บทที่ 395 กลับหมู่บ้านแล้ว
ตอนที่พวกจี้จือฮวนกลับมาถึงหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต่างก็ยังไม่ได้สติ รอจนกระทั่งเห็นพวกนางลงมาจากรถม้าจึงได้เข้ามารุมล้อมกัน
จี้จือฮวนนำของขวัญจากเมืองหลวงมาให้พวกเขาด้วย และสั่งให้คนรีบนำลงมาแบ่งให้ทุกคน หลังจากทักทายกันอย่างคึกคักแล้ว ก็เป็นฝ่ายพาถูลี่เดินสำรวจรอบ ๆ หมู่บ้าน
ถูลี่เองก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเผยยวน จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่จี้จือฮวนเพียงคนเดียวสามารถทำให้หมู่บ้านตระกูลเฉินพัฒนามาจนถึงระดับนี้ได้
อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนั้น เรียกได้ว่าเข้าสู่ทางตัน แต่นางกับเผยยวนสองคน กลับสามารถบีบให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่มีทางไป ถูลี่ยิ่งมองดูน้องสาวคนใหม่ก็ยิ่งรู้สึกว่านางไม่ธรรมดาจริง ๆ
และเมื่อพิจารณาหมู่บ้านตระกูลเฉินอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าเป็นแค่หมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น แต่กลับดูประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ของที่มักจะมีอยู่ทั่วไปในคฤหาสน์ในเมืองหลวง ความจริงแล้วน้อยมากที่ชาวบ้านทั่วไปจะมีได้ แต่พวกเขากลับนำของเหล่านี้มาจัดเป็นทิวทัศน์หนึ่งของหมู่บ้านตระกูลเฉิน
ตัวอย่างเช่น สิงโตหินหน้าประตูที่สวมเสื้อลายดอกขนาดใหญ่ ดูแล้วบ้านนอกสิ้นดี แต่ก็รู้สึกได้ว่าผู้คนในหมู่บ้านนี้กำลังใช้ชีวิตอย่างตั้งใจ
นี่คือสิ่งที่ถูลี่ไม่สามารถพบเจอได้ในเมืองหลวง
ในหมู่บ้านตระกูลเฉิน เจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความมีน้ำใจ รวมถึงความสุขที่ล้นออกมาจากหัวใจเกลื่อนอยู่บนใบหน้า
เขาสงสัยอย่างมากว่าจี้จือฮวนใช้วิธีการใดกันแน่ จึงทำให้พวกเขารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้แต่เผ่าบนทุ่งหญ้าก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่พวกเขาจะรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันถึงเพียงนี้
หลังจากที่องค์หญิงใหญ่กลับมาก็รู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก นางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ “เฮ้อ หมู่บ้านตระกูลเฉินของเราดีที่สุดจริง ๆ”
องค์ชายสิบร้องตะโกนว่าจะได้กลับหมู่บ้านมาตลอดทาง อยู่กับไท่ซ่างหวงก็สามารถกลับมาเรียนที่โรงเรียนอนุบาลได้ ส่วนพวกเสด็จแม่ เขาจะเขียนจดหมายให้นางแทน อย่างไรเสียในใจของเสด็จแม่ก็มีเพียงพี่ห้าอยู่แล้ว
“ข้ากลับมาแล้ว!” เจ้าอ้วนน้อยวิ่งไปที่กระดานลื่นอย่างมีความสุข ทั้งยังเรียกพวกอาอินไปด้วยกันอีกด้วย “พี่อาอินมาด้วยกันสิ”
อาอินสงสัย “เจ้าบอกว่าจะพาพวกพี่น้องของเจ้ามาด้วยไม่ใช่หรือ เหตุใดพวกเขาถึงไม่มาด้วยเล่า?”
องค์ชายสิบจะรู้ได้อย่างไร เพราะสหายร่วมศึกษาที่เขาเลือกครั้งนี้บอกว่าจะตามเขามาที่หมู่บ้านตระกูลเฉินด้วย ทว่าสุดท้ายแม้แต่ญาติผู้พี่ก็ไม่ยอมมา ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมา แต่เป็นพ่อแม่ของเขาที่ไม่ยอมให้มาต่างหาก ในเมื่อไม่อยากให้ลูกไปหมู่บ้านชนบทเช่นนั้นก็ไม่ต้องมา
อย่างไรเสีย เขาคิดว่าเขาจะให้พี่อาอินเป็นสหายร่วมศึกษาก็คงเหมือนกัน
ต่อไปก็เป็นท่านอ๋องเสเพลเหมือนอย่างเสด็จอากว่างผิง ดีจะตายไป
ในใจจี้จือฮวนตอนนี้กำลังคิดถึงเรือนหลังเล็กของตัวเอง เมื่อพาถูลี่เดินวนได้รอบหนึ่งแล้วจึงรีบกลับไปดูที่บ้าน และพบว่าบ้านได้รับการดูแลจากพวกชาวบ้านเป็นอย่างดี
“ฮวนฮวน เจ้าวางใจเถอะ เรามาทำความสะอาดให้วันเว้นวัน เจ้าดูไก่ เป็ด ห่านในบ้านสิ เรียกว่าอ้วนพีก็ว่าได้”
ก็ใช่น่ะสิ ห่านที่ใดจะอ้วนเพียงนี้กัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมี้ยวเมี้ยวกลับตัวใหญ่กว่าฮวาฮวาหลายเท่า สภาพเสือน้อยน่ารักแบบเดิมได้หายไปหมดแล้ว แต่การเคลื่อนไหวก็ยังค่อนข้างเหมือนสุนัขอยู่
มันจ้องจี้จือฮวนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเข้ามาดม เมื่อจำเจ้านายได้จากนั้นมันจึงกระโจนเข้าหานางด้วยความดีใจ
อุ้งเท้าเสือใหญ่เพียงนั้นเมื่อตะปบลงมา น้ำหนักของมันไม่เบาเลย จี้จือฮวนลูบขนของมันหนึ่งที จึงได้เรียกพวกถูลี่ให้นั่งลง ทุกคนต่างก็ยุ่งกับการเก็บสัมภาระต่าง ๆ
จี้จือฮวนให้ถูลี่พักที่ห้องของเผยยวนและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ให้ ถูลี่ไม่เคยอาศัยในบ้านชาวบ้านธรรมดาของต้าจิ้นมาก่อน แต่เมื่อเห็นว่าเรือนของจี้จือฮวนสร้างอย่างสวยงามและกว้างขวาง จึงบอกด้วยว่าเมื่อกลับถู่เจียไปแล้วจะให้คนทำแบบนี้สักหลัง
จี้จือฮวนได้ยินเสียงเอะอะเล็กน้อยที่ใต้ชายคา จึงเปิดหน้าต่างและชะโงกหน้าออกไป ก็พบหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อที่ไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่กำลังเล่นหูเล่นตากับนกเหยี่ยวล่าเหยื่อบนบ่าของนักรบถู่เจีย
ชิ เกรงว่ามันจะให้กำเนิดลูกหมูบินได้อีกรังเป็นแน่
พวกนางกลับมาคราวนี้ยังนำข่าวเรื่องการแต่งงานของพวกเขามาบอกชาวบ้านด้วย และบอกว่าจะต้องตกแต่งหมู่บ้านตระกูลเฉิน ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ตกตะลึง สามารถแต่งงานสองครั้งได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
มีคนได้สติขึ้นมา “เอ่อ ครั้งก่อนจะเรียกว่างานแต่งได้อย่างไรกัน ผู้ชายว่างงานในหมู่บ้านเราแต่งภรรยายังไม่ดูน่าสมเพชเพียงนั้นเลย ตอนนี้เผยยวนเป็นหย่งกวานโหวแล้ว ก็ต้องจัดงานแต่งที่สมเกียรติให้ฮวนฮวนสิ”
“พูดถูกแล้ว ฮวนฮวนของเราจะแต่งงานกับเขาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ข้ากำลังว่างอยู่พอดี รีบตกแต่งกันดีกว่า โอ๊ย ผ้าแดงในหมู่บ้านไม่พอ”
“โคมไฟสีแดงที่จวนจี้กั๋วกงใช้ตอนปีใหม่ก็นำมาใช้ได้”
“ข้าจะตัดกระดาษประดับหน้าต่างเอง”
ทุกคนต่างก็เริ่มทำงานกันแล้ว เจ้าสาวอย่างจี้จือฮวนกลับถูกสั่งให้ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น เมื่อไม่มีอะไรทำนางจึงไปนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ
แม้แต่พวกเด็ก ๆ ก็วิ่งไปวิ่งมาช่วยงานไม่หยุด แต่นางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งอยู่ดี จึงทำได้เพียงเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงมุมที่เงียบสงบจึงพบว่ามาถึงที่ที่คนของจวนจี้กั๋วกงพักกันอยู่พอดี
เดิมนางคิดที่จะหันหลังกลับและจากไป แต่เห็นหญิงสาวหลายคนนั่งอยู่ด้วยกัน ทำงานไปคุยกันไปพลาง
“ยาทาแผลสำหรับโดนความเย็นกัดนี่ใช้ดีมากจริง ๆ สองวันก่อนตอนหิมะตกมือคันอย่างกับอะไรดี บวมอย่างกับหัวไชเท้า มีสิ่งนี้แล้วรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยเลย”
“ได้ยินว่าจี้จือฮวนกลับมาแล้ว จะจัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางการกับแม่ทัพเผยด้วย”
“ถือว่านางมีบุญที่ได้แต่งกับเผยยวน”
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียนางก็เป็นคนในครอบครัวของเรา เจ้าไม่คิดว่าครอบครัวเราคลอดนางมาได้ดีอย่างนั้นหรือ! ที่เผยยวนมีวันนี้ได้ก็เพราะนางไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าช่างพูดออกตัวแทนนางจริง ๆ อย่าลืมสิว่าเหตุใดพวกเราถึงมีวันนี้ได้!” สตรีผู้นั้นเอ่ยจบก็ถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ ตอนนี้พวกเรานับว่ากลับใจได้และได้รับผลกรรมที่สาสมแล้ว ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ”
ตั้งแต่เริ่มบ่นมาจนตอนนี้สามารถได้ค่าจ้าง ได้กินข้าวร้อน ๆ ทุกวัน พวกเขาก็พอใจมากแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าราชสำนักจะจัดการกับพวกเขาเช่นไร เกรงว่าแม้แต่ชีวิตเช่นในตอนนี้ก็คงไม่มีกระมัง
“ข้าจะไปดูท่านพ่อก่อนว่าอาการไอดีขึ้นหรือไม่” มีคนลุกขึ้นยืน เมื่อหันหน้าไปก็เห็นจี้จือฮวนเข้าพอดี จึงตกใจจนสีหน้าซีดเผือด “จี้…พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเจ้า! พวกเราผิดไปแล้ว!”
จี้จือฮวนไม่ได้พูดอะไร พลางมองไปยังคนที่กำลังทายารักษาแผลที่ถูกความเย็นกัด จี้จือฮวนจำได้ว่านางเป็นคุณหนูสามของครอบครัวรอง ปกติแล้วรักสวยรักงามที่สุด
“ข้าไม่ได้ขโมยมานะ พวกท่านป้าเห็นข้าซักผ้าจนมือบวม เห็นข้าน่าสงสารก็เลยให้มา”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ข้าบอกแล้วในหมู่บ้านนี้ พวกเจ้าไม่ได้เป็นคุณชายคุณหนูเหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่ของที่พวกเจ้าใช้แรงแลกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือของเหล่านี้ ข้าจะไม่ยุ่ง แต่ก็ไม่อภัยให้เช่นกัน” จี้จือฮวนเอ่ยเสียงเรียบออกมา
บรรดาหญิงสาวต่างก็มองหน้ากัน ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้นวันที่เจ้าแต่งงาน พวกเราขอไปดูได้หรือไม่?”
“พวกเราไม่ได้มีความคิดอื่น เรื่องที่รังแกเจ้าตอนนั้นพวกเราก็ไม่มีหน้าจะขอให้เจ้าให้อภัย อยู่ในหมู่บ้านตอนนี้พวกเราก็มีชีวิตที่ดีมากแล้ว แต่เจ้าจะแต่งงาน อย่างไรเสียก็ต้องมีพี่สาวน้องสาวมาส่งออกเรือน พวกเราเพียงแค่อยากไปเห็นเท่านั้น หากเจ้าไม่พอใจก็ถือว่าพวกเราไม่ได้พูดก็ได้”
“อยากไปก็ไปเถอะ” จี้จือฮวนไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีทางเห็นพวกนางเป็นพี่น้อง
“จริงหรือ?” พวกนางก็คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะพูดเช่นนี้
“หากไม่สบาย สามารถไปขอยาจากคนในหมู่บ้านได้ ข้าได้จัดไว้ให้พวกเขาแล้ว ขอเพียงพวกเจ้าอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมก็พอ จริงสิ ข้ามีข่าวหนึ่งจะมาบอกพวกเจ้าพอดี ตอนนี้จี้หมิงซูตายแล้ว”
.
.
.