บทที่ 463 สองสามีภรรยาวางแผนจัดการคน
ภายใต้แสงจันทร์ ม้าพันธุ์ดีห้อตะบึงไม่หยุด เผยยวนสั่งให้คนสนิทพาเด็ก ๆ ไปพักที่เมืองใกล้เคียงก่อน และสั่งเซียวเซวียนจิ่นหากไม่ได้รับคำสั่งที่เชื่อถือได้ห้ามออกไปโดยพลการ จากนั้นจึงได้มุ่งหน้าไปทางเมืองจินโจวต่อ
“หยุด!” เผยยวนยกมือขึ้น เพื่อฟังความเคลื่อนไหวบริเวณใกล้เคียง แล้วลงจากหลังม้า “พวกเจ้าได้ยินเสียงน้ำหรือไม่?”
รองแม่ทัพที่ตามหลังเขามาก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน พลางสูดลมหายใจหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ยินแล้วขอรับ ทว่าใกล้ ๆ บริเวณนี้มีเพียงแม่น้ำหม่างเหอสายเดียว แต่ไม่ได้ผ่านตรงนี้ เหตุใดถึงได้ยินเสียงน้ำไหลชัดเพียงนี้กัน”
ฉู่จิ้นซึ่งอยู่ท้ายขบวนกำลังยืนอยู่กับพวกทหารใหม่ ครั้งนี้เขาได้รับการยกเว้นให้สามารถกลับเข้ามาในกองทัพทหารเกราะเหล็กได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว
เอี๋ยนเฟินฟางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเหลี่ยม พลางเอ่ยงึมงำออกมา “โอ๊ะ เหตุใดถึงไม่เดินต่อเล่า”
ฉู่จิ้นย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เอี๋ยนเฟินฟางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าดูอะไรกัน?”
เวลานี้ฉู่จิ้นได้หมอบลงไปกับพื้นเพื่อฟังเสียง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ด้านหน้าขบวน
ครูฝึกหลี่ที่ดูแลทหารใหม่ขวางเขาเอาไว้ “จะทำอะไรของเจ้า?”
ฉู่จิ้นเอ่ย “ครูฝึก ข้ามีเรื่องจะรายงานท่านแม่ทัพขอรับ”
เผยยวนได้ยิน จึงยกมือขึ้นเล็กน้อย ฉู่จิ้นจึงวิ่งผ่านกองทัพไปทางเผยยวน
“มีอะไรหรือ?”
ฉู่จิ้นหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “ท่านแม่ทัพรู้หรือไม่ขอรับว่าบรรพบุรุษของข้าก็เคยร่วมเดินทัพเช่นนี้มาก่อน?”
“อืม จากนั้นเล่า?”
ฉู่จิ้นจึงเอ่ยต่อ “ข้าเคยได้ยินท่านปู่บอกว่า ในตอนนั้นก็มีบริเวณหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นดินแห้ง ๆ แต่มักมีเสียงน้ำไหลตลอดเวลา ตอนนั้นพวกเขาต่างก็คิดว่าคงเป็นน้ำที่อยู่ใต้ดิน แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ แต่เป็นเพราะมีคนขุดเส้นทางใต้พื้นดิน แล้วไม่ทันระวังจึงขุดไปโดนทางน้ำไหลของแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เข้าขอรับ”
เผยยวนกับเหล่ารองแม่ทัพต่างมองหน้าเขาเขม็ง
“มีหลักฐานหรือไม่?”
“มีขอรับ ใต้พื้นดินของทุกที่บนโลกใบนี้ล้วนมีแหล่งน้ำ แต่แม่น้ำใต้ดินนั้นแตกต่างจากแม่น้ำที่ถูกขุด แม่น้ำใต้ดินแทบไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เลย เพราะอยู่ลึกลงไปในพื้นดินหลายสิบจั้งหรือหลายสิบลี้ ด้วยความหนาเช่นนั้น เราจะไม่สามารถได้ยินเสียงน้ำไหลที่ชัดถึงเพียงนี้อย่างแน่นอนขอรับ”
“ช้าก่อน เจ้าหมายความว่ามีคนกำลังขุดทางใต้ดินอยู่อย่างนั้นหรือ?” รองแม่ทัพเอ่ยขัดฉู่จิ้น
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่าคนเหล่านั้นวางแผนที่จะขุดเส้นทางจากจินโจวไปจนถึงใจกลางอวี่โจว เพื่อโจมตีขนาบทั้งหน้าหลัง หรือโหดเหี้ยมกว่านั้นก็คือ ยึดเมืองอวี่โจวและพิชิตสองเมืองในคราเดียว ขอเพียงก่อนที่กองทัพทหารเกราะเหล็กจะมาถึง พวกเขาดักซุ่มอยู่ใต้ดินก็ดี ขนส่งเสบียงก็ดี หรือวางกับดักล่วงหน้าก็ช่าง เส้นทางที่พวกเขาเดินอาจเป็นเส้นทางที่แตกต่างกันไปเลยก็ได้
กองทัพทหารเกราะเหล็กอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาอยู่ในที่มืด หากเลวร้ายกว่านั้นอีกหน่อย ก็คือรอให้กองทัพทหารเกราะเหล็กออกจากเมืองหลวง จากนั้นพวกเขาก็ตอบโต้กลับโดยการบุกเข้าเมืองหลวง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน!
“นี่มัน…นี่มันจะเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่?”
ฉู่จิ้นเอ่ยต่อ “นี่คือประการแรก ส่วนประการที่สองก็คือ สือฟางเคยใช้วิธีนี้มาก่อนขอรับ!”
เวลานี้ทุกคนจึงได้ตื่นตัวขึ้นมา “เจ้าพูดมาให้ละเอียดสิ”
ฉู่จิ้นเอ่ยอีก “บ้านเกิดของข้าอยู่ใกล้กับเพี่ยวโจว มีญาติบางคนอยู่ในเมืองเพี่ยวโจว ตอนนั้นที่สือฟางบุกโจมตีเพี่ยวโจว กองทัพรักษาการณ์ในเมืองมักจะถูกคนลอบโจมตี หรือจุดไฟเผาเสบียง แต่ไม่ว่าจะลาดตระเวนอย่างไร ก็ไม่สามารถจับโจรได้ จนกระทั่งต่อมาเพี่ยวโจวถูกยึดได้ จึงได้เห็นกองทัพของสือฟางไปปิดอุโมงค์ใต้ดิน ดังนั้นหลายคนจึงคาดเดากันว่าตอนนั้นกองทัพของสือฟางคงใช้วิธีนี้ตีขนาบประสานกันทั้งด้านนอกด้านใน บีบให้ทหารรักษาการณ์ของเพี่ยวโจวพ่ายแพ้ แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของทุกคนเท่านั้น แต่หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น*มากกว่าขอรับ”
* หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น (不怕一万,只怕万一) หมายถึง ความผิดพลาดหรือเรื่องที่ไม่คาดฝัน แม้โอกาสจะน้อยมากแต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ดี
เหล่าทหารชั้นผู้น้อยไม่รู้สถานการณ์ในเมืองเพี่ยวโจว ทว่าเผยยวนและเหล่ารองแม่ทัพล้วนรู้ดี เวลาที่สือฟางนำทหารไปมักไม่ชอบสู้กันซึ่ง ๆ หน้า แต่จะเลือกใช้วิธีทรมานฝ่ายตรงข้ามให้อ่อนล้าทั้งกายและใจ จิตใจพังทลายลง จากนั้นก็ค่อยส่งกองทหารจำนวนมากบุกเข้าไป เช่นนี้ก็จะช่วยลดการสูญเสียทหารฝ่ายตัวเองลงได้ด้วย เพราะเขาผงาดขึ้นมาจากการซ่องสุมคนเพื่อต่อต้านราชสำนักและปล้นสะดม ดังนั้นการบริหารกองทัพจึงเป็นการใช้ผลประโยชน์มาจูงใจ
คนที่ติดตามเขา สือฟางต่างให้สัญญากับพวกเขาว่าของที่พวกเขาปล้นมาได้ก็คือของของพวกเขาด้วย ดังนั้นหลังจากเข้าเมืองได้ก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ท่านอ๋อง ข้าคิดว่าหากสิ่งที่เจ้าเด็กคนนี้พูดมาเป็นความจริง เช่นนั้นที่ยุ้งฉางของจินโจวไฟไหม้ มีความเป็นไปได้มากที่เขาใช้วิธีนี้ขอรับ
อีกอย่าง อุโมงค์นี้ไม่รู้ว่าขุดมานานเพียงใดแล้ว หากไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นที่เปิดโล่ง คงจะไม่ได้ยินจริง ๆ”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความเป็นไปได้สูงที่สือฟางจะขุดอุโมงค์ไปถึงเมืองอื่น ๆ แล้ว เพียงแค่รอโอกาสเท่านั้น เช่นนี้มิเท่ากับว่าเขาอยากจะโจมตีที่ใด ก็สามารถใช้อุโมงค์ได้โดยไม่มีใครรู้หรอกหรือ!
ทันใดนั้น บนแผ่นหลังของทุกคนก็มีเหงื่อกาฬผุดออกมา
“ท่านอ๋อง ท่านว่า?”
เผยยวนหรี่ตาลง ก่อนจะหยิบแผนที่ออกมา บริเวณใกล้เคียงมีแม่น้ำหม่านเหอ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำต้าอวิ๋นอยู่
“อั้นซิง!”
“ขอรับนายท่าน”
“เจ้าพาคนจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบดูสิว่านี่เป็นทางเดินใต้ดินหรือแหล่งน้ำกันแน่ หากเป็นเส้นทาง นอกจากเส้นทางที่จะไปเพี่ยวโจว ให้ระเบิดทิ้งให้หมด เหลือเส้นนั้นไว้เพียงเส้นเดียว…”
เผยยวนยกยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเขาชอบขุดทางใต้ดินเพียงนี้ พวกเราก็ส่งน้ำกลับไปให้เขาซะ ทำให้เขาอึดอัดใจตายไม่ได้ ก็ทำให้จมน้ำตายไปเลย”
…
ถูกจู่โจมในตอนกลางคืน กองทัพของสือฟางได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงร้องของม้าที่ตีนเขา และเมื่อเห็นไฟป่าที่มีควันหนาทึบ ในใจก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ และบางคนก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก จึงกลิ้งไปตามเนินหญ้าก็มี
เสียงลมหายใจของคนปนเปกันไปหมด เมฆดำปกคลุมดวงจันทร์บนท้องฟ้า ทำให้ทัศนวิสัยยิ่งมืดลง
เห็นเพียงเงาดำข้างหน้าซ้อนกันอยู่ รอยเท้าด้านหลังก็ยุ่งเหยิงไปหมด เพราะกลัวศัตรูจะตามมาทัน
“รีบเดิน รีบเดินสิ!”
มีคนออกคำสั่งอยู่ด้านหน้า แต่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ส่วนกลุ่มคนที่อยู่หลังสุด อาศัยตอนที่คนข้างหน้ากำลังรีบเดินทาง ใช้มือปิดปากคนที่อยู่ข้างหน้าเอาไว้ และแทงเข้าไปที่คอหนึ่งที จากนั้นก็ค่อย ๆ วางคนลงและผลักลงเนินเขาไป
“เกิดอะไรขึ้น เดินยังเดินไม่มั่นคง!! ดูให้มันดี ๆ หน่อย!”
เหล่าทหารเกราะเหล็กก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พลางวิ่งไปข้างหน้าราวกับ ‘นกกระทา’
แม้ว่าเมื่อก่อนจะไม่เคยต่อสู้แบบนี้มาก่อน แต่ก็น่าตื่นเต้นมากทีเดียว
ทุกครั้งที่หัวหน้าผู้นำทหารนั่นจะหันไปมอง ล้วนถูกเงาคนมากมายบังเอาไว้ “เร็วเข้า ข้าศึกจะมาแล้ว
เดี๋ยวนะ…เจ้าหมาเล่า! เจ้าหมา!” เมื่อหัวหน้ากลุ่มผู้นั้นรู้สึกว่าข้างกายถูกรายล้อมไปด้วยใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย จึงตะโกนขึ้นมาทันที
คนที่อยู่ด้านหน้าหยุดลง กองทัพทหารเกราะเหล็กเดิมคิดจะลงมือต่อ ทว่ากลับมีร่างบอบบางร่างหนึ่งเดินออกไปด้านหน้า กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก สายตาของหัวหน้ากลุ่มก็เริ่มเลื่อนลอย เยว่พั่วหลัวเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เจ้าหมาอยู่นี่”
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้ารับนิ่ง ๆ สายตามองตรงไป ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าราวกับหุ่น และไม่หันกลับมามองด้านหลังอีก
ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าหมานั่น ได้ถูกฝังอยู่ที่เนินเขาไปตั้งนานแล้ว
ไป๋จิ่นเดินผ่านข้างกายเยว่พั่วหลัว ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้นางอย่างเงียบ ๆ “สำนักกู่ของพวกเจ้าก็มีดีอยู่นี่นา”
อย่างน้อยกู่สะกดจิตนี้ ก็ไม่มีใครสามารถเทียบนางได้
เยว่พั่วหลัวเอ่ยอย่างได้ใจ “ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก~ ต่อให้ข้าจะขึ้นเกาะคนเดียว แม้แต่จระเข้ก็ยังไม่รอด!”
จี้จือฮวนเดินผ่านข้างกายพวกเขาสองคน “เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ไม่สู้ฆ่าคนเพิ่มอีกสักสองสามคนจะดีกว่า”
ในตอนนั้นเอง ก็มีสัญญาณดังขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศเหนือ จากนั้นก็หายไปในพริบตา “รองแม่ทัพหลี่ยึดภูเขาทางเหนือได้แล้ว”
สายลมยามค่ำคืนพัดกลิ่นคาวเลือดจนฟุ้งกระจายไปทั่ว
.
.
.