออกมาจากที่นั่น ก็จะเจอกับลานสี่เหลี่ยมมืด ๆ ลานหนึ่ง คนที่ปีนออกมามีมากขึ้นเรื่อย ๆ สือเกาเฟยก็กระโดดออกมาแล้วเช่นกัน ก่อนจะเช็ดหอกยาวของตัวเอง “เด็ก ๆ”
“ขอรับ!”
“ทำงานได้แล้ว”
เมื่อเยว่พั่วหลัวที่เป็นคนสุดท้ายขึ้นมาแล้ว จี้จือฮวนก็เตะประตูของห้องใต้ดินนั้นอย่างแรง
เมื่อครู่ตอนที่เข้าแถวอยู่ จี้จือฮวนก็ได้บอกให้เยว่พั่วหลัวไปอยู่ท้ายสุด ดังนั้นตอนนี้คนที่ยืนอยู่ในลานแห่งนี้จึงเป็นทหารเกราะเหล็กทั้งหมด
สือเกาเฟยได้ยินเสียง ก็หันไปมองพวกเขาเล็กน้อย “ทำอะไร ยังไม่เคลื่อนไหวอีกหรือ?”
ภายใต้แสงจันทร์ พวกจี้จือฮวนเผยรอยยิ้มออกมา “แม่ทัพสือ รีบร้อนเกินไปแล้วกระมัง”
สือเกาเฟยหรี่ตาลง คนสนิทสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง “แย่แล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียง สือเกาเฟยกับจี้จือฮวนก็ลงมือพร้อมกัน เจ้าหมอนี่สมกับที่เป็นลูกบุญธรรมของสือฟางจริง ๆ ทักษะการใช้หอกรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด แทงทีเดียวก็ทำลายวงล้อมของพวกจี้จือฮวนได้แล้ว และเขาก็ไม่ชอบต่อสู้คนเดียวเช่นนี้ หลังจากต่อสู้กับเหล่าทหารเกราะเหล็กได้สักพัก เขาก็ผลักคนสนิทคนหนึ่งของเขาออกไป ส่วนตัวเองก็กระโดดข้ามกำแพงหนีไปทันที
จี้จือฮวนดึงปืนออกมา มีเสียง ‘ปัง!’ ดังขึ้น ลูกกระสุนยิงโดนหัวไหล่ของสือเกาเฟย แต่คนกลับกระโดดออกไปแล้ว
“ตามไป!”
ขณะเดียวกัน กองทัพของสือฟางที่ขึ้นมาจากทางเดินอื่น ๆ ก็กระโดดออกมาจากมุมต่าง ๆ ของเมืองจินโจว ถือดาบแล้วย่องเข้าไปในบ้านของชาวบ้านแล้ว!
กว่าพวกชาวบ้านจะตีฆ้องร้องป่าว และมีทหารลาดตระเวนมาดู พวกเขาก็สังหารคนไปหลายคนแล้ว
หลิวเฟิงพุ่งไปที่ประตูเมืองตามคำสั่งของจี้จือฮวน วิ่งไปก็ถอดชุดเกราะไป พร้อมกับเป่าแตรเล็กในอ้อมแขนเสียงดังลั่น “กองทัพทหารเกราะเหล็กมาแล้ว! เปิดประตูเมืองด้านตะวันตก!!”
พร้อมกันนั้นก็ได้ยิงหมิงตี๋ออกไป!!
และนี่ก็คือสัญญาณที่จี้จือฮวนสั่งให้เหล่ารองแม่ทัพเข้าเมืองมาได้!
.