บทที่ 1140 ชวนมาทำงานด้วยกัน
บทที่ 1140 ชวนมาทำงานด้วยกัน
ซูเสี่ยวเถียนกินข้าวเสร็จก็นั่งรถประจำทางไปที่กระทรวงการต่างประเทศ เพราะว่าวันนี้ไม่มีงานสำคัญอะไรแล้ว
พอมาถึงยังเหลือเวลาอีกสามสิบนาทีก่อนจะเริ่มงาน ตอนนี้ตนอยู่คนเดียวในสำนักงาน
เธอไม่ได้มาสองวันจึงตักน้ำเอาผ้ามาชุบแล้วเช็ดโต๊ะ
ตอนนั้นเองที่เหลือบไปเห็นฟ่านชูฟางเดินมาหาแล้วโบกมือให้อย่างเป็นกันเอง
ซูเสี่ยวเถียนกำลังจะเรียกย่ารอง แต่เห็นลู่เซวียนยืนอยู่ตรงนั้นพอดีเลยเอ่ยอย่างสุภาพ “อธิบดีฟ่าน มาหาหนูมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
ถ้าไม่มีคนนอกเธอจะเรียกย่ารองด้วยความเคยชิน แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยจะใช้คำเฉพาะเจาะจง
“ซูเสี่ยวเถียน มาที่ห้องทำงานฉันหน่อยสิ!”
ฟ่านชูฟางเหลือบมองลู่เซวียนข้าง ๆ เลยเข้าใจว่าหลานหมายถึงอะไร จึงพูดอย่างเป็นทางการ
ซูเสี่ยวเถียนวางผ้าขี้ริ้วไว้ข้าง ๆ แล้วเดินตามอีกฝ่ายไป
“นั่งลงเถอะ ไม่มีคนอื่นแล้ว ทำตัวเหมือนที่บ้านเถอะ”
ฟ่านชูฟางบอก แล้วยื่นช็อกโกแลตสองสามชิ้นให้
ซูเสี่ยวเถียนไม่เกรงใจแล้วหยิบมาถือเล่น
ช็อกโกแลตจากต่างประเทศดูดีมาก แต่ไม่รู้รสชาติเป็นยังไง
ฟ่านชูฟางมองหลานที่มีท่าทางน่ารักและไร้เดียงสาด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีละนะ แต่โดดเด่นมากเลย
ฟ่านชูฟางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ไกลจากกันนัก
“เสี่ยวเถียน ทำได้ดีมากเลยนะ อธิบดีตู้เขารู้สึกขอบคุณมากเลย”
ซูเสี่ยวเถียนไม่คิดว่าฟ่านชูฟางจะเรียกมาคุยเรื่องนี้
แต่ปู่รองย่ารองชมเธอจนเคยชินไปแล้ว ไม่แน่ว่าต่อหน้าอธิบดีตู้ท่านอาจจะชมยิ่งกว่านี้หรือเปล่า
“หนูก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำค่ะ อนาคตจะตั้งใจให้มากกว่านี้ย่ารองจะได้ไม่อับอาย!”
ในเมื่อรับคำชมผู้นำมาแล้ว ก็ต้องทำสิ่งที่คู่ควรกับคำชมด้วย
ทว่าฟ่านชูฟางกลับพูดว่า “หนูเลิกขยันเถอะ ถ้าขยันกว่านี้คนอื่นเขาจะอยู่ยังไงล่ะ?”
ที่พูดเพราะตั้งใจแหย่ แต่มันก็จริงนั่นแหละ
หลายวันมานี้บรรยากาศในกระทรวงการต่างประเทศอึมครึมเล็กน้อย
แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เปลี่ยนไปอย่างมาก
ทุกคนเริ่มตั้งใจศึกษาหลังเลิกงานซึ่งแสดงถึงกำลังใจที่ดี
แม้ฟ่านชูฟางจะคิดว่าสถานการณ์แบบนี้ดีมากก็ตาม
แต่ก็ห่วงว่าหลานจะเก่งเกินไปจนทำให้คนอื่นลำบาก
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มเขิน
แต่ทำอะไรไม่ได้นี่ เธอมีระบบห้องสมุด ก็ต้องตั้งใจเรียนอยู่แล้ว
ไว้เธอผูกระบบอาหารการกินได้ เธอจะนอนเอกเขนกแล้วกัน!
“เสี่ยวเถียน หนูบอกย่าซิ ตอนนี้รู้กี่ภาษาแล้ว?”
จู่ ๆ ฟ่านชูฟางก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้
“ตอนนี้หนูรู้หกภาษาค่ะ มีแค่สามภาษาที่ยังไม่ค่อยแม่น แต่ก็ถือว่าได้เยอะแล้วค่ะ!”
น้ำเสียงเธอเฉยเมย
ที่จริงไม่ได้จะพูดหรอกว่าไอ้ที่รู้สึกรับมือไม่ได้ สำหรับคนอื่นมันคือเชี่ยวชาญแล้ว
เช่นภาษาของประเทศ Y เป็นหนึ่งในภาษาที่เธอรู้สึกยังรับมือไม่ค่อยได้
ทำไมรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังอวด
อายุเพิ่งจะเท่าไร?
คนปกติที่ไหนรู้เยอะขนาดนี้?
ไม่มีอยู่แล้ว!
“เสี่ยวเถียน หนูเรียนมากี่ปีแล้ว?”
เธอรู้สึกหมดแรง
ตัวเราก็รู้ภาษาต่างประเทศ แน่นอนว่ารู้อยู่แล้วว่ามันยากขนาดไหน
การเรียนภาษาไม่ได้อาศัยแค่ความสามารถและความขยันเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมก็สำคัญด้วย
ในประเทศจีน เราไม่มีเลยสักนิด เลยส่งผลให้คนส่วนใหญ่รู้เป็นคำโดด ๆ มากกว่าแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะการพูด
ต่อให้คนอื่นมาได้ยินก็คงรู้สึกแปลกไม่ต่างกับตนหรอก
“ไม่ถึงสิบปีค่ะ” เธอเอ่ยอย่างคลุมเครือ
“ปีต่อปีเลยหรือ?” หญิงชรามองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ
เด็กเพิ่งอายุเท่านี้เอง คงไม่ได้เรียนตั้งแต่เกิดใช่ไหม?
เหมือนว่าจะเริ่มเรียนตั้งแต่ผู้อาวุโสฉือไปอยู่หนานหลิ่งนะ
“หนูเริ่มช้าค่ะ แต่พอเรียนเยอะขึ้นแล้วมันก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ”
เธอรู้สึกว่าความเร็วในการเรียนของตัวเองน่าผิดหวัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อนาคตอาจเร็วกว่านี้
คนรุ่นหลังบางคนบอกว่ายิ่งใช้สมองมากเท่าไรก็ยิ่งกระเตื้องเท่านั้น ท่าจะจริง
ฟ่านชูฟาง “…”
ไม่รู้จะพูดอะไรดีเลย
ไม่แปลกใจที่อธิบดีตู้บอกให้เก็บเอาไว้ให้ได้
ตอนนี้ยังรู้สึกเลยว่าเสี่ยวเถียนควรทำงานกับเราจะได้พัฒนาจุดแข็งและความสามารถเอาไว้
เพราะนอกจากกระทรวงต่างประเทศแล้ว สถานประกอบการอื่นคงไม่ต้องการอัจฉริยะที่รู้หลายภาษาอยู่แล้ว
โดยเฉพาะเด็กคนนี้ที่อายุยังน้อย มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด ไม่รู้ว่าอนาคตจะเก่งได้อีกกี่ภาษา
อธิบดีตู้ไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเขารู้มั่นใจเลยว่าจะต้องขอให้มาทำงานแน่นอน
“เสี่ยวเถียน หนูเหมาะทำงานกับเรามากเลยนะ!” ฟ่านชูฟางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตรง ๆ
เด็กสาวคิดไม่ถึงว่าจะโดนถามโต้ง ๆ
“ย่าจะชวนให้หนูทำงานในกระทรวงต่างประเทศหรือคะ?”
ฟ่านชูฟางจ้อง “สมแล้วที่ฉลาด! ไม่คิดหรือว่าตั้งแต่มาทำงานที่นี่หนูโดดเด่นแค่ไหน? จะไม่เป็นที่สนใจได้ยังไง?”
ซูเสี่ยวเถียนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ดีหรือไม่ดีเนี่ย?
“หนูทำเพื่อไม่ให้ย่ารองกับปู่รองเสียหน้าไม่ใช่หรือคะ?” เธอยิ้ม
“อย่าเก็บข่าวลือมาใส่ใจเลย ย่าจะไม่รู้จักลูกหลานตัวเองได้ยังไง?”
ฟ่านชูฟางเชื่อในตัวซูเสี่ยวเถียนมาก และเชื่อว่าหลานเก่งที่สุด
“เพราะหนูได้เข้าร่วมในพิธีต้อนรับแล้วก็แปลได้เสร็จสมบูรณ์ด้วยข่าวลือเลยหายไปไง” หญิงชรายกยิ้มหลังจากดื่มน้ำ
ข่าวลืออะไรกัน? ขอแค่เก่งจริงไม่ว่าข่าวจะเยอะแค่ไหนก็สลัดมันออกไปได้
แล้วดูกระทรวงการต่างประเทศตอนนี้สิ ไม่มีใครเก่งเท่าเสี่ยวเถียนแล้ว
ต่อให้อิจฉาก็ทำอะไรไม่ได้
จะอิจฉาได้ก็ต้องอยู่ระดับเดียวกันเท่านั้น ถ้าต่างกันขนาดนี้ไม่มีทางหรอก