“…..หึม”
ในห้องที่ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยความมืด มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ พึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาจับจ้องไปที่จอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าที่แสดงเว็บไซต์บางอย่างอยู่
เว็บไซต์ดังกล่าวมีบทความและความคิดเห็นของผู้พัฒนาเกี่ยวกับเกม “ฉันถูกชิงไปทุกอย่าง” อยู่
“ช่วงนี้เห็นมีคนพูดถึงเกมของเราบ่อยอยู่นะ รู้ไหมการเล่นมันจนจบไม่ได้เปิดเผยทุกอย่างของเกมหรอกนะ ดังนั้นฉันคิดว่าการมาสรุปเนื้อเรื่องแบบนี้คงมีประโยชน์กับทุกคนนะ”
บนโต๊ะคอมของเขาวางเกมหลักและแฟนดิสก์ของ “ฉันถูกชิงไปทุกอย่าง” อยู่ การที่อยู่คนเดียวแบบนี้หมายความว่าเขาสามารถวางเกมดังกล่าวไว้ที่ไหนก็ได้ได้โดยไม่ต้องกังวล
“….อะไรละเนี่ย?”
เขาใช้เวลาไม่กี่นาทีต่อมาในการตรวจสอบเกมที่เขาเล่นอีกครั้ง
สิ่งที่ชัดเจนเลยคือเนื้อหาในเกมเกี่ยวข้องกับโทวะและอายานะเท่านั้น
สำหรับใครก็ตามที่เล่นเกมนี้มันเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด แต่ความคิดเห็นของผู้พัฒนาได้ให้คำชี้แจงเพิ่มเติม
[มันเป็นเรื่องราวจากมุมมองของอายานะ ดังนั้นแฟนดิสก์นี้จึงมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโทวะสะเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามตามแผนเดิมของเรา โทวะจะมีปฏิสัมพันธ์กับอายานะเท่านั้น ไม่มีนางเอกอย่างอิโอริหรือมาริในหมู่เพื่อนสนิทของอายานะ ถ้าอายานะเป็นเพื่อนกับพวกเธอ เธอก็คงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรทำอย่างไรต่อดีกับแผนการของเธอ]
“ก็จริง” แล้วเขาพยักหน้าเห็นด้วย
แฟนดิสก์นี้ลงรายละเอียดเยอะมากจากมุมมองของอายานะ ด้วยการคลี่คลายอดีตของเธอกับโทวะ อาจจะเป็นเรื่องยากที่เราจะให้อภัยโคโตเนะ น้องสาวของชู และฮัทสึเนะ แม่ของเขา
แต่เมื่อพูดถึงอิโอริและมาริซึ่งถูกดึงเข้าสู่แผนการล้างแค้นของอายานะโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะไม่รู้สึกเห็นใจพวกเธอ
ความเห็นอกเห็นใจเหรอ..…ไม่สิ มันดูเหมือนพวกเธอน่าสงสารจริงๆมากกว่า
[เพราะเธอถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น อายานะจึงมุ่งความสนใจไปที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว ผลกระทบที่อาจเกิดจากการแก้แค้นของเธอที่เตรียมไว้ให้กับโทวะนั้นถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง และสิ่งเดียวที่เธอสนใจก็คือทำให้ทุกอย่างพินาศลง]
เพื่อขจัดอุปสรรคทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของโทวะ
อายานะใช้ทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อทำลายครอบครัวของตัวเอง รวมถึงชูหรือแม้แต่ อิโอริและมาริซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของชู ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองในละครการแก้แค้นของเธอ
“…ด้านที่น่ากลัวของอายานะถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ถ้าโทวะรู้ เขาต้องหยุดเธออย่างแน่นอน ยิ่งเล่นแผ่นดิสก์นี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเข้าใจดีเลยละว่า……โทวะเป็นคนใจดีจริงๆ”
ชายคนนั้นยังคงอ่านความคิดเห็นของผู้พัฒนาเกมต่อ
[ที่จริง นอกจากอายานะแล้วโทวะยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก เขาอาจจะมีคุยกับคนอื่นบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเขาเข้าไปทำความรู้จักหรือดูเหมือนกำลังสนุกกับเพื่อนๆของอายานะ เขาจะทำให้อายานะลังเลได้อย่างแน่นอน]
เมื่อเขาอ่านความคิดเห็นนั้น ชายคนนั้นก็สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย
แฟนดิสก์นี้เป็นเรื่องราวการแก้แค้นของอายานะ แต่ยังมีฉากที่บรรยายถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของอายานะอย่างเข้มข้นด้วยจนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอินไปกับมัน
ในฐานะคนนอกที่ดูเรื่องราวนี้ เขาคิดวิธีต่างๆเกี่ยวกับการทำให้โทวะรับรู้ถึงความรู้สึกของอายานะ เขาชอบอายานะในฐานะตัวละครมากและอยากให้เธอพบกับความสุขที่แท้จริง
[อายานะให้ความสำคัญกับโทวะอยู่เสมอ และเธอก็รักเขาอย่างสุดซึ้ง มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์และตรงไปตรงมา เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ผลักดันเธอให้เธอมาถึงจุดนี้ และนั่นคือวิธีที่เธอสามารถอดทนได้แม้ในขณะที่หัวใจของเธอแตกสลาย อย่างที่ผู้คนมักพูดกันว่า เรามักจะไม่ได้คิดถึงเรื่องในอนาคต…หรือสถานการณ์อื่น ได้โปรดเถอะ ขอให้พวกเขาพบกับความสุขตามที่คุณจินตนาการไว้]
ความคิดเห็นของผู้พัฒนาจบลงตรงนี้
มีการตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีภาคต่อ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำเป็นอนิเมะเลย ความผิดหวังปรากฏชัดจากปฏิกิริยาของคนในชุมชน
ชายคนนั้นนั่งคิดกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ขยับเมาส์และเปิดดูคอมเมนต์ของแฟนๆ
ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นคืออายานะที่สวมฮูทสีดำอันคุ้นเคย
“มันยังน่าเศร้าเหมือนเดิม..…ยิ่งฉันรู้จักตัวละครตัวนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหวังให้เธอพบกับความสุขมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น เธอก็คงจะลงเอยกับโทวะ ถึงจะมีทะเลาะกับชูบ้าง แต่มันก็คงผ่านไปได้ อายานะจะเลือกโทวะมากกว่าชู และโทวะจะเลือกอายานะ…ก็แค่นั้นแหละ”
อายานะบนหน้าจอยังคงนิ่งอยู่ แต่ถ้าคุณจ้องมองเธอสักพัก คุณจะพบว่าเธอกำลังหลั่งน้ำตาอยู่
จากนั้น ชายคนนั้นก็เล่นเกมอีกครั้ง เกือบจะราวกับภาพในความทรงจำที่แสนจะคิดถึง
มีหลายช่วงเวลาที่ทำให้เขาหัวเราะตราบใดที่เขาไม่คิดถึงชู โทวะและอายานะก็ยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป โดยมีช่วงเวลาที่น่าสงสัยเมื่อโทวะ เกือบจะได้พบกับครอบครัวของชู
[โทวะคุง มานี่หน่อยสิ]
[เอ๊ะ? ได้สิ]
อย่างไรก็ตาม ด้วยการช่วยเหลือทางอ้อมจากอายานะ ทำให้โทวะสามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้
เขาไม่ได้ติดต่อกับโคโตเนะและฮัทสึเนะที่เคยทำร้ายเขาด้วยคำพูดเลย นอกจากนี้ยังไม่มีการโต้ตอบกับแม่ของอายานะที่พูดตำหนิเขาทางอ้อมด้วย
ไม่เพียงแต่จากมุมมองของอายานะเท่านั้นแต่ยังรวมถึงโทวะด้วย ไม่มีการโต้ตอบกับนางเอกคนอื่นๆมากนัก ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ โทวะก็ไม่สามารถรู้ได้
“…เอ่อ จบแล้วสินะ”
หลังจากดูช่วงเวลาน่ารักของโทวะและอายานะ ตอนจบก็แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่จับมือกันเดินไปทางแสงยามเย็น ชายคนนั้นยังคงมองดูต่อไปอย่างเงียบๆ และเมื่อร่างของอายานะหายไป บทพูดของโทวะก็เริ่มขึ้น
[อายานะอยู่ในอ้อมแขนของฉัน เธอยิ้มตลอดเวลา การได้เห็นรอยยิ้มของเธอก็ทำให้ฉันมีความสุขเช่นกัน แต่……นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงๆเหรอ?]
คำบรรยายนั้นหายไปแล้วปรากฏอีกครั้ง
[เธอแสดงความรักต่อฉันมากกว่าแต่ก่อน แต่ในความเป็นจริง ฉันเองก็ทำให้เธอเจ็บปวดเพราะฉันไม่ได้……สังเกตเห็นอะไรเลย บางทีอาจจะเป็น……ตัวฉันเองที่พรากผู้หญิงอบอุ่นและใจดีคนนั้นไป]
หลังจากจ้องมองที่หน้าจอสักพัก ชายคนนั้นก็ถอนหายใจ
เขาเอนหลังบนเก้าอี้ ทิ้งหลังพิงพนักพิง และพึมพำเบาๆ
“ถ้าฉันเป็นโทวะ…เอาจริงฉันก็ไม่ได้มีความคิดที่จะไปแทนใครหรอกนะ แต่ฉันคิดว่าถ้าฉันเป็นเขาฉันก็คงเข้าไปช่วยอายานะแม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม ฮ่าๆ ไร้สาระชะมัด แต่ก็ไม่เป็นไรที่จะคิดแบบนี้ใช่ไหม? ท้ายที่สุดมันเป็นเรื่องราวที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆนะ”
เขาไม่ได้จะบอกว่าเขาสามารถมาแทนที่โทวะได้ แต่เขาก็ยังต้องการช่วยอายานะ การรู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจตัวละครในเกมในระดับนี้อาจดูแปลก แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขารักเกมนี้มากแค่ไหน
“ไม่ชินกับการทำอะไรแบบนี้เลย อืม เหมือนไหร่ฉันจะตึงหน่อยๆแฮะ”
ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่นวดไหล่ไปด้วย
แม้ว่าฉันจะคุ้นเคยกับมันบ้างแล้วในช่วงหลังๆ แต่การทำอะไรที่ปกติฉันไม่ทำก็เหนื่อยจริงๆให้ตายสิ อย่างไรก็ตาม…พูดตรงๆเลยละกัน ก็คือฉันสนุกกับช่วงเวลานั้นมาก
ไม่ใช่แค่การคุยเล่นกันเท่านั้น แต่การทำงานร่วมกันกับใครสักคนก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักเรียนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย และมันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าพอใจจริงๆ
แต่บางทีเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เธออยู่ข้างฉัน
จู่ๆ ฉันก็เหลือบมองเธอ และเธอก็เงยหน้าขึ้นมองฉันพอดี เราสบตากัน และแม้ว่าเธอจะดูประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเธอก็ยิ้ม
“โทวะคุง?”
“อะ…ไม่ ฉันแค่คิดว่าทำอะไรแบบนี้ก็สนุกเหมือนกันนะเนี่ย”
“ฟู่ฟู่ ถึงจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เราได้ไปช่วยรุ่นพี่อิโอริ แต่…ใช่ มันสนุกดีนะ”
“อายานะ?”
เธอบอกว่ามันสนุก แต่เธอก็มีสีหน้าเศร้าอยู่นิดๆ เธอยิ้มอีกครั้งโดยไม่อยากให้ฉันกังวล รอยยิ้มของเธอชั่งน่ารักจริงๆ และฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่าไม่ถามดีกว่า
เนื่องจากชูไปกับอิโอริและมาริ ตอนนี้จึงมีเพียงเราสองคน ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีสำหรับเราที่จะพูดคุยกันอย่างจริงจังซึ่งเราไม่สามารถพูดคุยได้ที่โรงเรียน
“อายานะ ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ แต่นายจะคุยเรื่องอะไรเหรอ?”
เธอส่งยิ้มเล็กๆมาให้ฉัน แต่ฉันไม่สามารถเมินความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างรบกวนเธอได้
ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้ ฉันเลยตัดสินใจจับมือเธอแล้วพาเธอไปร้านกาแฟใกล้ๆ
“ยินดีต้อนรับครับ! แค่สองท่านใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ”
“เชิญนั่งตรงนั้นได้เลยครับ…ถ้าเลือกเมนูได้แล้วเรียกได้เสมอเลยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ตามที่พนักงานเสิร์ฟบอก เราก็มุ่งหน้าไปที่โต๊ะด้านในทันที
เราดูเมนูอยู่สักพักแล้วจึงตัดสินใจสั่งชาและเค้ก ระหว่างรอพนักงานเสิร์ฟเอาของมาเสิร์ฟ เราก็คุยสัพเพเหระกัน
“มาแล้ว มาแล้ว!”
ออเดอร์ของเรามาถึงแล้ว และเราก็หยุดคุยกันเพื่อเพลิดเพลินกับรสชาติของชาและเค้กที่เราสั่งมา
ชามีรสหวานกำลังดี และเค้กก็รสชาติเยี่ยมมาก อายานะก็กำลังลิ้มรสของหวานของเธอเหมือนกัน
“โทวะคุง ฉันขอลองเค้กช็อคโกแลตของเธอหน่อยสิ”
“เอานี้ ฉันขอชิมชอร์ตเค้กสตรอว์เบอร์รีได้ไหม?”
“ได้สิจ๊ะ”
เราตัดเค้กของเราเป็นชิ้นขนาดพอดีคำและแบ่งให้กันและกัน
หลังจากกินเค้กและจิบชาเสร็จ เราทั้งคู่ก็นั่งพักกันอยู่ครู่หนึ่ง ฉันจ้องไปที่อายานะโดยตรงและคิดว่าจะเปิดหัวข้อคุยยังไงดี
“เฮ้ อายานะ”
“หืม?”
“มีอะไรที่เธอไม่ได้บอกฉันหรือเปล่า? เธอกำลังซ่อนอะไรจากฉันใช่ไหม?”
“นายหมายความว่าอย่างไง…?”
เธอจ้องมาที่ฉันอย่างตั้งใจและเอียงหัวเล็กน้อย
เธอมีสีหน้างุนงงจริงๆ แม้แต่การแสดงออกที่เน้นความอยากรู้อยากเห็นอันบริสุทธิ์ของเธอก็ยังดูน่าดึงดูด ไม่ว่าเธอจะทำอะไรเธอก็ดูดีไปหมดเลยให้ตายสิ
“อายานะ เธอ…..ยิ้มอยู่ตลอกเลย”
“นั่นก็เพราะฉันอยู่กับโทวะคุง ทุกๆวันเลยเป็นวันที่สนุกสนานสำหรับฉัน และฉันก็มีความสุข…ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ฉันยิ้มตลอดเพราะฉันมีความสุข อะ แต่ฉันยังเป็นมนุษย์อยู่ ดังนั้นมันคงมากไปหน่อยที่จะบอกว่าฉันไม่มีสีหน้าอื่นนอกจากหน้ายิ้ม”
“….…”
แล้วเธอก็หัวเราะคิกคัก
การแสดงออกของเธอดูเหมือนปกติ เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่เธอแสดงอยู่เสมอ แต่มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป แม้ว่ามันควรจะเป็นรอยยิ้มที่ฉันชื่นชอบ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นบางอย่างจากรอยยิ้มของเธอ
“จริงเหรอ?”
“…เอ๊ะ?”
“อายานะ นั้นนะคือรอยยิ้มจากใจจริงของเธอเหรอ?”
“…ฟูมุ”
วิธีที่ฉันถามคือความสงใสของฉันจริงๆ แต่อายานะไม่ได้ดูกังวลเลยแม้แต่น้อย เธอวางมือไว้บนโต๊ะและตอบคำถามของฉันอย่างจริงจัง
“ฉันสามารถยิ้มได้จากใจจริงนะรู้ไหม? ดูสิ รอยยิ้มที่โทวะคุงบอกว่าฉันน่ารักนี้ดูปลอมสำหรับนายเหรอ?”
เมื่อพูดอย่างนั้น อายานะก็ฉีกยิ้มกว้าง
จริงๆฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเห็นด้วยกับคำพูดของเธออย่างสุดหัวใจ และฉันก็สังหรณ์ใจได้ว่านี่คือรอยยิ้มจากใจของเธอจริงๆ
ฉันคิดมากไปหรือเปล่านะ? ไม่ ไม่มีทางที่ฉันจะคิดมากไปเอง นั่นคือสิ่งที่ฉันเชื่อ
เมื่อมองดูอายานะขณะที่เธอยิ้มอย่างอ่อนหวาน ใจของฉันก็ไม่เพียงรู้สึกสบายใจขึ้นเท่านั้น แต่ยังคิดอยากจะจ้องมองรอยยิ้มนี้ตลอดไปอีกด้วย
“โทวะคุง? เกิดอะไรขึ้นจริงๆสินะ? สีหน้าจริงจังของโทวะคุงก็ดูน่ารักดีนะ แต่ฉันไม่อยากให้เธอทำหน้าแบบนั้นในโอกาสพิเศษแบบนี้นะ”
“อืม..…”
นี้คงเป็นคำขอของอายานะ ซึ่งส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าเธอไม่ต้องการการสนทนาที่หนักหน่วงในร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆแห่งนี้ ดังนั้นฉันจึงขอโทษเธอ
ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าฉันจะถามมากแค่ไหนอายานะก็คงจะไม่ตอบตรงๆแน่ และที่สำคัญที่สุด ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่านี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดของฉันหรือไม่
“ขอโทษนะ ฉันไปห้องน้ำแปบนะ”
“อืม ฉันจะรอนะ”
ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งและมุ่งหน้าไปห้องน้ำ
ในขณะที่ฉันทำธุระเสร็จแล้วกำลังล้างมือ ฉันก็มองดูตัวเองในกระจก ภาพสะท้อนที่จ้องมองกลับมาที่ฉันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฉันทำหน้าไม่พอใจที่ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากอายานะ
“….ฉันรีบเกินไปหรือเปล่า? นายคิดว่าไงโทวะ?”
เมื่อฉันถามคำถามนั้น แน่นอนว่าภาพสะท้อนของฉันในกระจกยังคงเงียบและไม่มีคำตอบกลับมา
ฉันมองตัวเองในกระจกอยู่สักพักแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันหัวเราะกับความคิดของตัวเองแล้วกลับมาหาอายานะ
“กลับมาแล้ว เราเอาไงต่อดี? หรือเราจะไปกันเลย?”
“อืม ถูกของนาย เรากลับกันดีกว่า”
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเราก็ออกจากร้านกาแฟ ฉันสังเกตอายานะอย่างละเอียดในระหว่างที่เราอยู่ที่นั่น แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติจากเธอเลย บางทีฉันอาจจะแค่คิดมากไปเอง
“โอ้ แล้วเราจะไปร้านนั้นตอนวันหยุดหน้าดีไหม? มีของที่ฉันอยากจะลองดู และฉันก็อยากได้ของขวัญเล็กๆน้อยๆให้กับอาเคมิซังด้วย”
“อืม ได้สิ เดียวฉันเคลียร์วันหยุดหน้าให้นะ”
ขณะที่ตอบอายานะ ฉันก็ปล่อยให้ความคิดก่อนหน้านี้กลับมา
ช่วงเวลาที่อายานะคุยกับอิโอริกับมาริ และวิธีที่เธอพูดดูเหมือนเธอจะชอบมันมาก
“แล้วก็…โทวะคุง นายด้วยแหละ นายยิ้มเรื่องอะไรนะ”
“เฮ้ ฉันไม่ได้คิดอะไรแปลกๆหรอกนะ ฉันแค่คิดถึงเรื่องที่เราไปช่วยงานที่ห้องสภานักเรียนนะ”
“อีกแล้วเหรอ? มันสนุกจริงๆนะ แต่…อ่า ถ้าพูดถึงเรื่องนั้นฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่รุ่นพี่อิโอริลูบหน้าอกฉัน…..”
“หืมมมมมม?”
อา…เหมือนโทวะจะมีปฏิกิริยาเล็กน้อยด้วยแฮะ
ตอนที่ฉันหันไปดูพวกเธอไม่เห็นจะมีอะไรแบบนั้นนะ แต่ฉันเห็น…ใบหน้าของชูเปลี่ยนเป็นสีแดง คงเป็นเรื่องนี้สินะ
“ฉันอยากจะเห็นว่า…นายทำหน้าแบบไหนอยู่นะ?”
“เอ๊ะ?”
“ฟุฟุ ล้อเล่นนะ ยังไงก็ตาม เราไปหาที่เงียบๆ สักหน่อยไหม? ฉันไม่รังเกียจหรอกนะถ้าเป็นโทวะคุง!”
“อย่าทำเหมือนว่าเธอกำลังจะอวดมันนะ! ฉันหมายถึงเรากำลังพูดถึงเรื่อง หน้าอกอยู่ใช่ไหม?!”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราอยู่ในที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่าน จึงไม่เหมาะกับการสนทนาประเภทนี้
“…ฮาฮาฮา”
“…อุฟุฟุฟุฟุฟุ”
เราทั้งคู่หัวเราะกันเบาๆ สักพักหนึ่งแล้วเราก็เดินต่อไปหลังจากที่เสียงหัวเราะของเราเบาลง
ระหว่างนั้นเราไม่ได้คุยกันสักคำแต่บรรยากาศก็ไม่อึดอัด อันที่จริงความเงียบนี้ช่างน่าสบายอย่างน่าประหลาด
ขณะที่เราเดินไปด้วยกัน ฉันก็หยุดเดินกะทันหัน อายานะก็หยุดเดินและเงยหน้าขึ้นมองฉันอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อรอให้ฉันเดินต่อไป
“คือว่านะ…..ที่จริงแล้วสิ่งที่ฉันถามเธอก่อนหน้านี้มันคือส่วนหนึ่งของปณิธานของฉันนะ”
“ปณิธาน?”
“ใช่”
ฉันพยักหน้า
“ฉันอยากจะปกป้องรอยยิ้มของเธอ อายานะ และหลังจากที่ได้เห็นเธอสนุกสนานในห้องสภานักเรียน ความรู้สึกนั้นก็แข็งแกร่งขึ้น”
เนื่องจากยังมีคนอยู่รอบๆ เราจึงย้ายไปที่ที่เงียบกัน แม้ว่าเราจะย้ายที่ออกไป แต่ถนนยามเย็นก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน และเราก็ไม่สามารถหนีจากฝูงชนได้
ตอนนี้เรายืนอยู่ริมถนน และฉันก็เผชิญหน้ากับอายานะโดยตรงอีกครั้ง
“เธอรู้ใช่ไหมว่า…ฉันชอบเห็นเธอยิ้มจริงๆ ไม่ใช่แค่ต่อหน้าฉัน แต่เหมือนกับที่ฉันเห็นเธอหัวเราะกับประธานและแม้แต่กับมาริก่อนหน้านี้…มันเป็นภาพที่มีค่าสำหรับฉัน ฉันคิดว่าเขาเรียกมันว่า ‘Tee Hee’ หรืออะไรสักอย่างนะ?”
Tee Hee…สมัยนี้ยังใช้อยู่ใช่มั้ยล่ะ?
เนื่องจากฉันคิดว่าคงเป็นประโยคที่ดีที่จะใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ และไม่มีคำพูดใดๆจากอายานะตอบกลับมาเลย
ฉันเริ่มสงสัยว่าฉันทำพลาดไปหรือเปล่า แต่เมื่อฉันมองดูเธอ เธอค่อนข้างงงทีเดียว สงใสฉันจะพลาดแล้วสินะ
ดูเหมือนเธอจะตัวแข็งไปแล้ว ราวกับว่าฉันได้พูดสิ่งที่ไม่คาดคิดหรือเรื่องน่าประหลาดให้เธอฟัง
“อายานะ? เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เธอตัวแข็งไปเลยแฮะ
“…….”
“…..อายานะ?”
เธอลดสายตาลงและถอยหลังไปหนึ่งก้าวราวกับกำลังตีตัวออกห่างจากฉัน มันเกือบจะรู้สึกเหมือนถูกเธอปฏิเสธเลย ฉันเอื้อมมือไปหาเธออย่างกล้าๆกลัวๆแต่แล้วเธอก็ถอยกลับอีกก้าว
ฉันเริ่มสงสัยว่าฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า? หรือพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมไป ฉันทบทวนสิ่งที่ฉันพูดไปอยู่ในใจ แต่ฉันไม่รู้สาเหตุขอปฏิกิริยาของเธอเลย
“อะ-อะ-อายานะ”
ฉันอาจจะเข้าใจอะไรผิด แต่การที่เธอตีตัวออกห่างจากฉันนั้นช่างเจ็บปวดราวกับคมมีดแทงทะลุหัวใจฉัน ราวกับว่าบรรยากาศที่หนักหน่วงเติมเต็มช่องว่างระหว่างเรา ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกเลย
“คือ…ฉัน…”
อายานะเงยหน้าขึ้น แต่สีหน้าของเธอดูไม่ดีเลย ความเงียบอันน่าอึดอัดยังคงอยู่ แต่เมื่อหมอนั้นปรากฏตัวขึ้นดูเหมือนเขาจะช่วยทำลายความตึงเครียดนี้ลงได้