บทที่ 418 ชีวิตที่ต้องการ
ดีอะไรกัน? อาฉือคิดในใจ ใครบ้างที่ดูไม่ออกว่าเจ้ามีแผนการอะไร
คิดได้ดังนั้นหวงไท่ซุนก็รีบเอาตัวน้องสาวออกมาจากอ้อมแขนของผู้ชายตรงหน้าด้วยนิสัยของเด็กที่อยากเอาชนะ อุ้มเองจึงจะสบายใจกว่า
เซียวเซวียนจิ่นรู้สึกเอือมระอา จะเข้มงวดเกินไปแล้ว!
“เจ้าล่ะ ไม่สอบหรือ?”
การเรียนของเซียวเซวียนจิ่นเป็นอย่างไร ความจริงแล้วเผยจี้ฉือรู้ดีที่สุด อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นพูดแน่นอน ที่บอกว่าเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ แม้แต่ตัวอักษรก็เขียนได้ไม่ครบ เพราะแค่ดูจากวิธีที่เขาเดินหมาก หากเห็นเขาเป็นแค่คุณชายเสเพลจริง นั่นต่างหากที่เรียกว่าการประมาทศัตรู
การสอบเอินเคอจะจัดขึ้นหลังจากปีใหม่ และมีเวลาให้บัณฑิตจากที่ต่าง ๆ มาเข้าร่วมการสอบได้ทัน
หากเซียวเซวียนจิ่นอยู่เมืองหลวงต่อ เขาก็มีเวลาเพียงพอ
จากอายุของเขา เขาควรลงสนามสอบตั้งนานแล้ว แต่อ๋องเจิ้นเป่ยกลับไม่ยอมให้เขาลงสนามสอบ บอกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงคมดาบ ทว่าหากเขาลงสนามสอบด้วยอายุเท่านี้ก็ถือเป็นการทดสอบความสามารถพอดี เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองมีความสามารถมากน้อยเพียงใด
“ข้าเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”
อาอินเดินตามหลังของพวกเขาสองคนอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะอาศัยตอนที่อาฉือไม่ได้สนใจ วิ่งไปอยู่ข้าง ๆ เซียวเซวียนจิ่น พลางดึงแขนเสื้อของเขา “เจ้าเรียนเก่งหรือไม่ พี่ใหญ่ข้าเรียนเก่งมากเลยนะ หากเจ้าแพ้ให้เขาจะทำอย่างไรเล่า?”
เซียวเซวียนจิ่นเลิกคิ้วขึ้น แสร้งหยอกนาง “อืม นั่นสิ หากว่าพี่ชายแพ้ เจ้าจะรังเกียจพี่ชายหรือไม่?”
อาอิน “…”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าควรตอบเขาเช่นไรดี
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น องค์ชายสิบก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นพวกอาอินก็รีบคุกเข่าลงทันที “หลานชาย ข้าขอร้องเจ้าล่ะ อย่าให้ข้าเรียนหนังสือเลยนะ”
อาฉือมองดูท่านอาที่แก่กว่าตัวเองไม่กี่ปี ก่อนจะคลึงหว่างคิ้วไปมา “นี่มันเรื่องอะไรกันอีกล่ะเนี่ย”
เซี่ยห่วงทำหน้ามุ่ย “ข้านับว่าเป็นคนที่อยู่ในระดับอาวุโส ส่วนเจ้าก็ได้เป็นหวงไท่ซุนแล้ว และข้าก็ใกล้จะได้เป็นท่านอ๋อง เจ้าเห็นท่านอ๋องคนใดกลับบ้านไปแล้วยังต้องท่องหนังสืออีกอย่างนั้นหรือ พูดออกไปน่าอายจะตาย”
อาอินกลอกตามองบน “ท่านอ๋องที่แม้แต่หนังสือยังท่องไม่ได้ต่างหากที่น่าอาย หากเจ้าไม่ตั้งใจท่องหนังสือข้าจะไปบอกท่านทวด ให้เขาตัดเงินรายเดือนของเจ้าซะ ต่อไปเจ้าก็ไปเป็นเด็กล้างจานที่เค่ออวิ๋นไหลเถอะ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะกลายเป็นท่านอ๋องคนแรกที่กินข้าวแล้วยังต้องล้างจานเพื่อหาเงิน”
เซี่ยห่วง “…”
เจ้าช่างสมกับที่เป็นพี่ใหญ่ข้าจริง ๆ!
เซียวเซวียนจิ่นรู้สึกขบขัน “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าล่ะ?”
เผยจี้ฉือเอ่ย “พวกเขาไปค่ายทหารบริเวณชานเมืองตั้งแต่เช้าแล้ว ไปมอบของขวัญให้กับเหล่าทหารที่นั่น”
เทศกาลฤดูหนาวถือเป็นวันสำคัญ แม้แต่ราชสำนักยังอนุญาตให้ราษฎรดื่มสุราและเล่นการพนันอย่างเปิดเผย คืนนี้ประตูเมืองเปิดกว้าง ไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนมีธรรมเนียมมอบของขวัญให้แก่กัน
บัดนี้กองทัพหารเกราะเหล็กได้กลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพราชสำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบกับช่วงปลายปีจะมีการรับสมัครทหารใหม่ และต้องจัดระเบียบทหารที่สี่ขุนศึกใหญ่ทิ้งเอาไว้ทั้งหมดให้เป็นระเบียบ เผยยวนจึงยุ่งมาก วิ่งไปมาระหว่างกรมกลาโหมกับค่ายทหาร ออกเช้ากลับดึกทุกวัน
ส่วนจี้จือฮวนก็กำลังยุ่งอยู่กับกิจการที่ทำร่วมกับฮวาเซียงเซียง พวกเด็ก ๆ จึงได้เจอท่านพ่อกับท่านแม่เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น
เซียวเซวียนจิ่นพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อของข้าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่”
เผยจี้ฉือเวลานี้กลับคิดถึงมิตรภาพระหว่างพี่น้องขึ้นมา จึงตบบ่าเขาเบา ๆ “เจ้าปลอดภัยดี ก็ถือเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับพ่อเจ้าแล้ว”
พวกเด็ก ๆ มีเผยจี้ฉือและเซียวเซวียนจิ่นคอยดูแล จึงไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะวิ่งเถลไถลไปที่ใดอีก จนกระทั่งหัวค่ำ ในที่สุดจี้จือฮวนกับเผยยวนก็กลับมา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิเศษ เผยยวนจึงอนุญาตให้บรรดาสมาชิกในครอบครัวทหารไปร่วมงานเทศกาลเป็นกรณีพิเศษ เพราะต้าจิ้นมีประเพณีกินเกี๊ยวร้อยรสชาติในวันนี้ จี้จือฮวนและบรรดาสมาชิกในครอบครัวของทหารจึงทำเกี๊ยวสีสันต่าง ๆ ร่วมกัน เมื่อคิดถึงพวกเด็ก ๆ ที่บ้าน จึงได้ใช้น้ำของผักปวยเล้ง มะเขือเทศ ข้าวโพด และผักอื่น ๆ มาทำเกี๊ยวเล็ก ๆ หลากสีสัน กลับมาถึงก็สามารถลงหม้อได้เลย
“ท่านน้าฮวนฮวนกลับมาแล้ว!”
เสียงนุ่มนิ่มเสียงหนึ่งดังขึ้น พวกเด็ก ๆ ต่างก็วิ่งกรูเข้ามาหานางโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงเจื้อยแจ้วอวดนางว่าวันนี้พวกเขาทำอะไรกันบ้าง ในสายตาของเด็ก ๆ ทุกอย่างล้วนแปลกใหม่ พวกเขาจึงแบ่งปันเรื่องแปลกใหม่ทั้งหมดที่ตัวเองทำในวันนี้อย่างกระตือรือร้น
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นสำหรับผู้ใหญ่แล้ว จะไม่ได้กระตุ้นความสนใจใด ๆ ของพวกเขาเลย
เผยยวนอุ้มหนึ่งในพวกเขาขึ้นมาคนหนึ่ง แล้วจูงอีกคนหนึ่งเดินไปข้างหน้า ขายาว ๆ ก้าวไป บรรดาเจ้าตัวเล็กทางด้านหลังก็ใช้ขาสั้น ๆ วิ่งตาม
“ติดตามท่านอาเผย ก็สามารถเป็นแม่ทัพได้แล้ว! พวกเราล้วนเป็นองครักษ์ลับตัวน้อย!”
“ใช่! ต่อไปข้าก็จะเก่งเหมือนพี่เสี่ยวเตา”
“เช่นนั้นข้าก็จะเป็นเหมือนท่านน้าฮวนฮวน สิ่งใดนางล้วนทำได้หมด”
มีเด็กคนหนึ่งพูดไม่ได้ เขามองดูจี้จือฮวนพลางอ้าปากขึ้น ก่อนจะส่งเชือกถักที่ทำวันนี้ให้นางอย่างเขินอาย และจ้องมองจี้จือฮวนด้วยดวงตาที่สดใส พยายามทำให้จี้จือฮวนเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อ
จี้จือฮวนย่อตัวลง แล้วยื่นข้อมือออกไป “เนี่ยนเนี่ยนผูกให้น้าได้หรือไม่ น้าผูกไม่เป็น”
เด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ใบหน้าแดงเรื่อ เผยรอยยิ้มฟันหลอออกมา ก่อนจะช่วยผูกให้จี้จือฮวนอย่างเงอะงะ
“ว้าว เนี่ยนเนี่ยนเก่งจัง น้าชอบมากเลย!”
ครานี้สาวน้อยดีใจเป็นอย่างมาก นางบิดตัวไปมาราวกับควบคุมไม่อยู่
จี้จือฮวนจูงมือนาง ก่อนจะสบตาและยิ้มให้กับเผยยวนที่ยืนรอนางอยู่ตรงนั้น
นางไปที่ห้องครัวเพื่อทำเกี๊ยว หิมะด้านนอกเริ่มตกหนักอีกครั้ง แต่มีดอกไม้ไฟถูกจุดที่ด้านนอก เสียงที่สนุกสนานของผู้คนจึงไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
มาเมืองหลวงนานเพียงนี้ ทว่ากลับมีเพียงช่วงเวลานี้ที่นางสบายใจที่สุด
ไม่มีแผนการร้ายที่น่ารำคาญใจ และไม่มีคนที่น่ารังเกียจคอยเดินไปเดินมาให้เห็น
มีเพียงญาติพี่น้อง คนรัก และเพื่อนฝูงของพวกนาง ชีวิตเช่นนี้นางชอบมากจริง ๆ
เวลานี้เมี้ยวเมี้ยวไม่ใช่ลูกเสือตัวน้อยอีกต่อไปแล้ว ทว่ามันยังชอบออดอ้อน เมื่อเห็นจี้จือฮวนอยู่ที่หน้าเตา มันจึงหาตำแหน่งที่กว้างหน่อย พลางส่งเสียงร้องออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงหงายหน้าท้องสีขาวราวกับหิมะขึ้นมา และงอขาทั้งสี่ข้าง รอให้จี้จือฮวนมาเกาพุง
“วันนี้ข้าไม่เกาให้เจ้าแล้ว ขนร่วงทั้งปี แต่อย่าให้ร่วงลงไปในหม้อล่ะ รีบออกไปกินกระดูกของเจ้าได้แล้ว”
เมี้ยวเมี้ยวลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ แล้วเดินออกไปถูไถนายน้อยของมันแทน
“กินเกี๊ยวได้แล้ว!”
ทันทีที่นางตะโกน ทุกคนก็เข้ามาช่วยยกชามไปที่ห้องโถงหลัก ไม่สนใจเรื่องกฎเกณฑ์ใด ๆ มองดูเกี๊ยวนั่นก่อนจะกินน้ำแกงไปหนึ่งคำ จี้จือฮวนปรุงรสน้ำแกงเข้มข้น อร่อยจนคนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง
หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาของอาหารมื้อหลัก ทุกคนในครอบครัวจึงเลือกหม้อไฟที่ง่ายที่สุด!
กินไปครึ่งท้องค่อยออกไปดูงานโคมไฟ
…
ตลาดตอนกลางคืนงดงามและคึกคักที่สุด ต่อให้หิมะจะตกก็ไม่มีผลต่อแสงไฟที่ส่องสว่างของเมืองหลวง
เพียงแต่ลำบากทหารลาดตระเวนเหล่านั้นแล้ว
เซียวเซวียนจิ่นมองดูของที่อาอินชอบกิน และแอบจดจำเอาไว้ในใจ ไม่รอนางขยับตะเกียบก็ช่วยแกะกุ้งให้นางทันที
เผยจี้ฉือจ้องหน้าเขา และช่วยแกะกุ้งอย่างเงียบ ๆ ให้อาอินกับท่านแม่อยู่เช่นกัน
“กินของข้า ของข้าตัวใหญ่กว่า”
เซียวเซวียนจิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ข้าแกะสะอาดกว่า”
อาอินมองดูกุ้งตัวใหญ่สองตัวที่อยู่ในชาม นางอายุยังน้อยทว่าก็ได้เรียนรู้เรื่องความยากของการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมแล้ว
นางอ้าปากขึ้นกินกุ้งพร้อมกันทีเดียวสองตัว จึงทำให้พี่ชายทั้งสองคนพอใจ
“ท่านพ่อ พวกเราก็ทำโคมไฟด้วยสิขอรับ” อาชิงชูมือขึ้น “คืนนี้ข้าก็จะสามารถเอาโคมไฟของข้าออกไปเล่นได้ด้วยใช่หรือไม่ขอรับ!”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบโคมไฟรูปงูหลามสีดำตัวหนึ่ง และโคมไฟตะขาบสีสันสดใสอีกตัวออกมา เท้าแต่ละข้างล้วนมีความสมมาตรกัน เพราะข้างที่ไม่สมมาตรอาจารย์เยว่พั่วหลัวได้บังคับให้เขาวาดใหม่ด้วยความหงุดหงิด
องค์หญิงใหญ่หาวออกมาหนึ่งที “คืนนี้ข้าไม่ไปด้วยนะ ข้านัดพวกท่านป้าว่าจะเล่นไพ่นกกระจอกกัน เล่นกันจนฟ้าสางไปเลย”
แน่นอนว่าไท่ซ่างหวงเองก็หนีไม่พ้น “พวกเจ้าหนุ่มสาวออกไปเที่ยวเล่นกันเถอะ คนแก่อย่างพวกเราสองคนจะอยู่เฝ้าบ้านให้เอง”
.
.