บทที่ 430 ความโกรธเกรี้ยวของเผยยวน
ข้างกายของสตรีเหล่านั้นบ้างก็พาเด็กสวมชุดกันหนาวมาด้วย อากาศหนาวจึงต้องใส่เสื้อคลุมหนา ๆ โดยที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และกำลังดูดนิ้วอยู่
ส่วนชายชรากลับยืนหลังค่อม เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่ดวงตากลับไร้ชีวิตชีวาราวกับว่าถูกชีวิตบั่นทอนจนเหลือเพียงความสิ้นหวัง
จี้จือฮวนคิดว่าตัวเองเป็นคนใจแข็งคนหนึ่ง ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี
เสี่ยวลิ่วจื่อจึงถอนหายใจออกมา “คนที่ตายปกติแล้วมักจะเป็นทหารใหม่ เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะถูกส่งไปลาดตระเวน ทหารเก่าต่างเห็นแก่ตัวอย่างมาก จึงไม่ยอมไปทำงานที่ลำบากเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ทหารใหม่เหล่านั้นยังฝึกได้แค่ไม่กี่วัน ดาบก็ยังจับไม่แน่นด้วยซ้ำ จะไปสู้กับโจรสลัดเหล่านั้นได้อย่างไรกัน”
อาอู๋ส่ายหน้า “และก็เป็นเช่นนี้ทุกปี หากคนที่ส่งมาใหม่โชคดีก็จะกลายเป็นทหารเก่า และได้เรียนรู้ทักษะเพิ่มอีกเล็กน้อย แต่คนที่โชคร้ายเข้ามาเพียงครึ่งเดือนก็ตายแล้ว”
“แม้แต่หน่วยลาดตระเวนของกลุ่มกองเรือของเรายังไม่ส่งพวกตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสามารถออกไปเลย” เสี่ยวลิ่วจื่อดูแคลน
“พูดน้อย ๆ หน่อย คนได้ยินเข้าจะรู้สึกไม่สบายใจเอาได้” ฮวาเส้าจงกระซิบบอก
ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองที่รู้สึกไม่สบายใจ แต่กลัวว่าครอบครัวคนเหล่านั้นได้ยินแล้วจะเสียใจมากกว่า
ชาวบ้านเหล่านี้ก็มีความหวังเพียงเท่านี้ ลูกชายของพวกเขาเท่ากับเป็นเสาหลักของครอบครัว คนตายไปเช่นนี้ใครก็ไม่คาดคิดทั้งนั้น คำพวกนี้นอกจากจะสร้างปัญหาแล้ว ยังไม่มีประโยชน์อีกด้วย
“มีคนมาแล้ว”
ทุกคนมองไกลออกไป มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินมาจากกระโจมหลักของค่ายด้วยท่าทางองอาจ บนกายแฝงไว้ด้วยไอสังหารเฉกเช่นทหาร เห็นได้ชัดว่าฮวาเส้าจงเองก็รู้จักดี จึงพยักหน้าให้คนผู้นั้นแต่ไกล
เฉินไห่คั่วเห็นฮวาเส้าจงมาครั้งนี้ยังได้พาคนจำนวนหนึ่งมาด้วย จึงกลัวว่าเขาจะมาเพื่อหาเรื่อง ทว่าเมื่อมองดูสีหน้าของฮวาเส้าจงแล้วก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะมาหาเรื่องแต่อย่างใด จึงโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
“หัวหน้าฮวา” เฉินไห่คั่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปทางเผยยวน ดวงตากลับเบิกกว้างขึ้น “ท่าน…”
เผยยวนรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “นี่ไม่ใช่ที่ที่จะคุยกัน เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
เฉินไห่คั่วเก็บซ่อนความตื่นตระหนกเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ และเอ่ยขึ้น “เชิญเข้ามาด้านในขอรับ”
ขณะเดียวกันในใจก็เริ่มกระสับกระส่าย เนี่ยเจิ้งอ๋องมาได้อย่างไรกัน?
คิดถึงตอนนั้นที่เป็นทหารด้วยกัน การที่เขาสามารถมาเป็นแม่ทัพกองทัพเรือในดินแดนที่มั่งคั่งอย่างเจียงหนานได้ นับว่าเฉินไห่คั่วโชคดีมากแล้ว เพราะขนาดเผยยวนที่สร้างผลงานในสนามรบหลายต่อหลายครั้งในที่ทุรกันดารอย่างซีเป่ย ยังไม่เป็นที่โปรดปรานของราชสำนัก เฉินไห่คั่วจึงรู้สึกนับถือเขาอยู่ในใจ แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรเหมือนเขา คนอายุมากขึ้น กลุ่มขุนนางก็เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เขาจึงต้องการเพียงความมั่นคงเท่านั้น
เพียงแต่โชคชะตาของเผยยวนเต็มไปด้วยเรื่องที่พลิกผัน เดิมทีเขาคิดว่าเทพแห่งสงครามของต้าจิ้นจะร่วงหล่นไปเช่นนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ไม่เพียงเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ยังได้เลี้ยงดูหวงไท่ซุนองค์ปัจจุบันเอาไว้อีกด้วย เพียงก้าวเดียวก็กลายเป็นเนี่ยเจิ้งอ๋องเสียแล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่หลายคนต่อให้จะต่อสู้ทั้งชีวิตก็ยังไม่ได้มา
เฉินไห่คั่วคิดถึงตำแหน่งแม่ทัพกองทัพเรือของตัวเองในตอนนี้ ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ตอนนั้นไปเมืองหลวงพวกเขายังมีฐานะเท่าเทียมกัน ทว่าตอนนี้เขากลับต้องเป็นฝ่ายคุกเข่าคารวะให้ ต้องบอกว่าทุกคนมีโชคชะตาเป็นของตัวเองจริง ๆ
ขณะที่เฉินไห่คั่วกำลังทอดถอนใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงสตรีที่อยู่ข้าง ๆ ร้องไห้และคุกเข่าลง กำลังจะคว้าชายเสื้อของเขา แต่กลับถูกทหารชั้นผู้น้อยปัดออก
“ใต้เท้า ท่านต้องแก้แค้นให้ลูกชายข้าด้วยนะเจ้าคะ หมู่บ้านของเราจ่ายเงินให้พวกท่านแล้วนะเจ้าคะ ตอนนี้หมู่บ้านไม่เหลือแล้ว คนก็ตายไปแล้ว ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับข้านะเจ้าคะ”
“ปล่อย! เรื่องนี้ใช่เรื่องที่เจ้าจะมายุ่งได้อย่างนั้นหรือ?!” ทหารชั้นผู้น้อยเห็นนางวุ่นวายไม่เลิก กลัวว่าเสียเรื่องแล้วจะถูกด่า จึงรีบลากคนออกไปทันที
เฉินไห่คั่วยังไม่ทันเอ่ยปาก เผยยวนก็โมโหขึ้นมาก่อนแล้ว “เหตุใดนางถึงไม่สามารถยุ่งเรื่องนี้ได้ คนที่ตายเป็นญาติของนาง ที่ถูกเผาไปก็เป็นหมู่บ้านของนาง และเรื่องจ่ายเงินนั่นมันอะไรกัน?”
ทหารชั้นผู้น้อยเห็นเขาเป็นแค่คนที่ติดตามกลุ่มกองเรือ ในใจก็รู้สึกดูแคลน แค่คนรับใช้คนหนึ่งกลับกล้ามาสั่งสอนเขาอย่างนั้นหรือ?
กำลังคิดจะตอบโต้ แต่เฉินไห่คั่วกลับตะคอกขึ้นมาเสียก่อน “ไปได้แล้ว!”
จากนั้นเฉินไห่คั่วก็เอ่ยด้วยความนอบน้อม “เข้าไปคุยกันก่อนเถอะ เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้ฟังเอง”
เผยยวนขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา “หาที่พักให้ครอบครัวเหล่านี้ด้วย ให้พวกเขาตากลมหนาวด้านนอกในเดือนสิบสองเช่นนี้ พวกเจ้าตาบอดกันหมดแล้วหรืออย่างไร?”
ในสายตาของเฉินไห่คั่ว น้ำเสียงที่เผยยวนใช้เท่ากับไม่เห็นหัวและดูถูกเขาอย่างโจ่งแจ้ง และวางอำนาจบาตรใหญ่ในที่ของเขา
แต่อีกฝ่ายมีระดับขั้นสูงกว่าย่อมทำอะไรก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเผยยวนยังเป็นพ่อที่เลี้ยงดูหวงไท่ซุนมา เมื่อไท่ซ่างหวงสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้น้อยไม่เท่ากับอยู่ในกำมือของเผยยวนหรอกหรือ บอกว่าเขาเป็นฮ่องเต้ตัวจริงก็คงไม่มีใครโต้แย้งอะไร
เขาระงับความโกรธไว้ในใจ ก่อนจะสั่งการทหารชั้นผู้น้อย “ไปจัดการให้เรียบร้อย”
ทหารชั้นผู้น้อยสงสัยว่าคนรับใช้ของกลุ่มกองเรือผู้นี้เป็นใครกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าถาม อย่างไรเสียก็ไม่มีทางคิดว่าเขาเป็นเผยยวน ดังนั้นจึงรีบให้คนไปจัดหาสถานที่ให้คนเหล่านั้นพัก
เฉินไห่คั่วเดินนำอยู่ด้านหน้า ในใจก็ใคร่ครวญถึงจุดประสงค์ที่เผยยวนมาที่นี่อยู่ตลอด ระหว่างทางจึงไม่ได้พูดอะไร
หลังจากเข้ามาในกระโจมจึงไล่ทหารชั้นผู้น้อยให้ถอยออกไป ก่อนจะหมุนตัวและคุกเข่าคารวะให้กับเผยยวน “ผู้น้อยคารวะเนี่ยเจิ้งอ๋อง”
เผยยวนไม่รอให้เขาคุกเข่าลง ก็ยื่นมือออกไปห้ามเอาไว้ “ไม่ต้องคุกเข่าคารวะ ตอนนี้สถานการณ์ของโจรสลัดเป็นเช่นไรบ้าง? ยังมีเรื่องที่หมู่บ้านต้องจ่ายเงินให้ด้วย เพราะอะไรกัน?”
เฉินไห่คั่วถอนหายใจออกมา “นี่เป็นกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ บางหมู่บ้านมีผู้ชายน้อยและมีคนอยู่ไม่มาก ประกอบกับค่อนข้างห่างไกล โจรสลัดจึงมักจับตามองหมู่บ้านเช่นนี้ การลาดตระเวนปกติจึงไปไม่ถึงที่นั่น…”
“ดังนั้นพวกเจ้าจึงเก็บเงินค่าลาดตระเวนอย่างนั้นหรือ?” เผยยวนขัดคำพูดของเขาทันที
เฉินไห่คั่วรู้สึกอับอายขายหน้า “สิบกว่าปีมานี้ล้วนทำ…”
“ใครเป็นคนกำหนด?” เผยยวนถามต่อ
เฉินไห่คั่วเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “กำหนดเช่นนี้มาตลอด”
เผยยวนตบโต๊ะอย่างแรง “สถานที่ห่างไกล อำนาจฮ่องเต้มาไม่ถึง พวกเจ้าจึงเป็นตัวแทนต้าจิ้นออกกฎหมายเองแล้วอย่างนั้นหรือ? ชาวบ้านถูกจัดเก็บภาษีโหดร้ายแล้ว ยังต้องจ่ายเงินให้พวกเจ้าที่เดิมต้องเป็นคนปกป้องพวกเขาอยู่แล้วอีก! เช่นนั้นพวกเจ้าส่งกลุ่มยอดฝีมืออะไรไปปกป้องพวกเขากัน?”
เฉินไห่คั่วใบหน้าแดงก่ำ ก่อนแก้ตัวคอเป็นเอ็น “ท่านอ๋องระบายโทสะกับข้าก็…”
“ข้าเอาเจ้ามาเป็นที่ระบายโทสะอย่างนั้นหรือ? เจ้าเพียงแค่ถูกข้าตั้งคำถามก็รู้สึกอับอายเสียแล้ว แต่ทหารเรือของต้าจิ้นที่ตายอยู่ด้านนอก ใครจะคืนชีวิตให้พวกเขากัน ข้าเอาแต่คิดถึงโจรสลัดมาตลอด เพราะพวกเจ้าใช้จ่ายเงินของราชสำนักมากมายเพียงนั้นเพื่อซ่อมและสร้างเรือรบ ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าต้องปราบปรามโจรสลัดจนสิ้นซาก แต่อย่างน้อยก็ควรจะปกป้องชาวบ้านให้ปลอดภัย”
เผยยวนโมโหอย่างมาก “ภาษีของเจียงหนานไม่พอเลี้ยงดูพวกเจ้า จนพวกเจ้าต้องไปเก็บเงินชาวบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ? เงินเล่า! ไปไหนหมด!”
เฉินไห่คั่วเม้มริมฝีปากไม่พูดไม่จา เผยยวนก็ไม่พูดต่ออีก ผ่านไปพักใหญ่ที่ปรึกษาทางทหารที่ยืนอยู่ตรงมุมจึงได้เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ท่านอ๋อง ท่านอย่าโมโหไปเลยขอรับ เพราะเรื่องนี้ท่านแม่ทัพเองก็ร้อนใจมาหลายวันแล้ว โจรสลัดแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่กลับใช้วิธีการหลบ ๆ ซ่อน ๆ มักจะเลือกขึ้นฝั่งบริเวณที่ลับตาคน พวกเราก็ไม่สามารถผูกตาข่ายตลอดชายฝั่ง หรือยืนยามทุกสิบก้าวได้ พวกชาวบ้านจ่ายเงินให้ก็เพื่อความอุ่นใจ เงินนี้พวกเราก็ได้เอามาใช้ในค่ายทหาร เพราะท้องพระคลังว่างเปล่ามาหลายปี เบี้ยหวัดที่แจกจ่ายลงมาก็น้อยนิด แต่พวกเราไม่ได้ยักยอกเอาไว้ส่วนตัวจริง ๆ นะขอรับ”
“เลิกพูดได้แล้ว!” เฉินไห่คั่วตะคอกออกไป มองเผยยวนและเอ่ยขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก ข้ายอมรับ”
“อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า ตอนนี้คนตายไปแล้ว หมู่บ้านก็ถูกทำลาย จะรับศพกลับไปก็ยังต้องรอคำสั่งจากพวกเจ้าอีก ช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ! กองทัพเรือกระทำการเช่นนี้ จะให้ราษฎรนับถือได้อย่างไร จะให้ราษฎรเชื่อใจพวกเจ้าได้อย่างไร แล้วจะให้ทหารยอมบุกตะลุยโจมตีข้าศึกเพื่อพวกเจ้าได้อย่างไรกัน?”
.