บทที่ 420 ติดต่อกับโจร
จวนเหอตงไท่หยวน
เซี่ยเซวียนเสียบดอกไม้ลงบนผมให้กับหญิงสาวตรงหน้า สายตาอ่อนโยนและจดจ่อ “ซุ่ยซุ่ย ต่อไปวันนี้ของทุกปี ข้าจะอยู่กับเจ้า”
สือซุ่ยซุ่ยใบหน้าแดงเรื่อ ในแววตากลับมีแต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเซี่ยเซวียน ดวงตาคู่นั้นช่างดูลึกซึ้งยิ่งนัก “เซี่ยเซวียน”
เซี่ยเซวียนก้มหน้าลงมาจูบนาง สือซุ่ยซุ่ยหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ทว่าหากนางลืมตาขึ้นในตอนนี้ ก็จะเห็นว่าในสายตาของเซี่ยเซวียนนั้นหาได้มีความเสน่หานางแม้แต่น้อยไม่ มีเพียงความเย็นชาและความรังเกียจแฝงอยู่เท่านั้น
หน้าตาของสือซุ่ยซุ่ยอย่าว่าแต่ธรรมดาเลย เรียกได้ว่าเหมือนกับสือฟางไม่มีผิด หน้าบาน จมูกแบน ผิวก็หยาบกร้านเป็นอย่างมาก เพราะแต่ก่อนนางต้องติดตามสือฟางไปดำนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกิริยามารยาท แม้แต่ตัวหนังสือสักตัวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งเซี่ยเซวียนต้องฝืนทนต่อความขยะแขยง เวลาที่ต้องพูดคุยกับนาง เขารู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาจริง ๆ
เขาเป็นถึงองค์ชาย มีสาวงามข้างกายนับไม่ถ้วน ประกอบกับท่านแม่เกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง แม้แต่หญิงรับใช้ที่ซักเสื้อผ้าให้เขาก็ยังงดงามกว่าสือซุ่ยซุ่ยผู้นี้เสียอีก
หากไม่ใช่เพราะต้องการกองกำลังทหารในมือของสือฟาง เขาไหนเลยจะสามารถทนได้ เมื่อคิดถึงว่าภรรยาเอกของตนเป็นคนเช่นนี้ เซี่ยเซวียนก็แทบอยากจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
ทว่าต่อให้จะทนไม่ได้แต่เซี่ยเซวียนก็ต้องทน ไม่เพียงต้องแต่งงานกับนาง แต่วังหลังยังต้องมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น รองานใหญ่สำเร็จเมื่อใด จึงจะสามารถกำจัดสองพ่อลูกที่น่าขยะแขยงคู่นี้ในคราเดียวได้
เซี่ยเซวียนยังหนุ่ม ย่อมมีเวลาเหลือเฟือ
รอจนกระทั่งทำให้สือซุ่ยซุ่ยยอมกลับไปได้แล้ว เมื่อกลับเข้ามาในห้อง หานเหล่ยก็มารอเขาอยู่แล้ว
หลังจากเซี่ยเซวียนบ้วนปากเสร็จแล้ว จึงเอ่ยด้วยความรังเกียจขึ้นมา “สือซุ่ยซุ่ยนั่นไม่มีน้องสาวแล้วอย่างนั้นหรือ?”
อายุนางมากกว่าเขาถึงสามปี เดิมเซี่ยเซวียนนั้นชื่นชอบสตรีที่อ่อนเยาว์และงดงาม
หานเหล่ยกล่าวอย่างเอือมระอา “สถานการณ์ตอนนี้มีเพียงแผนการนี้เท่านั้น เหตุใดฝ่าบาทต้องรีบร้อนด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
อีกอย่าง พอปิดไฟแล้วก็ล้วนเหมือน ๆ กัน เพียงเท่านี้เซี่ยเซวียนยังไม่สามารถทนได้ จะทำการใหญ่ได้อย่างไรกัน แต่งภรรยาต้องเลือกคนที่มีคุณธรรม สำหรับเรื่องนี้หานเหล่ยไม่ได้มีข้อกำหนดอะไร หากตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นเช่นในตอนนี้ ไหนเลยจะมีอัครมหาเสนาบดีเช่นเขาผู้นี้ในเวลาต่อมา
คำว่า ‘ฝ่าบาท’ จากหานเหล่ย ทำให้เซี่ยเซวียนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ความโมโหที่อยู่ในใจจึงคลายลง
“ท่านมาดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
หานเหล่ยลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นมา “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ติดต่อกับโจรตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกแล้ว แค่รอพวกเขาหาเวลาที่เหมาะสมและยกทัพมาหลอกล่อเผยยวนกับกองทัพทหารเกราะเหล็กไปทางเจียงหนานได้แล้ว พวกเราค่อยใช้ข้ออ้างกำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้และส่งทหารไป ถึงตอนนั้นเผยยวนก็คงไม่สามารถแยกร่างได้อีก กว่าเขาจะคิดได้และย้อนกลับมาก็ไม่ทันกาลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยฉือยังเป็นเพียงแค่หวงไท่ซุนจึงไม่มีอะไรต้องกลัว ไท่ซ่างหวงเองก็ชรามากแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน ตอนนี้ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่น ทั้งยังมีกองกำลังที่เกรียงไกร ต่อให้จะทำไม่สำเร็จ แต่ก็สามารถขยายอาณาเขตออกไปได้
เซี่ยเซวียนเองก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องแลกในครั้งนี้ นั่นก็คือ การยกดินแดนเจียงหนานของต้าจิ้น สถานที่ที่ร่ำรวยที่สุดให้โจรพวกนั้น เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
“เจียงหนานเต็มไปด้วยสาวงาม และมีเงินทองมากมาย แต่กลับต้องยกให้พวกคนเถื่อนเหล่านั้น”
หานเหล่ยจึงพูดเกลี้ยกล่อม “แต่สิ่งที่ฝ่าบาทควรให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือ จะทำเช่นไรถึงจะกลายเป็นฮ่องเต้ที่แท้จริงได้ ส่วนเรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องเล็ก เราต้องมองการณ์ไกล แค่ราษฎรเจียงหนานเหล่านั้นจะเอามานับได้อย่างไรกัน สามารถช่วยฝ่าบาททำการใหญ่ให้สำเร็จได้ก็นับว่าเป็นบุญของพวกเขาแล้ว”
เซี่ยเซวียนทอดถอนใจออกมา “ที่อัครมหาเสนาบดีหานพูดมาก็มีเหตุผล มิน่าเล่า เสด็จพ่อถึงได้ให้ความสำคัญกับท่าน น่าเสียดาย หากเขาเชื่อฟังท่านตั้งแต่เล็ก ก็คงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้ ตอนนั้นท่านสามารถช่วยเสด็จพ่อจนขึ้นครองราชย์ได้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความเก่งกาจของอัครมหาเสนาบดีหานได้แล้ว ดังนั้นท่านอย่าทำให้ข้าผิดหวังเป็นอันขาดล่ะ”
“ฝ่าบาททรงวางพระทัย ในเมื่อกระหม่อมเลือกกษัตริย์ที่ทรงปรีชาแล้ว กระหม่อมก็จะช่วยอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเซวียนหัวเราะเสียงเย็น “ยังดีที่ท่านยอมทิ้งความมืดและเข้าหาแสงสว่าง แต่เจ้าโง่เซี่ยหยางกลับยอมรับผิดด้วยตัวเอง ข้าว่าหลังจากที่เขาถูกคนตัดเส้นเอ็นที่แขนขาจนขาดแล้ว ส่วนที่เสียหายไปด้วยเกรงว่าคงจะเป็นสมองกระมัง”
หานเหล่ยสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “สำหรับเรื่องนี้กระหม่อมเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน”
หานเหล่ยคิดว่าตัวเองไม่เคยคำนวณผิดพลาด แต่ครึ่งปีมานี้เขากลับไม่พบเบาะแสใด ๆ ส่วนเรื่องที่เซี่ยหยางเป็นฝ่ายละทิ้งการชิงบัลลังก์เสียเอง ก็ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ
ในเมื่อเซี่ยหยางไม่สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้อีก หานเหล่ยจึงไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก ตอนนี้เขาเพียงต้องการให้เจียงหนานถูกยึดโดยเร็ว ต้าจิ้นตกอยู่ในความทุกข์ยาก แผนการของเขาจึงจะสามารถดำเนินการต่อได้
…
ค่ายทหารชานเมือง
ตอนที่จี้จือฮวนพาลูกสองคนมาส่งอาหาร ก็เห็นเหล่าทหารเก่านำกลุ่มทหารใหม่ขี่ม้ามาพอดี ทหารม้าที่เพิ่งคัดเลือกมาจะปรับตัวเข้ากับหลังม้าได้หรือไม่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ใช่ว่าพอออกรบ ขี่ไปไม่ถึงสองรอบก็อาเจียนออกมาเสียแล้ว
ในสนามฝึก ทหารหลายกองกำลังวิ่งโดยแบกน้ำหนักเอาไว้ นี่เป็นวิธีฝึกที่ได้มาจากหมู่บ้านตระกูลเฉิน ตอนนี้พวกเขายังคงสืบทอดวิธีการฝึกเช่นนี้เอาไว้ และรู้สึกว่าน่าสนใจกว่าการต่อสู้ภาคสนามทุก ๆ เจ็ดวันเสียด้วยซ้ำ
กองหนึ่ง กองสอง กองสาม กองสี่ และกองห้า ด้านหลังสุดเป็นทหารราบและทหารม้า ทุกคนเดินอย่างพร้อมเพรียงกัน แสงแดดส่องลงมากระทบร่าง แม้จะเป็นฤดูหนาวทว่าทุกคนกลับร้อนและสวมเพียงเสื้อคลุมบาง ๆ เท่านั้น
เผยยวนเลื่อนยศให้รองแม่ทัพหลายคน ทหารเก่าที่ได้รับข่าวก็กลับมาจากที่ต่าง ๆ เพื่อมารายงานตัว ไม่ได้เจอกันนาน เมื่อทุกคนได้พบกันอีกครั้งย่อมมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา
แผนที่เมืองทั้งแปดในหลงซีที่เจียงจือหวยมอบให้นั้นสมบูรณ์มาก รวมถึงเมืองชั้นใน ชั้นนอก ทางเดินของป้อมปราการต่าง ๆ เส้นทางหุบเขาที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อเผยยวนนำแผนที่นี้ออกมา รองแม่ทัพเหล่านั้นต่างก็นิ่งงันด้วยความตกตะลึง
เพราะเมืองทั้งแปดในหลงซี หลายปีมานี้ราชสำนักได้ส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปจำนวนมาก แต่ในบันทึกกลับมีรายละเอียดน้อยกว่านี้ยิ่งนัก
คนที่ดูแลเสบียงกำลังกินข้าวกันอยู่ เมื่อเห็นจี้จือฮวนมาก็รีบทักทายอย่างพร้อมเพรียงกัน “คารวะฮูหยิน”
จี้จือฮวนยิ้มให้พวกเขา แล้วจึงให้ทหารชั้นผู้น้อยเข้าไปรายงาน ส่วนตัวเองก็รออยู่ด้านข้าง
ทหารใหม่ที่รับสมัครมาในครั้งนี้ มีคนหน้าใหม่เข้ามาไม่น้อย แต่คนที่ได้อยู่ต่อกลับมีไม่มาก เพราะกองทัพทหารเกราะเหล็กมีกฎระเบียบทางทหารที่เข้มงวด หากคิดจะมาที่นี่เพื่อให้มีข้าวกินไปวัน ๆ ก็ต้องทนรับความลำบากของที่นี่ให้ได้
จี้จือฮวนยังพบว่ามีลูกหลานของตระกูลใหญ่ไม่น้อยที่มาร่วมกองทัพด้วย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลที่เริ่มตกต่ำ พวกเขาต่างมาต่อสู้เพื่ออนาคตสักครั้ง แม้จะเรียนหนังสือไม่เอาไหน แต่ยังสามารถสร้างผลงานทางทหารได้ ทว่าสนามรบนั้นอันตรายอย่างมาก จะมีสักกี่คนที่จะสามารถรอดชีวิตกลับมา
ฉู่จิ้นพิจารณาจี้จือฮวน ก่อนจะเอ่ยกับคนข้าง ๆ “นั่นคือฮูหยินของเนี่ยเจิ้งอ๋องอย่างนั้นหรือ ที่ทหารเก่าชมว่าเป็นฮูหยินที่มีฝีมือเก่งกาจ”
คนที่อยู่ข้าง ๆ เขามองนางเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยชม “ใช่ นางนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ตอนไปอาละวาดที่จวนจี้กั๋วกง ข้าก็เคยได้ยินคนพูดกันว่านางมีหน้าตางดงามอย่างมาก วันนี้เมื่อได้มาเห็นกับตา ช่างสมกับคำร่ำลือจริง ๆ”
ฉู่จิ้นเอ่ยอย่างดูแคลน “ก็แค่สตรีผู้หนึ่ง ท่าทางอ้อนแอ้น จะมีความสามารถอันใดกัน”
“ชู่ พวกเจ้าพูดกันเบา ๆ หน่อย ชายาเนี่ยเจิ้งอ๋องยังจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์อีก ไม่ว่านางจะมีความสามารถหรือไม่ แต่การเป็นที่โปรดปรานนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นอย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”
ฉู่จิ้นวางตะเกียบลง “เป็นสตรีแต่ยังกล้าเข้ามาในค่ายทหาร ใช้ได้ที่ใดกัน”
“เจ้าคงไม่เคยออกรบกระมัง ทุกครั้งครอบครัวทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กต่างร่วมทัพด้วย ก่อนหน้านี้ตอนไปซีเป่ยพวกนางก็ตามไปด้วย แต่พักอาศัยอยู่ในเมือง เมื่อถึงวันหยุดของทุกเดือนก็จะสามารถพบหน้ากันได้หนึ่งครั้ง”
ฉู่จิ้นขมวดคิ้ว “ข้ามาเพื่อสร้างผลงาน ข้าไม่สนใจว่าครอบครัวทหารของพวกเขาจะติดตามกองทัพเช่นไร เพราะสตรีนั้นเกะกะเป็นที่สุด”
“จะว่าไปแล้วข้าได้ยินมาว่าราชสำนักมีแผนการจะรับสมัครทหารหญิงด้วย”
.
.
.
————————————————