บทที่ 423 กองปืนไฟ
จู่ ๆ อาอินก็แสดงพลังออกมา ฉู่จิ้นจึงยังไม่ได้สติ จนกระทั่งถูกอาอินหิ้วคอเสื้ออีกครั้ง เขาจึงคิดจะจับข้อมือของนาง
อาอินพลิกข้อมือ ก่อนจะหมุนตัวแล้วยกฉู่จิ้นขึ้น จากนั้นก็ดึงหอกเงินบนชั้นวางอาวุธด้านข้างออกมาและแทงออกไป ในบรรดาอาวุธที่เผยยวนสอนนางหลังจากฟื้นขึ้นมา หอกเงินคืออาวุธที่นางชื่นชอบที่สุด และใช้คล่องมือมากที่สุด
ฉู่จิ้นผู้นี้เดิมทีนางตั้งใจจะคุยด้วยเหตุผลและทำให้เขาได้ประจักษ์ถึงความจริง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนแพ้แล้วไม่รู้จักแพ้ ความคิดช่างน่าขยะแขยงจริง ๆ
“เจ้าจะทำอะไร!” ฉู่จิ้นถูกนางสั่งสอนจนสะบักสะบอม ทันใดนั้นก็อับอายเป็นอย่างมาก
อาอินไม่คิดจะล้อเล่นกับเขาอีก เดิมทีพวกเขาล้วนเป็นสหายร่วมรบในอนาคต ชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นในสนามรบก็ไม่เคยเป็นเรื่องตัวต่อตัว ความร่วมมือกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ฉู่จิ้นผู้นี้น่ารังเกียจเกินไป อยู่ดี ๆ ก็ลากท่านแม่มาต่อว่า จะให้คนที่รักครอบครัวสุดหัวใจเช่นอาอินทนไหวได้อย่างไรกัน?
“พูดมากอะไรกัน จะตีก็ตี จะสู้ก็สู้ ในกองทัพทหารเกราะเหล็กของเราไม่มีทหารอ่อนแอ และไม่มีพวกขี้ขลาดที่แพ้แล้วไม่ยอมรับแต่กลับใส่ร้ายคนอื่น หากเป็นผู้ชายอยู่ล่ะก็ เลือกอาวุธซะ วันนี้ข้าจะใช้อาวุธกำราบคนเอง!”
หากเป็นก่อนหน้านี้คงมีคนคิดว่าเด็กน้อยกำลังพูดเกินจริง และคงไม่มีใครใส่ใจ ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ทว่าตั้งแต่อาอินสามารถวิ่งจบยี่สิบลี้ ทั้งยังตีคนอย่างฉู่จิ้นจนหมอบได้ ใครยังจะกล้าดูถูกนางอีก
ลูกสาวของแม่ทัพเผยร้ายกาจจริง ๆ!
เมื่อก่อนเหตุใดถึงไม่เคยได้ยินคนพูดถึงกันเล่า ส่วนบรรดาทหารเก่ากลับเห็นจนชินชาเสียแล้ว และยังพูดเหน็บแนมขึ้นมาอีกด้วย “เกิดเป็นคนอย่าดูถูกคนอื่นจนเกินไป เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ เขาไม่หยิ่งทะนงตนกันหรอก แพ้ก็ต้องรู้จักแพ้ การแพ้ไม่เป็นต่างหากที่น่าอายที่สุด”
“ใช่ เมื่อก่อนคุณหนูอาอินฝึกกับพวกเรา ไม่เคยบ่นว่าลำบากหรือเหนื่อยเพียงเพราะตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงและอายุยังน้อยเลยสักครั้ง พวกเจ้าดูสภาพตัวเองเมื่อเช้าสิ มีกี่คนกันที่สามารถวิ่งได้จนจบ คิดว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กสามารถเข้าได้ง่ายจริงหรือ?”
บรรดาทหารเก่าไม่เคยพูดมาก เพราะล้วนเป็นคนที่ผ่านสนามรบมาก่อน คำพูดและการกระทำจึงไม่ได้หุนหันพลันแล่น
ฉู่จิ้นถูกคนเหน็บแนมจนหน้าดำหน้าแดง เมื่อเห็นอาอินยังคงถือหอกรออยู่ ก็เอ่ยด้วยความหงุดหงิดขึ้นมา “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว พอใจหรือยัง?”
“ไม่พอใจ เจ้าต้องขอโทษด้วย” อาอินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉู่จิ้นกัดฟัน ไม่ปริปากใด ๆ อีก คนที่สนิทสนมที่อยู่ข้างกายดึงเขาหนึ่งที “เจ้ายอมลดตัวสักครั้งเถอะ นางเป็นลูกสาวของเนี่ยเจิ้งอ๋อง อายุก็ยังน้อยเพียงนี้ เจ้าจะรั้นไปทำไมกัน ไม่อยากอยู่ในกองทัพแล้วหรืออย่างไร?!”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมาก็จี้ใจดำของฉู่จิ้นเข้าอย่างจัง
“ลูกสาวของเนี่ยเจิ้งอ๋องมีอะไรพิเศษกัน! เดิมทีก็มีสตรีเพียงไม่กี่คนที่สามารถออกรบได้ ข้าพูดผิดหรืออย่างไร? เป็นสตรีก็ควรอยู่บ้านปรนนิบัติสามีสั่งสอนลูก ออกมาต่อสู้ฆ่าฟันใช้ได้ที่ใดกัน! วิ่งแพ้ข้ายอมรับ แต่เรื่องนี้ข้าไม่ยอมรับ”
ตอนที่จี้จือฮวนและเผยยวนออกมา ก็ได้ยินอาอินกับฉู่จิ้นโต้เถียงกันพอดี
อาอินกัดฟันด้วยความโมโห อยากจะพุ่งเข้าไปเตะเจ้าสุนัขนี่ให้ตายจริง ๆ
แต่ทันใดนั้นจี้จือฮวนก็ส่งเสียงขึ้นมา “อาอิน”
ใบหน้าดุดันของอาอินพลันอ่อนลง ก่อนจะถือหอกเดินผ่านฝูงชนไป แล้ววิ่งไปที่ข้างกายของจี้จือฮวน พลางเอ่ยเสียงอ่อน “ท่านแม่ อาอินไม่ได้ก่อเรื่องนะเจ้าคะ ท่านอย่าโมโหไปเลย”
จี้จือฮวนย่อตัวลง เช็ดฝุ่นบนใบหน้าให้นาง “แม่ไม่ได้โทษเจ้า วันนี้อาอินทำได้ดีมาก”
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน” บรรดาทหารที่คุ้นเคยต่างก็คารวะให้
ในใจฉู่จิ้นก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา และกังวลว่าตัวเองจะถูกไล่ออกจากค่าย แต่ก็ไม่อยากเสียหน้า จึงคารวะให้กับจี้จือฮวนอย่างขอไปทีแล้วเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยิน วันนี้ข้าประลองกับคุณหนู เป็นข้าที่ประมาทศัตรู แต่ข้าไม่คิดว่าคำพูดของข้ามีปัญหาที่ใดนะขอรับ”
ดวงตาที่ไม่แยแสของจี้จือฮวนกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ในใจของฉู่จิ้น หากจี้จือฮวนมีคุณธรรมและเมตตา เขาเป็นฝ่ายก้มหัวให้แล้ว นางก็ควรจะทำให้เป็นเรื่องเล็ก พาลูกกลับบ้านไปก็จบแล้ว เรื่องนี้ก็ควรปล่อยให้มันผ่านไป
ทว่าจี้จือฮวนกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “ดูแข็งแรงดี แต่กลับสู้เด็กคนหนึ่งไม่ได้ ในกองทัพทหารเกราะเหล็ก หากทหารใหม่ทุกคนเป็นเหมือนเจ้า เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับสมัครแล้วจริง ๆ”
ฉู่จิ้นใบหน้าพลันแดงก่ำ สตรีผู้นี้ช่างปากคอเราะรายยิ่งนัก เขาไม่รู้สึกเลื่อมใสเลยแม้แต่นิดเดียว
“ฮูหยินพูดเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้ท่านแม่ทัพขายหน้าหรือขอรับ เป็นภรรยาเช่นนี้…มิน่าเล่าถึงสอนลูกให้ออกมาเช่นนี้” เขาพึมพำออกมาหนึ่งประโยค
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าฮะ!” ทหารเก่าของกองทัพทหารเกราะเหล็กต่างก็ทนฟังไม่ไหวอีกแล้ว จี้จือฮวนเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นนายหญิงของพวกเขาอีกด้วย เจ้าโง่นี่จะรู้อะไรกัน
เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะตีกัน เผยยวนจึงตะคอกขึ้นมาด้วยความโมโห “หยุด!”
สายตาคมกริบของเขาปรายไปทางฉู่จิ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรกับเขา ทว่ากลับพูดกับทหารเกราะเหล็กที่ยืนอยู่ในที่นี้ “พวกเจ้าอยู่กันครบพอดี ฮูหยินมีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า”
ทุกคนประหลาดใจ ก่อนจะเห็นจี้จือฮวนที่ปลอบโยนอาอินเรียบร้อยแล้ว เดินไปที่ข้างกายของเผยยวน และพูดขึ้นมา “ข้าได้ปรึกษากับแม่ทัพของพวกเจ้าแล้ว ว่าในค่ายทหารจะมีการเพิ่มกองทหารอีกกองหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า ‘กองปืนไฟ’ มีใครยินดีจะเข้าร่วมกองปืนไฟหรือไม่?”
ทุกคนมองหน้ากัน ความสามารถของจี้จือฮวนบรรดาทหารเก่าต่างรู้ดี แต่ให้พวกเขาเปลี่ยนกองทหาร เช่นนั้นก็มีความเสี่ยงไม่น้อย
โดยตอนนี้กองทหารในกองทัพทหารเกราะเหล็กได้แบ่งออกเป็น พลโล่ยาว พลโล่หวาย พลหอกไม้ไผ่หลายปลาย และพลหอกยาว แน่นอนว่าพวกทหารม้านั้นได้รับการดูแลดีที่สุด พวกเขามีม้าศึก ใครก็อยากเข้าร่วมกองทหารม้า แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็มีกองปืนไฟเพิ่มขึ้นมา แม้แต่ปืนไฟคืออะไรพวกเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ใครจะกล้าเปลี่ยนกองกะทันหันกันเล่า
จั๋วฉวินจึงเอ่ยถามขึ้นมา “ฮูหยิน ปืนไฟคืออะไรหรือขอรับ ปืนยาวที่มีไฟหรือขอรับ?”
มีคนพึมพำออกมา “เช่นนั้นก็เหมือนกับที่นักแสดงข้างถนนใช้ไม่ใช่หรือ?”
“ชู่ อย่าส่งเสียงดัง”
จี้จือฮวนรู้ว่าการที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ต้องไม่มีใครยอมรับอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงวาดพิมพ์เขียวตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนและมอบให้เจิ้งต้าเฉียงทำออกมาส่วนหนึ่ง และอีกส่วนก็ได้มอบหมายให้กับช่างตีเหล็ก
ตัวนางเองก็ได้นำด้วยส่วนหนึ่ง และเมื่อครู่ก็ได้ให้ทหารชั้นผู้น้อยไปแจ้งเจิ้งต้าเฉียงให้มาที่นี่แล้ว
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาพอดี เจิ้งต้าเฉียงถือกล่องไม้เดินมาอย่างรีบร้อน “น้องหญิง มาแล้ว”
คนของหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่ได้สนใจฐานะเนี่ยเจิ้งอ๋องอะไรทั้งนั้น พวกเขารู้แค่ว่าจี้จือฮวนเป็นลูกสาวหมู่บ้านตระกูลเฉินของพวกเขา เผยจื่อก็เป็นลูกเขยของหมู่บ้านตระกูลเฉินเช่นกัน
จี้จือฮวนรับกล่องไม้มา จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะข้างสนามฝึกแล้ววางชิ้นส่วนทั้งหมดลงบนโต๊ะ “นี่ก็คือปืนไฟ”
มีคนเข้ามาดู “นี่ไม่ใช่ของเล่นที่เด็กเล่นอย่างนั้นหรือ?”
“นี่นับว่าเป็นปืนประเภทใดกัน?”
จี้จือฮวนไม่พูดอะไร แต่สบตากับเผยยวน ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มประกอบทันที แต่ละชิ้นส่วนที่อยู่ในมือของนางดูเหมือนได้รับการฝึกฝนมาหลายพันครั้งก็มิปาน เพียงพริบตาปืนกระบอกหนึ่งก็ประกอบเสร็จแล้ว
นี่เป็นผลมาจากการฝึกฝนในเมื่อก่อน ตั้งแต่การเริ่มพิมพ์ภาพสามมิติเพื่อทำปืนพกกระบอกหนึ่ง จนออกมาเป็นปืนจริง ๆ ในภายหลัง สำหรับความชำนาญเรื่องอาวุธปืนนั้น จี้จือฮวนต่อให้หลับตาก็สามารถคิดแบบจำลองและขั้นตอนการประกอบได้แล้ว
“เอาเป้ามา”
มีคนแบกเป้ายิงธนูเข้ามา จี้จือฮวนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นมา “หุ่นฟางยังไกลไม่พอ ขยับออกไปอีกหน่อย แล้วก็หาหม้อเหล็กมาแขวนไว้บนหุ่นฟางด้วย”
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ “ฮูหยิน เจ้าสิ่งนี้ร้ายกาจกว่าธนูและหน้าไม้อีกหรือขอรับ สามารถยิงทะลุหม้อเหล็กได้ด้วยหรือขอรับ?”
ฉู่จิ้นคิดว่าเผยยวนถูกสตรีกล่อมจนหูหนวกตาบอดไปแล้วจริง ๆ เจ้าสิ่งนี้จะร้ายกาจไปกว่าธนูและหน้าไม้ได้อย่างไรกัน เขาหัวเราะเยาะอย่างดูแคลน รอดูจี้จือฮวนขายหน้า
ในขณะที่พูดก็มีคนยกหม้อเหล็กใบใหญ่ออกมา ใช้เชือกเส้นหนามัดติดบนหุ่นฟางสองสามรอบแล้วจึงได้ถอยออกไป เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาถอยออกไป จี้จือฮวนก็เหนี่ยวไกปืนทันที ทุกคนได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้อง จากนั้นตรงกลางหม้อเหล็กก็เกิดเป็นรูขึ้นหนึ่งรู
ทั้งสนามเงียบกริบ
แต่ในใจกลับสั่นสะท้าน ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้! รวมถึงรองแม่ทัพที่คัดค้านอยู่ในใจเรื่องที่เผยยวนให้จี้จือฮวนออกมาพูดเรื่องเหล่านั้นด้วย พวกเขาต่างก็ตะลึงงันอยู่กับที่!
หากเมื่อครู่ปืนไฟกระบอกนี้ยิงมาที่ร่างของพวกเขา เกรงว่าแม้แต่โอกาสหลบก็คงจะไม่มี ต้องถูกยิงจนทะลุอย่างแน่นอน!
.
.