บทที่ 457 ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
“เรื่องนี้จริง แม่หนูตระกูลเสิ่นผู้นั้นอายุยังน้อย กลับเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางเหมือนกับอาฉือ วัน ๆ หนังสือไม่ห่างจากกาย ทั้งยังหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ตามพ่อของนางไปอยู่ในวัดเก่า ๆ ก็ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ข้าว่าหากได้รับการฝึกฝนอีกสักหน่อย วันหน้าต้องมีความสามารถมากเป็นแน่ หากอยู่แต่ในหลูโจวก็กลัวจะเป็นการตัดโอกาสเด็กคนนั้น ข้างกายข้าก็ขาดนางข้าหลวงอยู่พอดี สอนนางไม่กี่ปีค่อยปล่อยนางกลับไป ก็นับเป็นวาสนาต่อกันด้วย” องค์หญิงใหญ่เอ่ยจบ แน่นอนว่าไท่ซ่างหวงไม่มีความเห็นใด ๆ ในเรื่องนี้
“แต่ต้องถามความเห็นของพ่อแม่นางก่อน เด็กที่อายุยังน้อยการต้องออกจากบ้านเกิดไปอยู่ไกล ๆ มักจะรู้สึกกลัว”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว”
หากบอกว่าทำเพื่อสนับสนุนตระกูลเสิ่น นั่นก็ถือเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ นางชอบเสิ่นเยี่ยนชิว
หลังจากพูดจบ ทุกคนจึงได้เริ่มขยับตะเกียบ
อาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่ามีมากมายเต็มโต๊ะ เฉินฉือที่มักจะเงียบขรึมก็ยกจอกเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “คนบ้านนอกอย่างเราพูดคำพูดสวยหรูไม่เป็น แต่ปีนี้หมู่บ้านตระกูลเฉินของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะพวกฮวนฮวน ตาแก่ยายแก่อย่างเราสองคนและคนในหมู่บ้านไม่แน่อาจจะยังอยู่ภายใต้อำนาจของเฉินไคชุนอยู่ก็เป็นได้ ทุกวันเอาแต่คิดว่าการเก็บเกี่ยวปีนี้จะเป็นเช่นไร
ข้าขอขอบคุณฮวนฮวนไว้ ณ ที่นี้ และหวังว่าภายหน้าเมื่ออาฉือขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ก็อย่าได้ลืมความลำบากของราษฎร”
คำพูดนี้แม้ว่าจะไม่ได้สวยหรูอะไร แต่กลับแฝงไว้ด้วยเสียงในใจของชาวบ้านหมู่บ้านตระกูลเฉิน
อาฉือจึงสัญญาอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นอย่างมาก พวกเด็ก ๆ กินได้ไม่ทันไร พุงน้อย ๆ ก็เริ่มป่องกันแล้ว จึงจูงมือกันไปจุดประทัด แม้ว่าข้างนอกหิมะจะตกก็ไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด เสียงของประทัดทำให้งูหนึ่งและงูสองขดตัวเข้าหากันด้วยความตกใจ เพียงพอนน้อยก็หลบเข้าไปอยู่ที่ใต้ท้องของเมี้ยวเมี้ยว
ปากากลับสงบนิ่ง อย่างไรเสียเจ้าจระเข้นั่นก็ไร้ซึ่งสีหน้าใด ๆ อยู่แล้ว จึงไม่รู้ว่ามันตกใจหรือไม่ตกใจกันแน่
เนื้อที่เผยเสี่ยวเตาหั่นนั้นมีความประณีตสูงมาก เหมาะสำหรับทำหม้อไฟที่สุด ก่อนที่จี้จือฮวนจะไปจวนอันชินอ๋องก็ได้เข้าไปในมิติพิเศษแล้วเก็บผักกาดหอมมา ล้างจนสะอาดแล้วจึงยกออกมา เนื้อที่หมักเอาไว้ก็ถูกย่างและวางลงบนจานเหล็ก โรยเครื่องปรุงรสเล็กน้อยแล้วห่อด้วยผักกาดหอม ทำให้พวกเซียวเย่เจ๋อต่างก็อยากกินเป็นอย่างมาก
แต่ละคนเฝ้าดูจี้จือฮวนใช้ที่คีบไม้ไผ่ห่อเนื้อย่างกันตาปริบ ๆ นางกวาดตามองพวกเขาหนึ่งรอบ ไป๋จิ่นก็รีบเปิดปากรอทันที
ทว่าจี้จือฮวนกลับยัดเข้าปากเผยยวนพร้อมรอยยิ้ม
ผู้ชายทั้งกลุ่มรู้สึกอิจฉาเขายิ่งนัก!
พวกเขาจะไม่ร้องไห้ พวกเขาย่างเองก็ได้
เนื้อย่างที่นุ่มอร่อยและชุ่มฉ่ำ ทำให้อาหารจานอื่น ๆ ทุกคนก็ไม่สนใจที่จะกินอีกแล้ว เอาแต่ห่อเนื้อย่างแล้วผลัดกันป้อนให้แก่กัน
เผยยวนจึงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทุกคนต่างก็ไปรวมกลุ่มกัน แม้แต่ฉู่จิ้นก็ยังถูกจับไปเล่นไพ่นกกระจอกด้วย
เผยยวนหยิบเสื้อคลุมมา ก่อนจะจูงมือของจี้จือฮวนเดินออกไปจากห้องโถง เมื่อเห็นว่าหิมะหนามากอาจทำให้เท้าเปียกได้ง่าย เขาจึงนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้านาง “ข้าแบกเจ้าเอง”
จี้จือฮวนรู้สึกขบขัน “ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นเสียหน่อย”
เผยยวนหันหน้ามา แววตาที่เป็นประกายราวกับดวงดาวและจันทราจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น “แต่ข้าอยากเอาใจเจ้านี่นา”
จี้จือฮวนหลุบตาลง ก่อนจะชำเลืองมองเขา “ไม่กลัวว่าจะเอาใจจนเสียคนหรือ?”
เผยยวนดึงมือของนางมา ให้นางพิงอยู่บนตัวเขา เสื้อคลุมสีแดงนั่นขับให้นางดูน่ารักและไร้เดียงสาขึ้นหลายส่วน เผยยวนรักนางที่เป็นแบบนี้ยิ่งนัก “เจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าของข้า จะเอาใจจนเสียคนได้อย่างไรกัน ข้ายังอยากจะซ่อนเจ้าไว้ในใจทุกวันอีกด้วย”
“ไม่เดินย่อยจะอ้วนเอาได้”
เผยยวนจึงลุกขึ้นแล้วพานางไปดูเด็ก ๆ เล่นปาหิมะกัน โดยที่ตัวเขาเดินไปอย่างช้า ๆ ภายใต้ชายคา
“เจ้าเพิ่งจะหนักเท่าใดกัน อ้วนกว่านี้ร้อยชั่งข้าก็แบกเจ้าได้ ไม่เพียงแบกไหวเท่านั้น ข้ายังจะแบกเจ้าไปชั่วชีวิตอีกด้วย”
ตอนนี้เผยยวนพูดคำหวานได้อย่างคล่องปากอย่างยิ่ง แม้แต่จี้จือฮวนก็ยังไม่อาจต้านทานได้
เขาแบกนางเอาไว้และเดินอยู่ภายในจวน เท้าก็เหยียบไปบนหิมะ “เพลงที่ก่อนหน้านี้เจ้าร้องให้เด็ก ๆ ฟังบนรถม้าเป็นเพลงอะไรหรือ?”
จี้จือฮวนจึงเอื้อมมือไปบีบแก้มของเขาหนึ่งที “เป็นเพลงของพวกเราที่นั่น เจ้าชอบหรือ?”
เผยยวนยกตัวนางขึ้นเล็กน้อย “อืม”
จี้จือฮวนมองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระแอมในลำคอ “ท้องฟ้าที่ดำมืดเคลื่อนต่ำลง ดวงดาวที่สุกสกาวเฝ้าคอยติดตาม หิ่งห้อยบินไป หิ่งห้อยบินไป เจ้ากำลังคิดถึงผู้ใด”
เสียงของนางกังวาน ทว่าเวลาร้องเพลงกลับอ่อนโยนอย่างมาก ฝีเท้าของเผยยวนก็พลันช้าลงไปด้วยอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับว่าคืนนี้จะไม่มีรุ่งสาง พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันเพียงช่วงเวลานี้ตลอดไป
นางร้องเพลงไปเพลงแล้วเพลงเล่า เผยยวนก็ตั้งอกตั้งใจฟังเพลงแล้วเพลงเล่า พร้อมทั้งรู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างมาก จนไม่รู้สึกเลยว่าการแบกนางไว้บนหลังแล้วเดินไปแบบนี้จะเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
บังเอิญมีเสียงดอกไม้ไฟดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองดูดอกไม้ไฟที่แวบหายไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่ข้างหู จี้จือฮวนกัดติ่งหูของเขาหนึ่งทีแล้วพูดขึ้น “‘สวัสดีปีใหม่’ นะเผยยวน”
เขาหันหน้าไป สบกับดวงตาที่กระจ่างใสของนาง “ฮวนฮวน สวัสดีปีใหม่”
แต่สิ่งที่เผยยวนไม่ได้พูดออกไปก็คือ ข้าอยากอยู่ข้างกายเจ้าไปทุกปี
…
วันขึ้นปีใหม่ เรื่องใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงก็คือข่าวที่จวนอันชินอ๋องวางแผนก่อกบฏ และเนี่ยเจิ้งอ๋องรู้เข้า จึงได้แอบกลับเมืองหลวงเพื่อกวาดล้างให้สิ้นซาก
เพียงข้ามคืน จวนอันชินอ๋องก็ถูกตรวจสอบและรื้อค้น บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ลาดตระเวนต่างก็พูดไปด่าไป
ทั้งครอบครัวต่างก็ร้องไห้กันอย่างน่าอนาถ
โดยเฉพาะเซี่ยจวิ้นที่ถูกเนี่ยเจิ้งอ๋องพาตัวไป และอยู่ในห้องเก็บฟืนจนถูกความหนาวเย็นปลุกขึ้นมา มิหนำซ้ำยังต้องจ้องหน้ากับงูพิษฝูงหนึ่งทั้งคืนอีกด้วย ทำให้เจ้าเด็กนั่นหวาดกลัวมากจนฉี่ราดกางเกงยังไม่พอ ยังร้องไห้จนเสียงแหบแห้งอีกด้วย
เช้ามาเมื่อถูกเจ้าหน้าที่พาออกไป เขายังไม่วายตะโกนขึ้นมาว่าจะฆ่าเซี่ยห่วงอีก แต่คงคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือคุก
และยิ่งคิดไม่ถึงว่าการที่เขาไปตีเซี่ยห่วงจะเป็นการนำหายนะมาสู่ครอบครัว ตอนที่เขาถูกขังอยู่ในคุก ยังถูกตบจนเกือบทรุดลงไปกับพื้น ท่านแม่และพี่ใหญ่ที่รักเขาที่สุดต่างก็เข้ามาทุบตีเขาไม่หยุด ส่วนท่านพ่อที่เป็นถึงอันชินอ๋อง ก็ถูกทุบตีจนหายใจรวยริน
เซี่ยจวิ้นเสียใจอย่างมาก! เสียใจจนอยากจะตายอยู่แล้ว
แต่จะมีประโยชน์อันใดกัน
ส่วนกองทหารที่อันชินอ๋องให้ซุ่มโจมตีอยู่ด้านนอกนั้น พวกเขายังไม่ได้รับข่าวใด ๆ จึงรออยู่ระหว่างทางที่ไท่ซ่างหวงจะไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามแผนการเดิม
ไหนเลยจะรู้ว่า สิ่งที่พวกเขารอนั้นกลับไม่ใช่ไท่ซ่างหวง แต่เป็นเนี่ยเจิ้งอ๋องเผยยวน และทหารเกราะเหล็กอีกกลุ่มหนึ่ง!
พวกเขาถูกจับได้ระหว่างทาง และถูกพาตัวไปทั้งหมด
เมื่อทางหนีทีไล่สุดท้ายของอันชินอ๋องหมดลง เขาจึงได้รับสารภาพในคุกว่าได้ติดต่อกับเซี่ยเซวียน
ไม่เพียงเท่านั้น เซี่ยเซวียนยังพยายามติดต่อคนอื่นด้วย
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากเขา ก็ทำให้ราชสำนักและราษฎรตื่นตระหนก
ทุกคนจึงรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย และกลัวว่าจะถูกคนกล่าวหาอย่างผิด ๆ ดังนั้นจึงยิ่งเกลียดพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของเซี่ยเซวียนมากขึ้นไปอีก รวมถึงหานเหล่ยที่เป็นคนวางแผนให้เขา ก็ยากที่จะหลบเลี่ยงความผิดไปได้
เซี่ยเซวียนผู้นั้นไปเป็นพันธมิตรกับกองทัพกบฏ สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ เดิมก็ไม่เป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว ยังกล้ายื่นมือเข้ามาในเมืองหลวง เกลี้ยกล่อมขุนนางและเชื้อพระวงศ์ให้ลอบสังหารไท่ซ่างหวงที่เป็นปู่แท้ ๆ ของเขาด้วย! คำพูดและการกระทำที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งทางวาจาและลายลักษณ์อักษรโดยขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในราชสำนัก!
ไท่ซ่างหวงจึงมีราชโองการทำศึกด้วยตัวเองทันที บัญชาให้เนี่ยเจิ้งอ๋องเผยยวนเป็นผู้นำทัพไปสังหารเซี่ยเซวียน และแก้ไขกฎเกณฑ์ของราชสำนัก
ตอนนี้ยามที่ราษฎรในเมืองหลวงกล่าวถึงเซี่ยเซวียน แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมา
ปีใหม่ยังไม่ทันสิ้นสุดลง กองทัพทหารเกราะเหล็กก็ถูกเรียกรวมพลและเตรียมออกเดินทางไปทิศตะวันตกเพื่อปราบปรามเซี่ยเซวียนทันที การไปครั้งนี้เผยยวนสาบานว่าจะยึดเมืองทั้งแปดของหลงซีกลับคืนมา! ลบล้างความอัปยศให้กับวิญญาณทหารกล้าของต้าจิ้นทั้งแสนดวง และเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษ
.