หลังจากเพลิดเพลินกับเนื้ออันโอชะและดื่มด่ำกับความสุขได้ไม่กี่วัน ชีวิตของเราก็กลับมาเป็นเหมือนดั่งปกติ ตั้งแต่ความทรงจำของชาติที่แล้วกลับมา นี่ก็ผ่านมา 5 วัน……ไม่สิ 6 วันแล้ว
ไหน ๆ ก็คุ้นเคยกับชีวิตที่ความทรงจำของเซนะ ฟูกะกลับมาแล้ว ต้องคิดเรื่องอนาคตต่อจากนี้แล้วละ เป้าหมายของฉันในตอนนี้ คืออย่างน้อย ๆ ต้องออกจากสลัมให้ได้ ฉันก็เคยคิดในแง่ดีอยู่หรอกว่าถ้าความทรงจำกลับมาหลายวันเข้าก็คงชินกับชีวิตในปัจจุบันและเลิกสนใจเรื่องแย่ ๆ ไปเอง แต่ก็ทำไม่ได้
จริงอยู่ที่ฉันไม่กรีดร้องเวลามีแมลงไต่อยู่ข้าง ๆ ไม่รู้สึกอยากอ้วกเวลาได้กลิ่นน้ำเน่า และนอนห่มผ้าที่ข่วนเจ็บผิวได้แล้ว แต่นั่นมันก็เป็นแค่การที่ฉันกล้ำกลืนฝืนทน ทางเลือกที่ต้องยอมรับชีวิตในปัจจุบัน มันไม่ใช่ทางเลือกสำหรับฉันในตอนนี้ที่จำชีวิตอันแสนสะดวกสบายได้
ฉันสามารถอดทนจนกว่าจะหลุดพ้นจากชีวิตนี้ไปได้อยู่หรอก แต่นั่นเป็นเพราะฉันเชื่อว่าสักวันฉันจะหนีออกไปได้ต่างหาก ถ้าบอกให้อยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ฉันว่าฉันต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
เพราะงั้นจึงต้องคิดหาทางหนีออกจากสลัม……แต่ก่อนอื่นฉันค่อยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้มากนัก ปากก็บอกว่าอยากออกจากสลัม แต่ในเชิงรูปธรรม ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรตั้งเป้าให้เป็นแบบไหนดี
บางทีอาจจะไม่มีเรื่องแบบนั้นก็ได้ คนที่อยู่ในเมืองอาจมีชีวิตไม่ต่างจากพวกฉันที่อาศัยอยู่ในสลัมก็เป็นได้
เพราะงั้นฉันอยากได้ข้อมูลมาอยู่ในมือก่อน และจะต้องคิดหาวิธีเพื่อให้ได้มันมา
ฉันไม่รู้เลยว่าใครบ้างที่รู้ข้อมูลที่ฉันอยากรู้ ข้อมูลที่ได้มาก่อนหน้านี้จากพ่อแม่และพวกลุง ๆ ป้า ๆ ข้างบ้านก็มีแค่ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เรียกว่าสลัม และถ้าไม่มีสัญชาติก็จะเข้าเมืองไม่ได้
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสลัมที่เราอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่นอกเมืองที่ชื่อว่าอะไรและในประเทศอะไร ถ้ามีคนบอกว่าข้อมูลแบบนั้นไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมันก็ถูกแหละ……แต่ทุกคนควรจะมีความทะเยอทะยานมากกว่านี้หน่อยสิ!
ดูเหมือนว่าจะต้องผ่านประตูเมืองชั้นนอกเพื่อเข้าไปในเมือง งั้นเอาเป็นว่าลองไปที่นั่นก่อนละกัน…ช่วงบ่ายวันนี้ทุกคนจะไปเก็บของป่ากัน เดี๋ยวจะลองคุยดูว่าจะเสร็จเร็วขึ้นได้ไหม
“เรน่า เดี๋ยวจะเลิกแล้วนะ”
“ค่า”
พอแม่เรียก ฉันก็ได้จังหวะหยุดพักถอนหญ้าพอดี เมื่อลุกขึ้นก็รู้สึกปวดหลังจากการที่นั่งยองเป็นเวลานาน เลยต้องทนปวดและยืดตัวขึ้น
ทรมานกับการปวดหลังในวัย 10 ขวบ…ยากจนก็เลยต้องใช้ร่างกายทำงานหนักแบบนี้มันช่างขมขื่น
จากนั้นฉันก็กลับบ้าน กินพอร์ทย่างเป็นมื้อกลางวันและเตรียมตัวไปป่าพร้อมกับพี่ชายที่กลับมาบ้านหลังจากทำงานเสร็จเร็ว
“เรน่า วันนี้เราจะหาซอลกันนะ”
“อื้ม ฤดูนี้หาของอร่อยได้มากที่สุดแล้วนี่เนอะ ถ้ามีผลไม้ด้วยก็คงดี คิดว่าจะมีกามูไหม”
“น่าจะมีนะ ใกล้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวแล้วด้วยไม่ใช่เหรอ”
กามูคือผลไม้ขนาดเล็กสีแดงที่ขึ้นเป็นพวง มีรสฝาดเล็กน้อย แต่ก็หวานฉ่ำและอร่อยมาก มานึกดูตอนนี้ว่าอะไรที่มีรสชาติคล้ายกันก็น่าจะเป็นองุ่น
“จริงสิ วันนี้ไฮโนะกับฟิลก็จะไปด้วยนะ”
“เอ๋……”
“อย่าทำหน้าเหมือนรังเกียจแบบนั้นสิ”
หลังจากได้ยินคำตอบของฉัน พี่ก็พูดพลางยิ้มเจื่อน ๆ ก็ดีใจอยู่หรอกที่ไฮโนะจะไปด้วย แต่ฟิลน่ะน่ารำคาญ
ไม่รู้ว่าไม่ชอบฉันหรือว่าอะไร ชอบแกล้งกันอยู่เรื่อย แถมยังหุนหันพลันแล่น ดูมีอะไรอยู่ตลอดเวลา
“ค่า……”
“ทั้งสองคน ระวังตัวกันด้วยนะ”
“อื้ม ไปละนะ”
ฉันกับพี่ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังป่าโดยมีแม่ที่กำลังก้มหน้าก้มตากับการแปรรูปพืชที่ฉันกับพี่เก็บมาจากป่ามาทำเป็นเส้นด้ายคอยส่งเราอยู่ ไฮโนะกับฟิลเป็นเพื่อนบ้านฉัน เราจึงเจอกันทันทีหลังจากออกจากบ้าน
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“อ้าว เรน่า วันนี้ยังไม่ได้เจอกันเลย สวัสดี”
“สวัสดีไฮโนะ…หวัดดีฟิล”
“อืม สวัสดี จะว่าไปเรน่าเนี่ย เห็นกี่ทีก็เตี้ยตลอดเลยแฮะ ส่วนฉันช่วงนี้ก็สูงเอาสูงเอา!”
“…หืม งั้นเหรอ”
ถึงในใจฉันจะกรีดร้องว่า “คำก็เตี้ยสองคำก็เตี้ย พูดอยู่ได้ น่ารำคาญ! มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ ที่เด็กผู้หญิงจะเตี้ยกว่าเด็กผู้ชาย! ย้ำอยู่ได้ว่าตัวเองสูง เบื่อจะตายชัก!” แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันเข้าใจว่าถ้าแสดงออกไปก็จะยิ่งน่ารำคาญมากขึ้น จึงทำเป็นไม่สนใจและตอบแบบขอไปที
“จะว่าไป ตอนที่โค่นรีทได้ก่อนหน้านี้ ฉันมีส่วนช่วยเยอะอยู่นะจะบอกให้! หอกที่ฉันขว้างมันไปปักขาของรีทเชียวนะ”
“สุดยอดเลยเน้อ”
“ใช่มะ! ที่รีทเคลื่อนไหวช้าลงก็เพราะฉันนี่แหละ!”
ฟิลเล่าวีรกรรมของตัวเองตอนปราบรีทโดยไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิดว่าฉันไม่ได้สนใจ พูดแต่เรื่องของตัวเองต่อไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ตรงจุดนี้ฉันก็ไม่ชอบ
พี่กับไฮโนะมองฟิลแล้วยิ้มเจื่อน ทั้งสองคนมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าเยอะเลย ฉันเคยคิดมาตลอดว่าอยู่กับคนที่อายุมากกว่าแล้วสนุกดี แต่หลังจากที่ความทรงจำของเซนะ ฟูกะกลับมา ก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นไปอีก ถึงฟิลจะอายุสิบขวบเท่าฉัน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเด็กมาก
พี่กับไฮโนะอายุสิบสี่ ตัวก็โต คงไม่น่าจะใช่เด็กแล้วหรือเปล่านะ…แทบไม่รู้สึกแบบนั้นเลยแฮะ ต้องเป็นเพราะฉันมีความทรงจำของเซนะ ฟูกะแน่ ๆ เลยทำให้นึกภาพไม่ออกว่าคนที่อายุไม่ถึงยี่สิบจะเป็นผู้ใหญ่ตรงไหน
“ฟิล พูดเยอะเดี๋ยวก็เหนื่อยหรอก”
พี่รู้ว่าฉันลำบากใจสินะ เลยห้ามฟิลให้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งและนึกขอบคุณพี่อยู่ในใจแล้วหนีฟิลไปอยู่ข้าง ๆ พี่
“พี่ วันนี้เราเลิกเก็บของป่าเร็วขึ้นได้ไหม”
“ได้สิ มีอะไรเหรอ”
“อ่า…ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แค่อยากไปดูประตูเมืองชั้นนอกน่ะ ไม่ได้เหรอ…”
“ทำไมถึงอยากไปดูประตูเมืองชั้นนอกล่ะ เข้าไปข้างในไม่ได้สักหน่อย”
“ก็รู้ แต่ประตูเมืองมันใหญ่ดี เลยอยากเห็นเฉยๆ”
“.…..เอาเถอะ ถ้าแบบนั้นก็ได้ แต่พี่จะไปด้วย เพราะพ่อเคยบอกว่ามีคนน่ากลัวอยู่เยอะ”
ไฮโนะรีบพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่พูด
“ก็ดีนะ ฉันจะไปด้วย ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เห็นว่ามีพวกลักพาตัวเด็กอยู่แถวประตูเมืองชั้นนอกด้วยละ”
โห มีพวกคนน่ากลัวแบบนั้นอยู่ด้วยแฮะ……จริงอยู่ว่าถ้ามีคนจากสลัมหายตัวไป ก็ไม่มีใครเดือดร้อน แถมทะเบียนบ้านอะไรนั่นก็ไม่มี เลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าถูกลักพาตัว เพราะงั้นต่อให้มีเด็กหายตัวไป ก็คงได้แต่ตัดใจยอมแพ้สินะ……
พอคิดแบบนั้นแล้ว จู่ ๆ ฉันก็กลัวคนรอบข้างขึ้นมาแล้วลูบแขนตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่า ๆ ขอโทษนะที่ทำให้กลัว ไปคนเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก แล้วมีอะไรก็ให้รีบตะโกน อีกอย่าง ถ้าไม่ไปในที่ที่มีคนน้อยก็ไม่ค่อยอันตรายหรอก”
“เรน่า ฉันจะปกป้องเธอเอง!”
“งั้นเหรอ……ขอบคุณนะ”
คำพูดของไฮโนะและฟิลทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง ดีแล้วที่อย่างน้อยก็รู้ว่ามีคนน่ากลัวอยู่ จะระวังตัวให้ดีเลย
“งั้นวันนี้ทุกคนก็รีบเก็บของป่าให้เสร็จ แล้วไปดูประตูเมืองชั้นนอกกัน”
“นั่นสินะ”
“โอเค!”
“ขอบคุณนะทุกคน”
เมื่อพวกเราตกลงสิ่งที่จะทำหลังจากนี้ได้แล้ว ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังป่า เพื่อให้มีเวลาเก็บของป่ามากขึ้น