บทที่ 415 การตัดสินใจของอาฉือ
เซี่ยซั่วพึงพอใจเป็นอย่างมาก โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของเขา ล้วนถูกคนจับตามองอยู่
เมื่อเซี่ยซั่วเดินไปถึงประตูตำหนักด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม ก็พบว่าผู้ตรวจการและองครักษ์อวี่หลินได้มารอเขาอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
เซี่ยซั่วชะงักไปเล็กน้อย ในใจตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และแอบคิดว่าตนเองตกหลุมพรางคนอื่นเสียแล้ว!
พวกเขารอที่จะจับเขาให้ได้คาหนังคาเขาอยู่ที่นี่! อีกทั้งไพ่ใบสุดท้ายของฮ่องเต้เซี่ยเจิน เขาก็ยังเป็นคนส่งให้ด้วยตัวเอง
ใช้การเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เพียงสองวันทำลายความหวาดระแวงของเขา โดยไม่ต้องใช้ทหารแม้แต่คนเดียว และปล่อยให้เขากระโดดลงไปในกับดักด้วยตัวเอง
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่อาศัยเรื่องที่เขาพูดกับฮ่องเต้เซี่ยเจินเมื่อครู่ ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแล้ว
เขาจนตรอกแล้ว เซี่ยซั่วจ้องฝ่ายตรวจการจางเคอเขม็ง
“ผู้ตรวจการจาง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
จางเคอมองเซี่ยซั่วด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “องค์ชายห้า คนเที่ยงธรรมไม่พูดจาอ้อมค้อม ยอมมอบตัวดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ในท้องพระโรงคนที่สมควรจัดการต่างก็ถูกจัดการหมดแล้ว และเซี่ยซั่วก็ถือเป็นคนสุดท้ายแล้ว
เซี่ยซั่วจึงถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าไปในตำหนัก เขาดึงเทียนออกจากเชิงเทียนบนโต๊ะแล้วโยนทิ้งไปส่ง ๆ โดยไม่แม้แต่จะคิด จากนั้นก็ดึงตัวฮ่องเต้เซี่ยเจินขึ้นมาเป็นตัวประกัน และใช้ด้านแหลมคมบนเชิงเทียนจี้คอเขาเอาไว้
เมื่อจางเคอพาคนเข้ามาก็เห็นเซี่ยซั่วใช้เชิงเทียนจี้คอฮ่องเต้เซี่ยเจินอยู่
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเนื่องจากทายาเอาไว้และไม่มีใครสนใจ เสื้อผ้าจึงดูไม่เรียบร้อย และมีคราบเปรอะเปื้อนตามร่างกาย กษัตริย์ของบ้านเมืองถูกคนจี้เอาไว้อย่างไร้ความสง่างามแต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พวกจางเคอนั้นรู้ดีว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินหมดอำนาจแล้ว กลายเป็นมังกรที่ตายไปครึ่งหนึ่งตั้งนานแล้ว ใครจะสนใจกัน
ดูพ่อลูกตระกูลเชื้อพระวงศ์นี่สิ เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญคนที่ได้ชื่อว่ากตัญญูที่สุดในบรรดาองค์ชายกลับจะเอาเชิงเทียนฆ่าฮ่องเต้ที่เป็นเสด็จพ่อของตัวเองเสียแล้ว
ฮ่องเต้เซี่ยเจินวางยาไท่ซ่างหวง เซี่ยซั่วจะฆ่าฮ่องเต้เซี่ยเจิน ความโหดเหี้ยมและการเนรคุณเช่นนี้ ช่างสืบทอดกันมาจริง ๆ
“อย่าเข้ามา! หากเข้ามาอีกข้าจะฆ่าเขาซะ” เซี่ยซั่วรัดคอฮ่องเต้เซี่ยเจินเอาไว้แน่น
จางเคอปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก “องค์ชายห้า ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง* การเอาฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นตัวประกันเช่นนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
* ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง (苦海无涯回头是岸) หมายถึง กลับตัวกลับใจเสียดีกว่า
ทว่าเซี่ยซั่วกลับไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หากตกไปอยู่ในมือของพวกเขา เกรงว่าแม้แต่โอกาสจะต่อสู้ก็คงไม่มีด้วยซ้ำ
ทว่าเมื่อเซี่ยซั่วลากฮ่องเต้เซี่ยเจินออกไปด้านนอก คิดว่าเมื่อออกไปได้แล้วค่อยต่อรองกับจางเคอ จู่ ๆ ทางด้านหลังก็มีคนยิงลูกธนูลับออกมา ก่อนจะปักเข้าที่เส้นเอ็นทำให้ร่างกายของของเขาชาหนึบไปทั้งร่าง
อาศัยตอนที่เซี่ยซั่วนิ่งงัน ยอดฝีมือสามคนก็กระโดดลงมาจากคาน แย่งเชิงเทียนด้วยมือเปล่าและกดเซี่ยซั่วลงกับพื้น
จางเคอมองเซี่ยซั่วที่ยังคงขัดขืนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมา “พาตัวไปเถอะ อย่าให้ไท่ซ่างหวงรอจนกังวลพระทัย”
ระหว่างที่จางเคอสั่งให้คนนำตัวเซี่ยซั่วออกไปนั้น จึงได้เห็นว่าดวงตะวันที่ขึ้นทางทิศบูรพาได้โผล่ขึ้นมาแล้ว แสงของดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องลงมาบนกระเบื้องเคลือบ ปัดเป่าเมฆหมอกจนท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง
จางเคอเป็นผู้ตรวจการ หลายปีมานี้พวกเสือสิงห์กระทิงแรดเช่นไรบ้างที่เขาไม่เคยเจอ
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง บัลลังก์มังกรที่อยู่ทางด้านหลังนี้ก็ควรจะเปลี่ยนคนนั่งได้แล้ว
…
เผยจี้ฉือยกมือขึ้นไขว่คว้าในอากาศก่อนจะดึงกลับมา แสงแดดลอดผ่านช่องว่างมากระทบที่ร่างของเขา ความรู้สึกเก็บกดมากมายที่สะสมอยู่ในหัวใจมาเนิ่นนาน เหมือนจะมลายหายไปพร้อมกับรุ่งสางที่มาเยือน
เมื่อคืนนี้ราวกับว่าเขาตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ยาวนาน
เขาฝันถึงตัวเองตอนที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านตระกูลเฉิน ตอนนั้นท่านแม่ยังไม่มา ทุกคืนที่เขาฝัน เขากลัวว่าเผยยวนจะจากเขาไปอีก เขาต้องการแก้แค้น เขาอ่อนแอเกินไป และเขาทำอะไรไม่ได้เลย
อารมณ์ที่หลากหลายถูกกดทับเอาไว้ในใจของเขา เขาเจ็บปวดจนไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร บางครั้งเขาก็อยากจะตายให้มันจบ ๆ ไป แต่ก็ทิ้งอาอินกับอาชิงไปไม่ได้ หากเขาไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ก่อนที่เผยยวนจะสลบไป เขายังไม่รู้ว่าการที่ไม่มีข้าวกินนั้นรสชาติเป็นเช่นไร
การที่ต้องอดกลั้นความเจ็บปวดเฉกเช่นในความฝันทำให้เขาหวาดกลัว ต่อมาท่านพ่อที่อยู่ในความฝันก็ตายไปจริง ๆ อาอินและอาชิงก็หายตัวไปเช่นกัน
จึงเหลือเขาเพียงคนเดียว ความเหงา ความหวาดระแวง การใส่หน้ากากเข้าหากัน และทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่างไรเสียคนที่เขาต้องการปกป้องก็ไม่อยู่แล้ว เหตุใดเขาต้องดิ้นรนเช่นนี้ หากจะตายทุกคนก็ต้องตายไปกับเขาด้วย
ทุกคนเอาแต่ก่นด่าเขา ทว่ากลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน สุดท้ายขนาดตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครมาเก็บร่างของเขา หากเสด็จพ่อกับเสด็จแม่รู้ว่าสุดท้ายเขาใช้ชีวิตเช่นนี้ จะยอมรับเขาได้หรือไม่?
หลังตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาก็ไปนั่งอยู่ที่ธรณีประตู คิดว่านี่เป็นเพียงความฝัน ทว่าก็เหมือนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงด้วย
“นอนไม่หลับหรือ?”
เผยจี้ฉือเงยหน้าขึ้นมอง จี้จือฮวนยืนอยู่ตรงนั้นมองเขาอยู่เงียบ ๆ
เผยจี้ฉือวิ่งเข้าไปกอดนางเอาไว้แน่นโดยไม่รอช้า เสียงที่สะอึกสะอื้นแฝงด้วยความอัดอั้นตันใจดังออกมา “ข้าฝันถึงเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของข้าขอรับ เสด็จพ่อบอกว่าไม่มีลูกชายเช่นข้า เพราะข้าทำเรื่องที่ผิด ข้าฆ่าล้างเมือง เขาจึงไม่ต้องการข้าอีก”
จี้จือฮวนชะงักไป นั่นเป็นเนื้อเรื่องในนิยาย คิดไม่ถึงว่าเขาจะฝันถึงมัน
จี้จือฮวนกอดเขาเอาไว้ พลางปลอบประโลมเขา “เด็กโง่ นั่นเป็นเพียงความฝัน เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของเจ้ารักเจ้าเพียงนั้น เขาจะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไรกัน?”
เผยจี้ฉือไม่ยอมเผชิญหน้ากับนาง “เสด็จพ่อเคยบอกว่าเป็นคนควรซื่อสัตย์และมีจิตใจที่ดี แต่ข้าในความฝันกลับใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ข้าไม่เชื่อฟังเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว ข้าเป็นคนไม่ดี ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้ามีความคิดอยากจะฆ่าคนอยู่หลายครั้งจริง ๆ ขอรับ”
ในแววตาของจี้จือฮวนไม่มีการตำหนิใด ๆ มีเพียงความสงสารอยู่เต็มเปี่ยม นางนั่งอยู่ที่ธรณีประตูกับเขา และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่อาฉือที่แม่เห็นเป็นเด็กที่เที่ยงธรรม กล้าหาญ ไม่เคยก้มหัวให้กับความชั่ว ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใดก็ล้วนพยายามหาทางแก้ไขอย่างเต็มที่ ทั้งแข็งแกร่งและกล้าหาญ ในใจของแม่ เจ้าเป็นเด็กดีที่สุดเสมอ
แม่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีลูก และจินตนาการไม่ออกว่าหากตัวเองมีลูกจะเป็นเช่นไร แม่เคยชินกับการอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ รู้สึกว่าการที่ไม่มีใครผูกมัดเป็นความสุขแบบหนึ่ง แต่สวรรค์นำแม่มาอยู่ข้างกายพวกเจ้า ไม่เพียงสอนให้แม่มีความรับผิดชอบและรู้จักเสียสละเท่านั้น แต่แม่ยังได้เรียนรู้การมีที่พึ่งพิง ถูกรัก และเอาใจใส่ด้วย
แม่หวังว่าเจ้าจะไม่ดูถูกตัวเอง เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนแตกต่างกัน มีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืดเสมอ ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือการอาศัยศีลธรรมสะกดเอาไว้ เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีก็จงพยายามหลีกเลี่ยงมัน ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นนัก จงหวงแหนปัจจุบัน หวงแหนกันและกัน เพราะมันมีค่ามากกว่าการจะเอาไปกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก”
เผยจี้ฉือนอนหนุนตักของนาง ฟังนางพูดประโยคเหล่านี้ น้ำตาทำให้การมองเห็นของเขาพร่าเลือน เขาจึงฝืนเช็ดมันออกไป ใบหน้าเล็กที่ดูเย็นชาเผยสีหน้าสับสนออกมา “ท่านทวดบอกว่าวันนี้เขาจะรอคำตอบของข้า เขาอยากให้ข้าขึ้นครองราชย์ ท่านแม่ ท่านคิดเช่นไรขอรับ?”
จี้จือฮวนมองดูเขา “เจ้าจะขึ้นครองราชย์หรือไม่ เจ้าก็เป็นลูกของแม่อยู่ดี แม่จะไม่บังคับให้เจ้าต้องรับภาระที่หนักหนาเช่นนั้นในตอนนี้ แต่แม่หวังว่าเจ้าจะเลือกในสิ่งที่หัวใจของเจ้าต้องการ แม่กับพ่อจะคอยสนับสนุนเจ้าเสมอ”
เผยจี้ฉือมองหน้านางแล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “ก่อนที่ข้าจะไปหลูโจว ข้ายังรู้สึกสับสนมาก ข้าไม่รู้ว่าการที่ข้าเรียนวิถีแห่งกษัตริย์แล้วจะสามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่ การที่ข้าเป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ยจะสามารถทำให้ผู้คนเชื่อถือได้ใช่หรือไม่ แต่หลังจากที่ข้าไปหลูโจว ข้าก็รู้ว่าข้าอยากเป็นฮ่องเต้ ข้าอยากเป็นฮ่องเต้ที่ดี ข้าอยากทำให้ราษฎรทั้งใต้หล้ามีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าไม่ต้องการเป็นเหมือนฮ่องเต้เซี่ยเจิน หวาดระแวงขุนนางที่มีคุณธรรม มักใหญ่ใฝ่สูง ข้ารู้ว่าการเป็นฮ่องเต้นั้นยากเพียงใด แต่ข้าก็อยากจะลองขอรับ”
จี้จือฮวนยื่นมือออกไป “ได้ แม่จะเกี่ยวก้อยกับเจ้าแทนราษฎรต้าจิ้น ดังนั้นเจ้าต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดี”
นางหันหน้าไปมองชุดองค์รัชทายาทที่แขวนอยู่บนโครงภายในห้อง “แม่จะช่วยเจ้าสวมเอง แล้วให้พ่อจูงมือเจ้าไปที่ท้องพระโรง จำเอาไว้ว่าพวกเราอยู่ข้างหลังของเจ้าเสมอ”
.
.
.