บทที่ 392 ความกลัวของเซี่ยหยาง
เซี่ยหยางตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด เขาเหมือนกับหลุดเข้าไปในความฝันที่ยาวนานขณะที่เขาสลบอยู่ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาความเจ็บปวดที่ช่องท้องส่วนล่างก็คอยย้ำเตือนเขาถึงความทรมานอันแสนยาวนานและไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับเขา
เขาคิดว่าตัวเองยังอยู่ที่ตำหนักองค์ชายรอง จึงเรียกหาเย่จิ่งฝูทันที
“ท่าน…ท่านหมอเย่”
น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไร ก็มีเพียงความว่างเปล่าและเสียงลมเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่ตอบเขากลับมา
เขาแน่ใจว่าตัวเองลืมตาแล้ว ที่นี่ทั้งเย็นและเงียบ ไม่มีทางที่จะเป็นห้องของเขาอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่มันมืดจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วของตัวเอง เขาจึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่นี่คือที่ใด
ในฐานะบุรุษ สิ่งที่เขาหวงแหนมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นกล่องดวงใจของเขา การที่เจ็บเพียงนี้ย่อมสามารถจินตนาการถึงความกังวลในใจของเขาได้
จากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองถูกห่อไว้ด้วยพรมผืนหนึ่งเท่านั้น เขาจึงสามารถสัมผัสส่วนล่างของตัวเองได้อย่างง่ายดาย จากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขาสัมผัสโดนผ้าที่ปิดอยู่บนนั้นและมีกลิ่นยาจาง ๆ
ใครกินดีหมีหัวใจเสือเข้าไป ถึงได้กล้ามาแตะต้องเขาเช่นนี้?!
เซี่ยหยางไม่อยากจะเชื่อ ยิ่งไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ เขาร้องตะโกนเสียงดังโวยวายทันที “เด็ก ๆ!”
ความตื่นตระหนกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโอบล้อมเขาเอาไว้ เซี่ยหยางใกล้จะพังทลายลงเต็มทีแล้ว
เขาอยากจะออกไปจากที่นี่ แต่กลับพบว่าเท้าของเขาไม่สามารถขยับได้ เขาโมโหอย่างมากจึงคว้าฟางมาระบาย
ฟาง ที่นี่มีฟางได้อย่างไรกัน?
เขาถูกคนพาออกมาจากตำหนักอย่างนั้นหรือ?
ใครมีความสามารถเช่นนี้กัน? หรือว่ายอดฝีมือที่เขาซื้อตัวมาเหล่านั้นล้วนเป็นพวกไม่ได้เรื่อง?!
ในตอนที่เซี่ยหยางคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ทันใดนั้นประตูอุโมงค์ใต้ดินก็ถูกเปิดออก มีร่างร่างหนึ่งหันหลังให้แสงอยู่ เซี่ยหยางจึงยื่นมือออกไปบังแสงเอาไว้ จากนั้นก็หรี่ตาและมองไปทางประตู
“จี้ จือ ฮวน!” เซี่ยหยางหัวใจกระตุกขึ้นมา เมื่อมองเห็นคนที่มาได้ชัดเจนขึ้น
ทันทีที่จี้จือฮวนกลับมาจากเรือนรับรองซื่อฟาง ก็ได้ยินคนเฝ้าอุโมงค์ใต้ดินบอกว่าคนข้างในตื่นแล้ว ดังนั้นนางจึงได้มาดู
“ลำบากเจ้าแล้ว ที่นี่ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” จี้จือฮวนรับที่จุดไฟมา และจุดตะเกียงบนผนังด้วยตัวเอง แม้ว่าแสงสลัว ๆ จะไม่สามารถทำให้เซี่ยหยางมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ชัดเจนนัก แต่สตรีที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้จักนางดีกว่าใคร และตอนนี้เขาเคียดแค้นเพียงใดที่ไม่สามารถฆ่านางด้วยมือของตัวเองได้
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้นเล่า หรือว่าแค่ไม่เจอกันไม่นานองค์ชายก็ลืมข้าไปเสียแล้ว?” จี้จือฮวนนำที่จุดไฟไปวางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดมา
สภาพแวดล้อมของอุโมงค์ใต้ดินนี้ ถือว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นี้โชคดีมากแล้ว
เพราะเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่กลุ่มกองเรือซื้อมา แม้แต่ผนังอุโมงค์ใต้ดินก็ถูกปูด้วยอิฐ ไม่มีเศษขยะ ใบไม้เน่า หรือหนูเลย
เซี่ยหยางจ้องหน้านาง “เจ้าจับตัวข้ามาอย่างนั้นหรือ? บาดแผลตามร่างกายข้าเจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”บราวนี่ออนไลน์
จี้จือฮวนก้มหน้าลงและยิ้มบาง ๆ ดูอ่อนโยนและงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ แต่สิ่งที่พูดออกมากลับทำให้เซี่ยหยางแทบจะกระโจนเข้าไปสู้ตายกับนาง
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นองครักษ์ในตำหนักของเจ้าเหล่านั้นที่นำเจ้ามาส่งที่หย่งอันถัง ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรนะ ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย* ในเมื่อเจ้าห่อตัวเองมาส่งให้ข้าถึงที่ ข้ามีเหตุผลอะไรที่จะไม่ลงมือกันเล่า”
* ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย (踏破铁鞋无觅处得来全不费工夫) หมายถึง พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหา เลิกสนใจ กลับได้มาง่าย ๆ
เซี่ยหยางดวงตาแดงก่ำ “เป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะเอาข้ามาส่งให้เจ้าด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน!”
“อ่อ ก็เพราะเจ้าไม่มีทางรอดแล้วน่ะสิ เย่จิ่งฝูก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงมาหาข้าที่หย่งอันถัง ข้าเห็นว่ากล่องดวงใจเจ้าเลือดคั่งและไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ก็เลยช่วยตัดส่วนสำคัญของเจ้าทิ้งซะ นับตั้งแต่นี้ไปองค์ชายรองก็จะต้องอยู่ตัวคนเดียว ไร้ทายาทสืบสกุล และไม่ต้องรำคาญคนรู้ใจผู้นี้หรือยอดสาวงามผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว เจ้าว่าข้าช่วยเจ้าลำบากครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดชาติใช่หรือไม่ ขจัดความรำคาญใจให้เจ้าอย่างไรเล่า”
เซี่ยหยางกำมือทั้งสองข้างจนแน่น ดวงตาปูดโปน และพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า…เจ้านางหญิงสารเลว ใจดำอำมหิต!”
“พูดถึงการเป็นคนเลว คงไม่มีใครเข้าใจความสุขในการทำชั่วดีเท่าเจ้ากับจี้หมิงซูแล้วกระมัง” จี้จือฮวนเข้าไปใกล้เขา จากนั้นก็เตะเขาจนกระเด็น มองดูเขาดิ้นพราด ๆ อยู่บนพื้น น้ำเสียงก็เย็นชาลง
“เจ้าคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องที่เจ้าแอบส่งคนไปเกลี้ยกล่อมเซี่ยฉงฟางให้วางยาเผยยวนอย่างนั้นหรือ เจ้ากับจี้หมิงซูได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว วางยาพิษสามีข้า ทำร้ายอาฉือของข้า จนกระทั่งพวกเขาระเหเร่ร่อนไปอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว ก็ยังส่งคนไปเย้ยหยันพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จี้หมิงซูสมควรตาย เจ้าเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน”
เซี่ยหยางสะดุ้งไปทั้งตัว “เจ้ารู้ได้อย่างไร จี้หมิงซูเป็นคนบอกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“นางน่ะหรือ นางไม่ว่างมาบอกเรื่องพวกนี้กับข้าหรอก วันที่นางตายตัวข้ายืนอยู่ที่ใดนางยังมองเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติที่ทุกย่างก้าวที่ตัวเองเดินล้วนถูกคนพบเข้าก่อน น่าโมโหใช่หรือไม่?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าไม่มีทางเป็นจี้จือฮวน”
หากจี้จือฮวนเป็นคนเจ้าแผนการและร้ายกาจเช่นนาง จะถูกจวนจี้กั๋วกงโยนทิ้งราวกับรองเท้าเก่า ๆ คู่หนึ่งได้อย่างไร?
“เจ้าก็คิดซะว่าจี้จือฮวนมาทวงหนี้ก็แล้วกัน นี่ล้วนเป็นบาปที่เจ้ากับจี้หมิงซูก่อเอาไว้”
เซี่ยหยางหายใจเข้าลึก ๆ ทำให้ความเจ็บปวดในใจสงบลงอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีอะไรจึงสามารถลักฟ้าขโมยตะวัน**ได้ แต่คนที่อยู่ข้างกายข้าไม่ใช่คนโง่ หากพวกเขารู้ว่าข้าหายตัวไป หย่งอันถังของเจ้าก็ยากที่จะเลี่ยงความผิดไปได้ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะสาวมาถึงตัวเจ้า”
** ลักฟ้าขโมยตะวัน (偷天换日) หมายถึง กลอุบายในการนำของปลอมมาแทนที่ของจริง
“เรื่องนี้ไม่รบกวนเจ้าให้เป็นกังวลหรอก สิ่งที่เจ้าควรคิดในตอนนี้ไม่ใช่เซี่ยหยางที่เป็นองค์ชายรองจะทำเช่นไรเพื่อจะได้เข้าไปนั่งในตำหนักบูรพา ภายหน้าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์หรือไม่ เพราะสิ่งที่เจ้าควรกังวลก็คือ คืนนี้จะยังมีข้าวกินหรือไม่ ข้าจะมาทรมานเจ้าอีกเมื่อใด เซี่ยหยาง บทลงโทษของเจ้าเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น จี้หมิงซูโชคดีตกลงมาหัวถึงพื้นก็ตายทันที แต่น่าเสียดายที่เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว”
ประกายความตื่นตกใจพาดผ่านดวงตาของเซี่ยหยาง “เจ้ามันบ้าไปแล้ว เจ้ามันเป็นคนบ้าจริง ๆ เจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก!”
ต่อให้จะต้องตายเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีจุดจบเช่นนี้
ต่อให้ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ เขาก็ไม่ควรถูกสตรีผู้หนึ่งจับขังในที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้
เขาเป็นองค์ชาย เขาเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์นะ!
“เฮอะ เจ้าเก็บแรงเอาไว้จะดีกว่า และไม่ต้องคาดหวังว่าหานเหล่ยจะสังเกตเห็นว่าเจ้าเปลี่ยนไป แล้วจะมาช่วยเจ้า”
เซี่ยหยางชะงักไป “เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงได้รู้เยอะเพียงนี้กัน”
จี้จือฮวนควงมีดทหารในมือเล่น “กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง*** หากเซี่ยเจินปกป้องหานเหล่ยไม่ได้ คิดว่าเขายังจะถวายชีวิตให้เซี่ยเจินอีกอย่างนั้นหรือ สิ่งที่หานเหล่ยต้องการไม่ใช่ความไว้วางใจของเซี่ยเจิน ตั้งแต่ที่เซี่ยเจินมีรับสั่งเนรเทศหานเหล่ย จวนอัครมหาเสนาบดีก็มีคนของข้าไปคอยดักซุ่มอยู่ตั้งนานแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในการควบคุม เจ้าเดาสิว่าตอนนี้หานเหล่ยยังอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?”
*** กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง (狡兔三窟) หมายถึง คนเจ้าเล่ห์มีที่หลบซ่อนตัวมากมาย
เซี่ยหยางไม่กล้าที่จะฟังต่ออีก หานเหล่ยเป็นความหวังสุดท้ายของเขา หากหานเหล่ยไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้วจะไปที่ใดได้?
“เจ้า…เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
“หานเหล่ยหายตัวไปจากจวนอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่เมื่อคืนนี้ มีทางลับอยู่ในห้องของเขา ตอนนี้ข้าเองก็กำลังตามหาร่องรอยของเขาอยู่ แต่ข้าเดาว่าหากเขาไม่ไปเข้าร่วมกับเซี่ยเซวียน ก็คงยอมทิ้งเมืองหลวงไปแล้ว นับแต่นี้ไปคงปกปิดชื่อเสียง แต่ข้ากับเจ้าต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนที่ชอบใช้อำนาจควบคุมคนอื่น จะเต็มใจเป็นอาชญากรที่ต้องถูกตามล่าตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน!”
เซี่ยหยางหายใจติดขัด หานเหล่ยเป็นความหวังสุดท้ายของเขา เขาไม่สามารถคาดหวังว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขาได้ มีเพียงหานเหล่ยเท่านั้นที่ทำได้! แต่เขากลับหนีไปแล้ว!
ความหวังสุดท้ายของเซี่ยหยางไม่มีอีกแล้ว ในที่สุดความหวาดกลัวสุดขีดก็เริ่มครอบงำเขา
เขาจะรู้สึกเจ็บปวดและอยู่อย่างไร้ซึ่งความหวังทุกคืนวัน ชายที่หยิ่งทะนงคนหนึ่งได้แตกสลายลง นับว่าเป้าหมายของจี้จือฮวนได้สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
.
.
.
———————-