บทที่ 432 ผู้ใต้บังคับบัญชาของกองปืนไฟ
ฮวาเส้าจงบอกว่าจะขอคุยกับเฉินไห่คั่วเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของฐานที่มั่น เผยยวนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของเจียงหนานเท่าใดนัก และไม่อยากก้าวก่ายเรื่องนี้มากเกินไป จึงคิดจะพาจี้จือฮวนไปข้างนอก ดูประเพณีและความเป็นอยู่ของชาวเจียงหนาน สำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรที่นี่ด้วย
อีกทั้งพวกอาชิงกับอาอินก็รออยู่ที่กลุ่มกองเรือ
เมื่อออกมานอกกระโจมหลักแล้ว เผยยวนยังกำชับเฉินไห่คั่วที่ออกมาส่งเขาอีกครั้ง “ค่าทำขวัญของพวกชาวบ้าน เจ้าจะผลักภาระไม่ได้ นี่เป็นคนละเรื่องกัน”
เฉินไห่คั่วพยักหน้ารับ “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้ารู้อะไรควรไม่ควรขอรับ”
“คนนอกยังไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่ เจ้าทุ่มเทความคิดทั้งหมดไปกับการจัดการโจรสลัดก็พอ ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของข้า”
เฉินไห่คั่วเดิมก็เป็นผู้ชายที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่แล้ว จึงกังวลว่าตัวเองจะดูแลไม่ทั่วถึง แต่เมื่อเผยยวนพูดเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาไม่อยากประกาศออกไป ช่วงนี้หากมีเจ้าหน้าที่คนใดถูกเขาจับผิดได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแล้ว
“ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ หากเรื่องใดไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ผู้น้อยค่อยไปถามท่านอ๋องอีกทีขอรับ”
“อืม”
หลังออกมาจากค่ายทหาร เสี่ยวลิ่วจื่อก็เอ่ยขึ้นมา “มาถึงเจียงหนานของเรา เช่นนั้นก็ต้องลองอาหารทะเลแล้ว ซึ่งพวกเราจะเน้นเรื่องรสชาติดั้งเดิม ภัตตาคารด้านหน้ารับปลามาจากท่าเรือ โดยฆ่าวันนั้นก็จะกินวันนั้นเลย”
เพิ่งจะเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
ทั้งสามคนจึงมองไปทางต้นเสียง ก็เห็นพ่อค้าปลาที่ตั้งแผงอยู่ริมถนนกำลังพูดกับเยว่พั่วหลัวด้วยความหงุดหงิด “แม่นาง เจ้าเลิกเลือกได้แล้ว ปลานั่นถูกเจ้าพลิกจนตายแล้ว เจ้าจะซื้อหรือไม่ซื้อกันแน่?”
เยว่พั่วหลัวมีสีหน้าลำบากใจ ได้ยินดังนั้นก็เช็ดมือเล็กน้อย ก่อนจะล้วงเงินออกมาจากถุงเงิน ซื้อปลามาตัวหนึ่งอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก
ทันทีที่สบตากัน เยว่พั่วหลัวก็ยกเชือกฟางในมือขึ้น ให้พวกเขาดูปลาตัวนั้นด้วยความหดหู่ “ข้าจะไม่ออกมาซื้อปลาอีกแล้ว!”
ไม่เจอตัวที่ถูกใจจริง ๆ!
ยังถูกคนรังเกียจอีก หลัวหลัวน้อยใจ และเศร้าใจด้วย
“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ออกมาข้างนอกกัน?” จี้จือฮวนเอ่ยถาม
ตอนที่พวกเขาออกมาเมื่อเช้า แต่ละคนยังนอนอืดบนเตียงอยู่เลยไม่ใช่หรือ บอกว่าเมาเรือ พวกเขาต้องพักก่อน
พูดถึงเรื่องนี้เยว่พั่วหลัวก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “ก็เพราะอาชิงน่ะสิ โวยวายจะมาหาพวกเจ้า พวกเราเองก็ไม่เคยมาเจียงหนานจึงออกมาเดินเล่นด้วย แต่ก็กลัวว่าพวกเจ้าจะหาพวกเราไม่เจอ จึงมองหาภัตตาคารที่อยู่ใกล้กับค่ายของกองทัพเรือแทน”
อาฉือต้องสอบจอหงวน ไม่อย่างนั้นก็จะตามมาด้วยเช่นกัน เขาไม่อยู่ จี้จือฮวนกับเผยยวนก็ไม่อยู่ เด็กสองคนนั้นก็ไม่ใช่พวกที่ชอบนอนขี้เกียจ จึงทำทุกวิถีทางจนพวกเขาต้องลุกขึ้นมา
“ไปเถอะ”
เสี่ยวลิ่วจื่อจะพาพวกเขามาลองชิมอาหารทะเล คิดไม่ถึงว่าพวกไป๋จิ่นก็จะบังเอิญมาที่นี่พอดี เลือกภัตตาคารที่จะกินอาหารทะเลเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จัดการเหมาโถงชั้นล่างไว้ทั้งหมด
ทันทีที่จี้จือฮวนก้าวเข้ามา ทหารชั้นยอดของกองทัพทหารเกราะเหล็กที่พามาด้วยก็ลุกยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน บางคนมีก้ามปูอยู่ในปาก พร้อมกับถือกั้งไว้ในมือ พลางทักทายด้วยท่าทางร้อนรน
จี้จือฮวนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พวกเขานั่งลง ในพวกเขามีคนของกองปืนไฟที่นางพามารวมอยู่ในนั้นด้วย
ตอนนั้นเองชายร่างสูงใหญ่ที่ซื้อขนมข้าวเหนียวกลับมาจากข้างนอก ก็บังแสงที่สาดมาทางประตูเอาไว้จนเกือบจะมิด รูปร่างของเขาใหญ่โตราวกับภูเขาลูกเล็ก ๆ ลูกหนึ่งที่กำลังเบียดประตูเข้ามา ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนหวานเป็นอย่างมาก ซึ่งขัดแย้งกับหน้าตายิ่งนัก พลางพูดอย่างตื่นเต้น “ฮูหยิน ท่านกลับมาแล้ว! อาหารเพิ่งจะขึ้นโต๊ะพอดี มานั่งที่โต๊ะนั้นของเราได้เลย”
ชายหนุ่มที่เดินผ่านไปมาหลายคนได้ยินเสียงที่มีเสน่ห์ต่างก็หันมามองทางภัตตาคาร ทว่าเมื่อเห็นว่าคนที่พูดเป็นชายร่างกำยำและแข็งแกร่งคนหนึ่ง ก็มีสีหน้าราวกับกินแมลงวันเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
“น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!”
“ข้ารู้สึกอยากจะอาเจียน!”
“รีบไปเถอะ”
ทว่าชายรูปร่างกำยำผู้นี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งยังกะพริบตาที่มีขนตายาวราวกับดอกทานตะวันให้กับจี้จือฮวนหนึ่งที จี้จือฮวนถูกน้ำเสียงของเขาสะกดให้ไปที่โต๊ะด้วยคำเชิญที่กระตือรือร้น
“ดีเลย ๆ เมื่อครู่ข้ากำลังคิดถึงฮูหยินอยู่เลย~”
จี้จือฮวนกระแอมเล็กน้อย “อยู่ข้างนอกให้เรียกชื่อ ไม่ต้องเรียกเช่นนี้”
“เอาล่ะ ๆ ข้ารู้แล้ว” ชายร่างกำยำกระดกนิ้วเป็นท่านิ้วดอกกล้วยไม้* ขึ้นมา พลางพูดกับชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาที่อยู่ข้าง ๆ “เมิ่งเมิ่ง เจ้าขยับเข้าไปนั่งด้านในหน่อยสิ~”
* ท่านิ้วดอกกล้วยไม้ (兰花指) เป็นการทำมือให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางแตะกัน ส่วนอีกสามนิ้วที่เหลือยกขึ้น ซึ่งจะดูเหมือนดอกกล้วยไม้ ในสมัยโบราณจะเป็นท่าทางของผู้ชายซึ่งสะท้อนถึงความงามที่เป็นเอกลักษณ์
มือของเมิ่งชื่อฮว่าสั่นเทาขึ้นมาทันที พลางขยับไปด้านข้างเล็กน้อย แต่เมื่อชายร่างกำยำนั่งลง ม้านั่งตัวยาวนั่นก็แทบจะกระดกเมิ่งชื่อฮว่าขึ้นมาราวกับกระดานหกก็มิปาน
“เอี๋ยนเฟินฟาง! เจ้านั่งให้มันอยู่ตรงกลางหน่อยสิ” เมิ่งชื่อฮว่าตะโกนออกมา
“ได้สิเมิ่งเมิ่ง” เอี๋ยนเฟินฟางขยับมาตรงกลางเล็กน้อย พร้อมกับล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยเช็ดโต๊ะด้านข้างให้ “คุณชายจี้รีบนั่งเร็วเข้า”
จี้จือฮวนกับเผยยวนเพิ่งจะนั่งลง เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็วิ่งตึงตังลงมาจากห้องส่วนตัวด้านบน และเบียดเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของพวกเขา
จี้จือฮวนเห็นกระเป๋าของอาชิงดูหนัก ๆ จึงล้วงออกมาดู มีแต่ของกินและของเล่นชนิดต่าง ๆ เต็มไปหมด ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ใช้เงินค่าขนมซื้อมาหรือ? ของพวกนี้ที่บ้านก็มีแล้วไม่ใช่หรือ?”
แม่บ้านตัวน้อยอาอินร้อนตัวขึ้นมาทันที “ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าเปล่านะเจ้าคะ เป็นของที่พวกพี่ชายกองปืนไฟซื้อให้เจ้าค่ะ”
ในการคัดเลือกกองปืนไฟครั้งก่อน จี้จือฮวนได้เลือกทหารออกมายี่สิบกว่าคนจากทหารใหม่และเก่าที่มาสมัคร และมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ถูกพามาที่เจียงหนานด้วย พวกเขาทั้งหมดล้วนมีศักยภาพ โดยเฉพาะ เมิ่งชื่อฮว่า ที่มาเข้าร่วมกองทัพเพราะได้รับข่าวของกองปืนไฟ เป้าหมายก็เพื่อเข้าร่วมกองปืนไฟโดยเฉพาะ
บุคลิกภายนอกเป็นคนยากจน จนชนิดที่ว่าแทบจะขอข้าวคนอื่นกิน แต่เบื้องหลังมีแค่นางและเผยยวนเท่านั้นที่รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นหลานชายของผู้อาวุโสเมิ่ง เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในจวน ได้ยินว่าเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาที่เลี้ยงไว้นอกจวน ที่มาสมัครทหารครั้งนี้ก็เพราะต้องการมีอนาคตที่ดี ผู้อาวุโสเมิ่งผู้นี้ปกติแล้วก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเผยยวน หากว่าเมิ่งชื่อฮว่าทำผลงานได้ดี เผยยวนย่อมไม่ว่าอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กคนนี้ก็มีพรสวรรค์มากจริง ๆ ดูจี้จือฮวนประกอบปืนเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำได้เกือบสมบูรณ์แบบ ช่วงเวลาที่ผ่านมาตอนอยู่บนเรือ ก็ถือเป็นคนที่ประกอบและแยกชิ้นส่วนได้เร็วที่สุดในกองปืนไฟแล้ว
คนต่อมาก็คือ เอี๋ยนเฟินฟาง หนุ่มล่ำที่มีท่าทางตุ้งติ้งเล็กน้อย อย่ามองว่าภายนอกเขาดูน่ากลัว ทว่าสายตาของเขานั้นดีมาก สามารถสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยที่คนอื่นมองไม่เห็นได้ นี่คือเหตุผลที่จี้จือฮวนรับเขาเป็นกรณียกเว้น
แม้ว่าญาติผู้พี่ของเอี๋ยนเฟินฟาง จะเป็นเจ้าเด็กเอี๋ยนเฉานั่นก็ตาม
“พวกเจ้าอย่าตามใจพวกเขาให้มาก” จี้จือฮวนเอ่ย
เมิ่งชื่อฮว่ารีบรับคำ “คราวหน้าจะไม่ทำแล้วขอรับ”
จี้จือฮวนพยักหน้าให้ “กลับไปแล้วให้ฝึกพื้นฐานต่อ ห้ามหย่อนยานแม้แต่วันเดียว”
เพราะพวกเขามีเรื่องกะทันหัน จึงพาคนที่เพิ่งเข้ามาในค่ายทหารหลายคนมาเจียงหนานด้วย ทุกคนจึงกระสับกระส่ายกันเป็นอย่างมาก แต่จี้จือฮวนก็ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบทางธรรมชาติของทะเล ฝึกฝนการทำงานระหว่างมือและตาของพวกเขา คนที่ได้รับคัดเลือกล้วนมีพื้นฐานวรยุทธ์ เดิมทีบางคนก็เป็นพลธนูมาก่อน ตอนที่หยิบปืนครั้งแรกอาจจะไม่คุ้นเคยนัก แต่หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนก็เพียงพอที่จะจัดการกับคนที่ไม่เคยเห็นปืนมาก่อนได้แล้ว
“มู่เหยากวงเล่า?”
อาชิงยกมือขึ้น “ข้ารู้ขอรับ พี่เหยากวงกับพี่เสี่ยวเตาเจอร้านขายอาวุธร้านหนึ่ง จึงไปซื้อของแล้วขอรับ!”
มู่เหยากวง เป็นทหารหญิงที่รับมาในครั้งนี้ เนื่องจากนางเป็นคนขยันและอดทน จี้จือฮวนจึงชื่นชมนางมากเช่นกัน คิดไม่ถึงว่านางกับเสี่ยวเตาเพิ่งจะพบกันครั้งแรกก็สนิทสนมกันราวกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันก็มิปาน ทั้งสองคนเมื่ออยู่ด้วยกันก็มักจะพูดถึงเรื่องการต่อสู้เป็นส่วนใหญ่
เอี๋ยนเฟินฟางรินชาให้กับจี้จือฮวน “ฮูหยิน พวกท่านไปกองทัพเรือมาราบรื่นหรือไม่ขอรับ?”
.
.
.