บทที่ 1177 เริ่มงาน
บทที่ 1177 เริ่มงาน
ถึงจะเป็นนักศึกษา แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้กินของดี ๆ แบบนี้หรอก
พอได้เห็นจึงรับรู้ได้ว่าไม่ธรรมดา
เริ่มคิดแล้วว่าร้านจะขาดทุนหรือเปล่าเนี่ย
ซุปถ้วยสุดท้ายเป็นเหลียงซิ่วนำมาเสิร์ฟ
พอเห็นเด็ก ๆ เธอก็เอ่ยด้วยความกระตือรือร้นว่า ขาดเหลืออะไรก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ
ทุกคนเอ่ยขอบคุณ
เหลียงซิ่วยิ้ม “พูดถึงเรื่องนี้ แม่ต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนด้วยนะ เสี่ยวเถียนยังเด็ก หลายปีมานี้ทุกคนคงดูแลเธอไว้ไม่น้อยเลย”
เพื่อน ๆ รู้สึกอายเหลือเกิน ถึงซูเสี่ยวเถียนจะเด็ก แต่เธอไม่ต้องการให้คนดูแลเลย เราต่างหากที่ได้เธอดูแล
ระหว่างนั้นเองที่ฮั่วซือเหนียนก็เดินทางมาถึง
เห็นเจ้าพวกเด็ก ๆ ที่สอนมาหลายปี เขาก็ยกยิ้ม “เจ้าพวกนี้ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ชวนอาจารย์มาเลี้ยงด้วยสักนิด!”
เด็ก ๆ รู้สึกเขินขึ้นมา เพราะพวกเราก็ไม่ได้ชวนอีกฝ่ายมาจริง ๆ
เพราะเป็นงานเลี้ยงของเราเอง ถ้าอาจารย์อยู่ด้วยก็ไม่กล้าปล่อยเนื้อปล่อยตัว
แต่อาจารย์มาแล้ว จะบอกให้กลับก็ไม่ได้
“อาจารย์ฮั่วรีบมานั่งเร็วค่ะ พวกเรากำลังรออยู่เลย!” มีคนหนึ่งตาแหลมขึ้นมาจึงรีบชวนเขา
“ผมรู้ว่าพวกคุณกลัวผมทำให้งานไม่สนุก ไม่ต้องห่วง วันนี้ไม่ยุ่งด้วยอยู่แล้ว! ตามสบายเลย” หลังจากเขาเอ่ยทักทายเหลียงซิ่ว ก็นั่งลงบนโต๊ะตัวหนึ่งแล้วเอ่ยหยอก
ประโยคนั้นทำให้เด็ก ๆ หายกังวล
ส่วนเหลียงซิ่วก็จากไปเงียบ ๆ
มีบางส่วนที่ไม่กล้าทำตัวสบาย ๆ
แต่เมื่ออาจารย์ดื่มอวยพร บรรยากาศจึงพลอยมีชีวิตชีวาไปด้วย
มีดื่ม มีหัวเราะ มีร้องไห้ บางส่วนก็กอดคอคุยกัน
พวกเขารู้ดีว่าหลังจากนี้โอกาสจะได้เจอกันน้อยลงแล้ว
อยู่ด้วยกันมาสี่ปีในที่สุดก็ต้องแยกจากกัน
โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่เมืองหลวง ในเมื่อหางานไม่ได้ก็ต้องกลับบ้านเกิดเท่านั้น จึงอดเสียใจไม่ได้
หนึ่งคือเสียใจที่ต้องแยกจากเพื่อนสนิท สองคืออนาคตสู้เพื่อนที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ได้
บางทีอีกสิบปีข้างหน้าอนาคตคงจะเปลี่ยนไป
งานเลี้ยงเริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงห้าทุ่มกว่า ๆ
มีนักศึกษาหลายคนดื่มจนเมา สุดท้ายซูเสี่ยวเถียนและฮั่วซือเหนียนก็หารถไปส่งที่มหาวิทยาลัย
วันที่สองนักศึกษาต่างทยอยออกจากหอ
นับว่าสามัคคีกันมาก คนที่ยังอยู่ต่อก็ออกตัวช่วยเหลือคนที่ต้องย้ายออกไป
หลังจากคนคุ้นเคยไปแล้วก็อดเสียใจขึ้นมาไม่ได้
เตียงว่างเปล่า ห้องพักโล่ง สุดท้ายเหลือแค่คนที่อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น
ในฐานะหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ นักศึกษาคณะภาษาจีนอยู่ในเมืองหลวงต่อประมาณยี่สิบกว่าคน
ทุกคนทำงานต่างกัน และไม่มีใครทำงานหน่วยเดียวกันด้วย
เพราะได้อยู่เมืองหลวงจึงมีโอกาสมากกว่าคนอื่น ๆ
เลยได้แต่ชื่นชม
ส่วนซูเสี่ยวเถียนเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากมหาวิทยาลัย เธอพาหลี่เจี้ยนหงกลับมาด้วย
เมื่อเห็นห้องว่างเปล่า เธอก็รู้สึกอึดอัด
แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
มีพบมีจาก มีแค่การจากลาจึงจะทำให้เรากลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง
“ไม่ต้องเสียใจไปนะ เรากลับกันเถอะ! เราหาเวลามาเจอกันได้”
หญิงสาวเห็นความเศร้าสร้อยของเพื่อน ตนก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“ไปกัน โชคดีจังที่ยังมีเธออยู่ด้วย!” เด็กสาวให้กำลังใจ
ใบหน้ามีรอยยิ้มฝืน ๆ
เธอชอบคณะนี้มาก ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเยอะด้วย
ถึงปีแรกจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นทุกคนก็เข้ากันได้ดี
แต่เราต้องแยกจากกันแล้ว เธอรู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีโอกาสกลับมาพบกันอีก
ทั้งสองขึ้นรถก่อนตรงกลับบ้านซู
คุณปู่คุณย่าซูให้เพื่อนเธออยู่ที่นี่ไปก่อน
เพราะเป็นกังวลหากปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งเช่าบ้านอยู่ข้างนอก
ถึงอย่างไรทั้งสองครอบครัวก็เห็นพ้องต้องกันในเรื่องแต่งงานแล้ว
จะอยู่ตอนนี้หรือตอนอนาคตก็ไม่ต่างกันอยู่ดี
ทันทีที่เข้ามาคุณย่าบอกว่ากระทรวงต่างประเทศโทรมาหา
และทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย บอกให้โทรกลับทันทีเมื่อกลับมาถึงบ้าน
ซูเสี่ยวเถียนรู้ได้เลยว่ามันคือเบอร์จากฝ่ายทรัพยากรบุคคล
หลังจากติดต่อไปฝ่ายนั้นบอกว่า พรุ่งนี้ให้เธอไปรายงานตัวได้เลย ขั้นตอนการรับเข้าทำงานเสร็จสิ้นแล้ว
เธอไม่รู้จะพูดอะไร
อุตส่าห์คิดว่าเรียนจบมาแล้วจะได้นอนอยู่บ้านสักสองวัน จู่ ๆ ก็ต้องรีบไปทำงานเสียอย่างนั้น
หลี่เจี้ยนหงหัวเราะ
“ดูหน้าตาเธอซี่!”
ซูเสี่ยวเถียนเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “ฉันคิดว่าจะได้นอนอยู่บ้านสักสองวันก่อนไปทำงานน่ะสิ แล้วตอนนี้เขาก็บอกให้ฉันไปเนี่ย!”
“งั้นก็ไปเถอะ ได้ยินว่าคณะผู้แทนมาเยือนกับเพียบเลยนี่นา ทางกระทรวงคงยุ่งหัวหมุน”
ขนาดหลี่เจี้ยนหงยังรู้เลย
สุดท้ายก็ทำได้แค่ล้มเลิกแผนการ เก็บข้าวเก็บของเพื่อเตรียมตัวไปทำงานอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
เพื่อนร่วมงานในกระทรวงรู้ ต่างพากันดีใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ผู้นำตลอดจนถึงเพื่อนร่วมงานล้วนแต่ต้อนรับซูเสี่ยวเถียนอย่างยิ่งใหญ่
ภาระอันหนักอึ้งกำลังจะผ่อนเบาลงหลังจากได้เพื่อนร่วมงานคนใหม่มาช่วยยังไงละ
โดยเฉพาะคนเก่ง ๆ แบบซูเสี่ยวเถียน ปัญหานี้แก้ได้แน่
อันที่จริงในบรรดาเด็กฝึกงานทั้งสี่ มีเพียงสามคนที่ได้ทำเท่านั้น
นอกจากตัวเด็กสาวก็ยังมีลู่เซวียนและถังผิง
เยี่ยไคอวี่ไม่พอใจมากที่ไม่ได้ทำงานที่นี่ด้วย
ถึงกับไม่พอใจทางกระทรวงเลยด้วยซ้ำ
เขาคิดว่าพวกผู้นำต้องสนิทกันมากแน่ ๆ
ระหว่างที่ฝึกงาน สิ่งเดียวที่เขารู้คือซูเสี่ยวเถียนมีเส้นสาย พ่อแม่ถังผิงเป็นคนเก่งของที่นี่
ส่วนลู่เซวียนไม่มีข้อมูลใด ๆ แต่พิจารณาจากผู้หญิงทั้งสองแล้ว น่าจะมีภูมิหลังอยู่บ้าง
เยี่ยไคอวี่เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตั้งแต่มาฝึกงานได้ทำตัวอย่างที่เขาคาดหวังไว้หรือเปล่า
ตอนนี้เราขาดแคลนนักแปลอยู่ แม้ตอนแรกจะบอกไว้ว่ารับแค่สองคน แต่ถ้าชายหนุ่มเก่งจริงจะไม่ได้รับคัดเลือกเชียวหรือ?
—————————————–