บทที่ 428 โจมตีโจรสลัด
เผยยวนเอ่ยปาก “หากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่แก้ที่ต้นตอ โจรนั่นออกอาละวาดในชนบท เมื่อพวกเขารู้ตำแหน่งแนวป้องกันของกองทัพ ก็จะสามารถหลบเลี่ยงได้ และเลือกขึ้นฝั่งจากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ออกปล้นสะดมทำให้ประชาชนไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ชายฝั่งทะเลตะวันออกก็จะกลายเป็นคลังเสบียงของพวกเขา มีเพียงต้องกวาดล้างให้หมดเท่านั้น แม้จะเหนื่อยหน่อยแต่ก็จบภายในคราเดียว”
ฝ่ายตรงข้ามโจมตีทีก็เคลื่อนไหวที ต้องทำไปถึงเมื่อใดกัน ราชสำนักทุ่มเงินจำนวนมากให้กองทัพเรือทุกปี ทั้งดูแลทหาร ทั้งซ่อมเรือรบ จัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ราษฎรก็ยังคงถูกเผาทำลายหมู่บ้าน ปล้นคร่าผู้หญิงและเด็กอยู่ทุกปี ตอนนั้นเซี่ยเจินอาศัยตอนที่ท้องพระคลังว่างเปล่า ทุกครั้งพอระเบิดอารมณ์เสร็จก็มักจะปล่อยพวกมันไป ตอนนี้พ่อค้าตามแนวชายฝั่งเจียงหนานต่างก็ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับโจรสลัด เพื่อรับประกันว่าสินค้าที่ท่าเรือจะถูกส่งได้ตรงเวลา
ราษฎรของต้าจิ้นต้องกลายเป็นอาหารอันโอชะในท้องของโจรสลัด ปล้นของกินยังไม่พอ ยังปล้นเงิน ฉุดคร่าผู้คน ขอเพียงเป็นชายหนุ่มที่มีจิตใจตรงไปตรงมา คงไม่มีใครทนโจรสุนัขกลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน
เหตุผลข้อนี้ฮวาเส้าจงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เพียงแต่ในสายตาของราชสำนักเขาก็เป็นแค่โจรทางน้ำอีกกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้น ชื่อเสียงของกลุ่มกองเรือในปีแรก ๆ ไม่ได้ดีเท่าใดนัก กว่าฮวาเส้าจงจะยึดแต่ละกลุ่มมาได้ แล้วกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ก็ใช้เวลาไปหลายทศวรรษแล้ว
และในเมื่อราชสำนักเห็นพวกเขาเป็นโจร เช่นนั้นขอเพียงโจรสลัดเหล่านั้นไม่มาเหยียบจมูกพวกเขา ฮวาเส้าจงก็จะไม่สนใจ เพราะต่อให้สนใจไปเมื่อมีโอกาสเซี่ยเจินก็จะหันกลับมาแว้งกัดเขาอยู่ดี โดยบอกว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน
“วันนี้ในเมื่อทุกคนต่างก็อยู่ที่นี่ ข้าก็จะขอพูดตรง ๆ โจรสลัดนั่นข้ารู้จักจริง ๆ เขามีชื่อว่า ฟุมิโอะ มัตสึโมโตะ เป็นชาววอโค่ว* มีนินจาและโรนินชาววอโค่วจำนวนมากอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา ได้ยินมาว่าก่ออาชญากรรมในวอโค่วเอาไว้ จึงต้องหนีมาซ่อนตัวอยู่บนเกาะโดดเดี่ยว ตอนนี้ก็เลยอาศัยปล้นสินค้าตามชายฝั่งตะวันออกของพวกเรา แต่ทางนั้นก็มีขอบเขตเช่นกัน พวกเขาคุ้นเคยกับทางน้ำเป็นอย่างดี และมีกลุ่มหนึ่งที่จะปล้นเรือหลวงโดยเฉพาะ”
* วอโค่ว (倭国) หมายถึง ชื่อเรียกของประเทศญี่ปุ่นในช่วงยุคต้น ๆ
ฮวาเส้าจงเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองไปทางเผยยวน “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เป็นช่วงที่พวกเขาจะกระตือรือร้นมากที่สุด หากต้องการจะกวาดล้างให้หมดจริง ๆ ล่ะก็ ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด”
เผยยวนลุกขึ้น “หัวหน้าฮวายินดีจะช่วยราชสำนักอีกแรงหรือไม่ขอรับ?”
ฮวาเส้าจงจึงเอ่ยตอบทันที “เรื่องนี้ต่อให้พวกเจ้าไม่พูด ข้าก็ตั้งใจว่าจะกลับไปที่เจ้อเจียงและหารือกับแม่ทัพกองทัพเรืออยู่แล้ว เพื่อเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้กับอาฉือ”
เผยจี้ฉือฟังจบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คำนับให้กับฮวาเส้าจงทันที “อาฉือขอเป็นตัวแทนราษฎรต้าจิ้น ขอบคุณในความมีคุณธรรมของกลุ่มกองเรือขอรับ!”
“ไม่ต้อง ๆ” ฮวาเส้าจงดึงเผยจี้ฉือให้นั่งลง “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเนื้อร้ายที่ฝังรากลึกอยู่มานาน จะสามารถตัดมันออกมาได้ในคราเดียวหรือไม่ ยังยากที่จะบอกได้ ข้าก็บอกได้เพียงว่ากลุ่มกองเรือของข้าจะทำให้ดีที่สุด”
จี้จือฮวนกลับเอ่ยขึ้นโดยหวังว่าฮวาเส้าจงจะช่วยไปดูเรือรบที่อู่ต่อเรือเหล่านั้นก่อนที่จะออกจากเมืองหลวง อย่างไรเสียกลไกยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่เรือนั่นเหมาะที่จะใช้เป็นเรือรบหรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้
ฮวาเส้าจงย่อมรับปากนาง เขายอมเลื่อนวันออกจากเมืองหลวงไปอีกหนึ่งวัน
ตอนที่เว่ยเจ๋อเซิงกลับมาด้วยความรีบร้อนนั้น ทุกคนยังคงกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่
“ท่านอ๋อง พระชายา ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกท่านขอรับ”
เขาบอกสิ่งที่ตัวเองทำนายได้ให้พวกเขารู้
หากเว่ยเจ๋อเซิงเป็นนักต้มตุ๋นข้างถนนธรรมดา ทุกคนก็คงจะไม่จริงจังกับคำพูดนี้อย่างแน่นอน แต่ฮวาเส้าจงเดิมก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชายฝั่งเจียงหนานช่วงสิ้นปีอยู่แล้ว ดังนั้นจู่ ๆ เขาก็มาพูดเช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนกินข้าวเย็นไม่ลงอีก
รองหัวหน้าฉินต๋าตบโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นมา “อย่างไรเสียพวกมันก็จะบุกมาอยู่แล้ว เช่นนั้นก็สู้ตายกับพวกมันไปเลย”
จี้จือฮวนพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง “ข้าเห็นด้วย แทนที่จะนั่งรอให้ถูกโจมตี ไม่สู้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นฟุมิโอะ มัตสึโมโตะ หรือไอ้บ้าคาวาชิมะ ใครก็ตามที่บุกรุกต้าจิ้นของเรา ต้องฆ่าอย่าให้เหลือ”
เว่ยเจ๋อเซิงยกมือขึ้นคำนวณ “ยังมีเวลาอีกสามเดือน พวกเรายังพอมีเวลาเตรียมตัวอยู่ขอรับ”
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นเอ่ย “เจ้าลองคำนวณดูหน่อย ว่าเราควรบุกโจมตีจากที่ใดถึงจะดีกว่ากัน?”
เว่ยเจ๋อเซิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับคำ “พระชายาพูดมามีเหตุผล ผู้น้อยจะกลับไปที่ห้องเพื่อคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนเดี๋ยวนี้ขอรับ แล้วก็คำนวณสภาพอากาศ…”
“ไม่ต้องเลือกวันที่อากาศดี เลือกวันที่มีหมอกหนาทึบให้ข้าก็พอ” จี้จือฮวนเอ่ย
“หากมีหมอกหนาทึบ แม้แต่เรือก็จะมองเห็นไม่ชัดนะขอรับ?” เว่ยเจ๋อเซิงเอ่ยอย่างงุนงง
“มองไม่ชัดไม่ดีหรืออย่างไร?” ระเบิดควันธรรมชาติ เข้าไปก็จัดการได้เลย
เว่ยเจ๋อเซิงเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ตอนที่เขาเตรียมจะกลับห้องไปคำนวณนั้น จู่ ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลงอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถาม “พระชายาขอรับ เช่นนั้นฤกษ์งามยามดียิ่งเร็วเท่าใดยิ่งดี หรือควรลากไปจนถึงหลังปีใหม่ดีขอรับ?”
จี้จือฮวนกินขนมอบไปหนึ่งชิ้นแล้วพูดขึ้น “รีบสู้รีบจบ จะเก็บพวกเขาเอาไว้เป็นกับแกล้มวันส่งท้ายปีเก่าหรืออย่างไร?”
ทุกคนต่างก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บพวกโจรสลัดเหล่านี้เอาไว้ ในเมื่อจะกวาดล้างก็ต้องอาศัยตอนที่พวกมันชอบปรากฏตัว โค่นล้มในคราเดียวจึงจะสะดวกที่สุด
…
วันต่อมา จี้จือฮวนกับฮวาเส้าจงก็ได้ไปที่อู่ต่อเรือ
หลี่เชียนกับหวังมู่ทำงานอยู่ด้านในแล้ว เมื่อเห็นจี้จือฮวนมาก็รีบออกมาต้อนรับ
“คารวะพระชายา”
“นี่คือหัวหน้าฮวาของกลุ่มกองเรือ วันนี้จะมาดูเรือรบ ข้าจึงตั้งใจให้เขามาดูด้วย”
พูดถึงประสบการณ์ทางทะเล ผู้คนในเมืองหลวงเหล่านี้ย่อมไม่คุ้นเคยเท่ากับคนของกลุ่มกองเรือ
เสี่ยวลิ่วจื่อกับอาอู๋เดินตามอยู่ด้านหลัง ทันทีที่คนทั้งกลุ่มเข้ามา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกคันจมูกขึ้นมาทันที เพราะมีแต่ขี้เลื่อยปลิวว่อนไปทั่ว
จี้จือฮวนจึงล้วงผ้าคลุมหน้าออกมาสวม ส่วนอาอู๋กับเสี่ยวลิ่วจื่อได้ไปสังเกตและศึกษาเรือรบรูปแบบต่าง ๆ แล้ว
กรมโยธาตั้งใจจะทำออกมาให้ดีที่สุด ดังนั้นตัวอย่างเรือรบทุกยุคทุกสมัยจึงวางอยู่บนโต๊ะ แต่ละแบบล้วนมีข้อดีและเสียแตกต่างกันไป ตอนนี้ที่นิยมสร้างกันมากที่สุดก็ยังคงเป็นเรือหาปลา หัวเรือเล็ก หางกว้าง ท้องแหลม หางกว้างพอที่จะแหวกน้ำได้ ส่วนหัวเรือเล็กท้องเรือแหลมจะช่วยลดแรงต้านทานได้มาก สามารถรองรับคนได้มากกว่าห้าสิบคน
สิ่งนี้สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน จี้หมิงซูต้องการทำเรือรบที่เร็วกว่าจึงต้องมีการติดตั้งกลไกภายใน และใช้แนวทางการไหลของน้ำ หลักการถูกต้อง เพียงแต่ทำไม่เสร็จ ทั้งหมดจึงกลายเป็นโครงการที่สร้างไม่เสร็จ
ราชสำนักไม่มีทางเลือกอื่น และไม่สามารถให้คนอยู่ว่าง ๆ ได้ จึงยังคงสร้างตามพิมพ์เขียวแบบเก่าอยู่
ทว่ากรมโยธากลับโชคดีอย่างคาดไม่ถึง เพราะคนของกลุ่มกองเรือเองก็ยังใช้เรือรูปแบบเก่าเหล่านี้อยู่
“ในกลุ่มของพวกเราเวลาสู้กับโจรสลัดก็ยังใช้เรือหาปลาอยู่ เรือรบเช่นนี้ถึงแม้จะเป็นเรือรบที่ดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยน่านน้ำโดยรอบด้วย”
จี้จือฮวนสำรวจอยู่นาน ก็พบว่าเรือในอู่ต่อเรือยังมีเก็บเอาไว้อยู่
นางดูเรือรบของจี้หมิงซู ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หลังจากหารือกับฮวาเส้าจงแล้ว จี้จือฮวนรู้สึกว่าเศษซากที่จี้หมิงซูทิ้งเอาไว้ หากเปลี่ยนเป็นเรือสองหัวเช่นในสมัยราชวงศ์หมิง ที่มีหางเสือสองข้าง สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้อย่างรวดเร็ว หรือปรับเปลี่ยนเป็นเรือโยงและเรือแม่ลูกต่างก็เป็นไปได้
โดยเฉพาะเรือโยงที่ตัวเรือมีความยาวสิบสองหมี่ แบ่งออกเป็นสองส่วน โดยด้านหน้าใช้พื้นที่หนึ่งในสามส่วน ใช้บรรทุกระเบิดและอาวุธไฟ ส่วนด้านหลังใช้พื้นที่สองในสามส่วน บรรทุกทหาร ในฐานะเรือรบหลัก เมื่อถูกโจมตี วงแหวนเหล็กที่เชื่อมโยงเรือส่วนด้านหน้าและด้านหลังจะคลายตัวออก ทำให้เรือส่วนหลังสามารถแล่นออกไปก่อนที่จะเกิดการระเบิดได้
ส่วนเรือแม่ลูกก็มีความยาวพอ ๆ กับเรือโยง กราบเรือทั้งสองข้างมีแผ่นไม้บังเอาไว้ ภายในท้องเรือว่างเปล่า เพื่อซ่อนเรือลูกเอาไว้หนึ่งลำ หากเรือแม่เกิดไฟไหม้พร้อมกับเรือศัตรู ทหารก็ยังสามารถขับเรือลูกกลับค่ายได้
ในแง่ของความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ล้วนสามารถรับประกันการสูญเสียของเหล่าทหารได้ เพิ่มพื้นที่ให้พวกเขาสามารถหลบหนีได้มากขึ้น
ส่วนตัวเรือที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้วเหล่านั้น เรือรบอันวิจิตรที่ไม่สามารถแล่นได้อย่างคล่องตัวในช่องแคบที่เต็มไปด้วยโขดหิน จี้จือฮวนตัดสินใจเก็บพวกมันเอาไว้ และยังจะขนไปที่อู่เรือเจียงหนานอีกด้วย
หลี่เชียนรู้สึกไม่เข้าใจกับการกระทำนี้ของนาง
ทว่าจี้จือฮวนกลับพูดออกมาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น “ถึงเวลาท่านก็จะรู้เอง”
.
.
.