บทที่ 375 ครอบครัวเราไม่มีกฎให้คุกเข่า
เซี่ยหยางดึงแขนเสื้อเล็กน้อย ดวงตาที่มองเซี่ยซั่วเข้มขึ้น ก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้นมา “ขอบใจน้องห้าที่เป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
เซี่ยซั่วเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “ดวงของพี่รองบางครั้งก็ไม่เลวจริง ๆ”
หานกุ้ยเฟยตายอย่างไรพวกเขาต่างก็รู้ดี แต่เสด็จพ่อก็ยังไม่ทอดทิ้งเซี่ยหยาง หากเป็นเขา ลูกเช่นนี้แค่มองก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว
เขาพูดจาเสียดสี ทว่าเซี่ยหยางจะใส่ใจเพียงเพราะคำพูดระคายหูเช่นนี้ไปทำไมกัน
สถานการณ์ยังไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เซี่ยเซวียนทำตัวเองหลุดไปเอง เซี่ยซั่วยังสู้เซี่ยเซวียนไม่ได้ด้วยซ้ำ เซี่ยหยางจึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“น้องห้าจะพูดถึงเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี”
เซี่ยซั่วหัวเราะเยาะเบา ๆ เขาไม่ชอบเซี่ยหยางที่เป็นเช่นนี้ ฐานะต่ำต้อยแต่กลับได้อำนาจจากตระกูลหาน ทั้งยังกดเขามาหลายปี บัดนี้เมื่อเห็นเขาตกต่ำ ความโกรธแค้นที่ติดอยู่ในลำคอ หากไม่พูดออกมาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร
“เฮ้อ ข้าเองก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับพี่รอง แต่ทุกคำล้วนมาจากส่วนลึกของหัวใจ ตอนนั้นจี้หมิงซูกับพี่รองเคยเปรียบเสมือนกิ่งทองใบหยก ทุกคนต่างก็คิดว่าต่อไปนางจะได้เป็นพระชายาของท่าน แม้แต่พวกเราพี่น้องยังแอบชมว่าพี่รองมีวาสนาเรื่องหญิงงามไม่น้อย แต่ใครจะคิดว่านางจะกลายเป็นคนที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้พี่รองพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย เดิมข้ายังเป็นห่วงพี่รองอยู่ แต่ดูจากสถานการณ์ของท่านแล้ว คิดว่าจี้หมิงซูผู้นั้นท่านก็คงลืมไปแล้วกระมัง”
สายตาของเซี่ยหยางไม่ได้มองไปที่เขา เพียงเอ่ยขึ้นช้า ๆ “น้องห้า บัดนี้พวกเราพูดจาประชดประชันทำให้ต่างฝ่ายต่างหงุดหงิดไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเรายิ่งทะเลาะกันหนักเพียงใด บางคนก็จะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น อย่าเป็นนกกับหอยไม่ปรองดอง แล้วถูกชาวประมงจับไปทั้งคู่*เลยจะดีกว่า”
* นกกับหอยไม่ปรองดองกัน ถูกชาวประมงจับไปทั้งคู่ (鹬蚌相争 渔翁得利) หมายความว่า สองฝ่ายต่อสู้กัน สุดท้ายเป็นบุคคลที่สามได้ผลประโยชน์ไปแทน
เซี่ยซั่วมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ก่อนจะหันไปมองเซี่ยฉือที่อยู่ข้างกายไท่ซ่างหวงโดยไม่รู้ตัว
เขาดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งจอก “พี่รองพูดถูกแล้ว แต่ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถกลับมาได้อีก”
เรื่องของอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้ ตอนนั้นทุกคนล้วนมีส่วน อาศัยการเห็นดีเห็นงามของฮ่องเต้เซี่ยเจิน สาดน้ำสกปรกถังแล้วถังเล่าเพื่อลากเซี่ยอวี้ลงมา ทำให้เขาตกต่ำเป็นฝุ่นผงและถูกเหยียบย่ำ ส่วนทายาทของเขาอายุยังน้อยใครจะสนใจกัน
ทว่าตอนนี้เจ้าเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กลับมีคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
หากกล่าวว่าในอดีตองค์หญิงใหญ่ที่สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบที่อาศัยอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉิน ได้อาศัยฐานะของไท่ซ่างหวงกดฮ่องเต้เซี่ยเจินเอาไว้
แต่เวลานี้คนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ได้กลายเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สวมชุดฮองเฮาของถู่เจีย ด้านหลังคือทหารกล้าของถู่เจีย มีชาวถู่เจียกล้าหาญและดุดัน ดังนั้นราชสำนักที่สูญเสียกองทัพทหารเกราะเหล็กไปจำต้องเกรงกลัว
ไร้เผยยวน พวกเขาก็ต้องหาวิธีหาคนที่มีความสามารถมาแทน
ไม่อย่างนั้นวันเวลาที่ทุกคนอยู่อย่างเป็นสุขก็คงจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
เซี่ยหยางยิ้มเย็น “คนที่ร้ายกาจใช่เขาที่ใดกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเรื่องแล้วเรื่องเล่าในช่วงที่ผ่านมา ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง”
การตายของจี้หมิงซู อย่างไรเสียเซี่ยหยางก็ต้องแก้แค้นให้ได้
ขณะที่ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปนั้น นอกตำหนักก็มีคนมารายงานว่าหย่งกวานโหวได้มาถึงแล้ว
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเมื่อคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับเผยยวนก็ปวดใจขึ้นมา แต่ก็ยังโบกมือให้คนเรียกเข้ามา
วันนี้เผยยวนกับจี้จือฮวนแต่งกายเหมือนสามีภรรยาทั่วไป ตอนอยู่ในหมู่บ้านแต่งกายอย่างไรก็แต่งกายอย่างนั้น ส่วนเด็กทั้งสองคนเนื่องจากเป็นวันสำคัญจึงสวมเสื้อผ้าสีสดใสเป็นพิเศษ
ทุกคนมองไปทางประตูตำหนัก
ก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ไม่ได้สวมเสื้อผ้าหรูหรา ทว่าไม่ได้ลดทอนความสง่างามลงไปแต่อย่างใด ส่วนหญิงสาวผู้นั้นทั้งงดงามและโดดเด่น ผมสีดำขลับม้วนเป็นมวย ราวกับเดินออกมาจากภาพวาด เด็กทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ราวกับตุ๊กตาในภาพวาดปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนมีความสุขตั้งแต่แรกเห็น
และทำให้คนมองอย่างนิ่งงัน
แต่พวกเขายืนอยู่ตรงนั้น ก็อยู่ตรงนั้นจริง ๆ ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนใด ๆ
มีคนไม่พอใจที่สองสามีภรรยาไร้มารยาท ก่อนจะเอ่ยเสียงดังขึ้นมา “หย่งกวานโหวออกจากราชสำนักไปนาน ลืมมารยาทของขุนนางไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เผยยวนเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างช้า ๆ “ใครเป็นคนพูดกัน?”
“เจ้า! ข้าคือมหาบัณฑิตของหอเหวินหยวน”
“อ้อ ข้าไม่รู้จัก แต่สามารถตอบเจ้าได้ ข้าอยู่ข้างนอกเชื่อฟังภรรยา ฮูหยินข้าไม่มีกฎที่ต้องคุกเข่ากราบกราน”
คำพูดของเผยยวน ทำให้ทุกคนตกตะลึง
แต่คนที่ประหลาดใจที่สุดคือเซี่ยหยาง ตั้งแต่จี้จือฮวนเข้ามาในตำหนัก มือของเขาก็สั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภาพที่พยายามลืมเลือน ภาพที่ฝันถึงกลางดึกว่ามือของนางถือมีดฟันลงมา ทันใดนั้นก็ทะลักเข้ามาในความคิด
เซี่ยซั่วสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาเป็นคนแรก “พี่รองบอกว่าอาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?”
เหตุใดถึงดูเหมือนคนเป็นลมบ้าหมูเช่นนั้นเล่า? หาได้มีความสง่างามเหมือนในอดีตที่ใดกัน?
เซี่ยหยางไม่ทันบอกให้เขาหุบปาก และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า ทว่าพริบตาต่อมาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาก็กลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลขึ้นมา
การปรากฏตัวที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน ทั้งยังมีฝีมือที่เก่งกาจและเด็ดขาดเช่นนี้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งของเมืองหลวง กลับงามล่มเมืองได้ถึงเพียงนี้!
หากว่าจี้หมิงซูยืนอยู่ข้างกายนางในเวลานี้ ต้องถูกความสง่างามของนางกลบรัศมีอย่างแน่นอน
ตอนนั้นที่มีคนบอกว่านางอัปลักษณ์ หรือจะเป็นแค่เรื่องที่คนอื่นแต่งขึ้น?!
นางคือจี้จือฮวน เมี่ยป้านั่นเป็นชื่อปลอมอย่างนั้นหรือ?
จี้จือฮวน!
ในใจของเซี่ยหยางพลันเกิดความรู้สึกหลากหลาย เขาแค้นนางแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
แต่คนอื่นกลับไม่คิดเช่นนี้
เป็นถึงแม่ทัพของกองทัพทหารเกราะเหล็ก กลับบอกว่าหากอยู่ข้างนอกเขาต้องเชื่อฟังสตรีคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
อย่าคิดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตระกูลเดิมของจี้จือฮวนคือที่ใด จวนจี้กั๋วกงมีกฎเช่นนี้ที่ใดกัน
“หย่งกวานโหว ท่านกำลังหลอกพวกเราอย่างนั้นหรือ? ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท การปฏิบัติตามที่ฝ่าบาทตรัสเป็นมารยาทที่ควรปฏิบัติ”
ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ทูตของถู่เจียก็อยู่ที่นี่ด้วย ท่านข่านทำตามแม่ของตัวเอง ส่วนไทเฮาของถู่เจียก็กลั่นแกล้งฝ่าบาทมาตลอด ต่อให้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้แต่ก็ไร้เหตุผลอยู่ดี ทว่าเผยยวนอย่างไรเสียก็ยังเป็นขุนนางของต้าจิ้น ทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินอึดอัดต่อหน้าแขกเช่นนี้ได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป กษัตริย์ไม่ใช่กษัตริย์ ขุนนางไม่ใช่ขุนนาง มิเท่ากับจะถูกคนหัวเราะเยาะไปทั่วหรอกหรือ!?
เผยยวนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง”
“ได้ ฮูหยินหย่งกวานโหว ข้ากับพ่อของเจ้าจี้กั๋วกงแม้จะไม่ถึงขั้นสนิทสนมกัน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจวนของพวกเจ้ามีกฎเช่นนี้ด้วย”
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้น และมองไปทางพวกเขา “ประการแรก ข้ากับจวนจี้กั๋วกงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันอีก ประการที่สอง กฎของจวนจี้กั๋วกงเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ประการที่สาม ข้ากราบไหว้เพียงฟ้าดิน พ่อ แม่ ส่วนคนอื่นข้าไม่คุกเข่า”
“เจ้า! เจ้ากล้าหมิ่นเบื้องสูงอย่างนั้นหรือ!”
มุมปากของจี้จือฮวนยกขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะจ้องไปที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินแล้วเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อมีคนสงสัย เช่นนั้นข้าก็อยากถามพวกท่าน มีกฎที่บอกว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพ่อแม่พวกท่าน ต้องคุกเข่าให้พวกท่านหรือไม่?”
ทุกคนถึงกับสะอึกในทันที ไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร
จี้จือฮวนได้ถามคนที่ถามนางเมื่อครู่ “ใต้เท้าท่านนี้ เหตุใดถึงไม่ตอบข้าเล่า?”
มหาบัณฑิตผู้นั้นจึงพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลออกมา “แน่นอนว่าไม่ต้อง ผู้ที่ช่วยพ่อแม่ข้า ก็เหมือนกับเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าคงจะคุกเข่าลงกราบไหว้แทบไม่ทัน จะให้ผู้มีพระคุณมาคุกเข่าให้ข้าได้อย่างไร?”
จี้จือฮวนพยักหน้าหงึก ๆ นับว่าพอใจกับคำตอบนี้ “ใช่แล้ว ที่แท้ท่านก็เป็นคนมีเหตุผลอยู่นี่นา ในเมื่อเป็นเช่นนั้นการที่ข้าไม่ได้ให้ฝ่าบาทคุกเข่าให้ข้า เหตุใดพวกท่านถึงต้องการให้ฝ่าบาททำเรื่องที่อกตัญญูเช่นนั้น ใช้ความคับแค้นทดแทนบุญคุณด้วยเล่า?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่พอใจจี้จือฮวนอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “บังอาจ!”
“ข้าได้ยินคนบอกว่า ฝ่าบาทมักจะพูดถึงเรื่องความกตัญญูอยู่บ่อย ๆ หรือว่าแม้แต่คนที่รักษาไท่ซ่างหวงก็ทรงลืมไปแล้ว?”
แน่นอนว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้! แต่เขาไม่ได้บอกคนอื่น แต่ใครจะคิดว่าเด็กคนนี้จะบังอาจถึงเพียงนี้!