ดังที่ผมได้พูดเอาไว้ครั้งก่อน ที่พักอาศัยของตระกูลคิซึกินั้นถูกดัดแปลงให้เป็นรูปแบบ”stray house”ด้วยวิชาที่พัฒนาขึ้นจากการทดลองและวิจัยมานานหลายปีโดยนักวิจัย
จากภายนอกขนาดของอาคารนั้นจะมีประมาณพอๆ กับที่พักของขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงดีๆ นี้เอง
ซึ่งปกติก็มีความกว้างมากอยู่แล้ว
ซึ่่งภายในอาคารเป็นโลกที่แตกต่างจากด้านนอกอย่างกับคนละโลกเลย
พื้นที่ด้านในของมันถูกขยายออกไปอีกหลายเท่า
อาคารนี้มีพื้นฐานมาจากสถาปัตยกรรมแบบชินเด็น-ซุคุริ (寝殿造)
และมีสวนหลายแห่งและแม้กระทั่งฟาร์มภายในเรือนพักก็ยังมี
ห้องนอนกลางเป็นสถานที่ที่หัวหน้าตระกูลพักอาศัยอยู่
ตามด้วยห้องคู่ทางทิศเหนือที่มีห้องโถงทางทิศเหนือ ห้องคู่ทางทิศเหนือแห่งนี้เป็นห้องของยายแก่ที่มีลักษณะดูยังเยาว์วัย
จากห้องนอนกลางคู่
ตะวันออกและตะวันตกขยายออกไปทางตะวันออกและตะวันตก
ห้องก่อนหน้านี้จะเป็นห้องของท่านพี่ (anego-sama) และปัจจุบันนั้นเป็นห้องของกอริลลาแทน
จากห้องคู่ทางทิศเหนือ มีห้องโถงสองห้องที่ยื่นออกไปทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก และห้องโถงสามห้องนี้เป็นที่พักอาศัยของสมาชิกตระกูลคนอื่น ๆ รวมถึงญาติด้วย
แม้ว่าหลายคนจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเรือนพักที่สมาชิกตระกูลทันทีอาศัยอยู่เพียงลำพัง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหามากนักเนื่องจากเรือนพักเองมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้น
จริงๆ มันก็ช่างน่าขบขันที่เห็นคนเพียงสี่คนที่ครอบครองอาคารทั้งหมดด้วยตัวเอง
นี่คือโครงสร้างหลักของอาคารที่ล้อมรอบด้วยห้องครัว โรงม้า โกดัง น้ำบ่อ และอื่น ๆ รวมถึงอาคารที่พวกข้ารับใช้พักอาศัย นี่เป็นที่พักอาศัยของตระกูล
เพราะว่าตระกูลคิซึกิมีอยู่ในฐานะผู้ปัดเป่าไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ยังบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่โดยรอบ แยกออกด้วยทสึกิจิ (สิ่งก่อสร้างไม้ขนาดเล็ก)
ผู้ที่อาศัยอยู่ในสิ่งอำนวยความสะดวกของคิซึกิเป็นข้ารับใช้เพื่อการดำรงชีวิตและไม่มีความรู้เรื่องการปัดเป่า
ข้ามทสึกิจิคือที่พักอาศัยของกลุ่มองเกียวชู (กลุ่มที่ซ่อนอยู่), กลุ่มยาคุชิชู (กลุ่มหมอ), กลุ่มโนะโรยิกุชู (กลุ่มเครื่องมือสาปแช่ง), กลุ่มริคิชู (กลุ่มนักวิจัย), กลุ่มเฮจูชู (กลุ่มรักษา), และกลุ่มชิโมนินชู (กลุ่มข้ารับใช้)
โดยมีห้องปฏิบัติการต่าง ๆ สิ่งอำนวยความสะดวกการอยู่อาศัย และศูนย์ฝึกอบรมที่จำเป็นสำหรับการใช้งานของพวกเขา
หลังจากทำความสะอาดตัวเองในโรงอาบน้ำทางฝั่งตะวันตกเรียบร้อย
ผมก็ไปยังอาคารของที่อยู่ข้ารับใช้
หรือให้พูดแบบเจาะจงคือไปยังอาคารแยกของหัวหน้าข้ารับใช้ โดยที่มีกลิ่นหอมที่ไม่เหมาะสมสำหรับข้ารับใช้ติดอยู่ก็ตาม…
จุดประสงค์ของการเยือนครั้งนี้คือการรายงานภารกิจล่าสุดและและทำการขอเสบียงที่ผมสูญเสียไป
“ข้าได้ยินเรื่องนี้จากท่านอายากะและกลุ่มนักวิจัยที่ถูกส่งไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องโชคดีที่เกิดขึ้น ตอนเผชิญหน้ากับพวกโยวไคที่แข็งแกร่ง ข้าคิดว่านี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ในฐานะหัวหน้าข้ารับใช้อย่างข้าเองภูมิใจในตัวเจ้า”
ชายที่ทำงานในห้องทำงานที่นั่งเสื่อตาตามิ
จากนั้นเขาก็หยุดเขียนและเงยหัวขึ้น มองเพียงแวบเดียว รอยยิ้มของเขาดูดีมีเมตตา แต่ก็มีส่วนลึกที่ดูเหมือนยากจะเข้าถึง
คิซึกิ ชิซุย หัวหน้าข้ารับใช้ของตระกูลคิซึกิ อยู่ในวัยกลางสามสิบต้น ๆ ในช่วงเริ่มต้นของเกมต้นฉบับ เขามีผมบลอนด์สั้นและตาขวาของเขาเป็นสีน้ำเงินเข้ม ในขณะที่ตาซ้ายของเขาเป็นสีแดง
ตาเฮเทอโรโครเมีย… ไม่ใช่คุณลักษณะที่มอบให้เพียงเพื่อรูปลักษณ์ของตัวละครเท่านั้น แต่ก็เป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษของเขาเช่นกัน
ผู้ที่สามารถใช้พลังวิญญษนเพื่อทำเวทย์มนตร์ที่มี “เฮเทอโรโทเปีย” ความสามารถพิเศษเฉพาะตัวและโดยกำเนิดที่เกิดขึ้น เป็นกรณีที่หายากอย่างยิ่ง
และ “ความสามารถพิเศษ” ที่ทำงานโดยอัตโนมัติและมีความเชี่ยวชาญในจุดประสงค์เดียวเรียกว่า “ดวงตาวิเศษ (魔眼)” ในกรณีของ “ดวงตาวิเศษ” ของคิซึกิ ชิซุย มันมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันสำหรับตาซ้ายและขวา
ตาขวามีหน้าที่คล้ายกับการสะกดจิต ความสามารถคือการทำให้เป้าหมายอยู่ในสภาวะการถูกผูกมัดไม่สามารถขยับได้ ส่วนตาซ้ายคล้ายกับพลังวิญญาณในการเคลื่อนย้ายสิ่งของและส่งผลกระทบต่อเป้าหมายในเชิงกล
การผสมรวมตัวที่สุดจะโหดร้ายทีเดียว ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เพียงแค่ “เห็น” เป้าหมาย เขาก็สามารถบล็อกการเคลื่อนไหวของพวกเขาง่ายๆ และแม้แต่บิดหัวพวกเขาออกก็ทำได้ชิวๆ เช่นกัน แน่นอนว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโมฆะแต่ต้องขึ้นอยู่กับพลังโยวไคตนนั้นๆ ด้วย หรือความสามารถของคู่ต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่ สามารถสังหารเป้าหมายได้ในครั้งแรกที่เห็น(ผู้แปล เป็นเรื่องที่บาลานพลังโกงที่สุดในหมู่ต่างโลกละ แม่งจะโกงคือโกงไปเลย แม่งจะอ่อนก็อ่อนไปเลยโลกใน project moon ชัดๆ)
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าตาของเขาจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ แต่เขาก็ยังมีความสามารถพลังวิญญาณ วิชาที่มาจากพลังวิญญานก็แข็งแกร่งเช่นกัน และเทคนิคการใช้ไม้เท้าของเขายังคงยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นคนระดับตึงๆ ก็ว่าได้
และตอยท้ายๆ ของเกม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือโยวไคก็ไม่อาจชนะเขาได้ในการต่อสู้แบบหนึ่งๆ
แต่ในที่สุดพวกโยวไคก็สามารถสังหารเขาด้วยการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน
กล่าวได้อีกอย่างว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลคิซึกิในปัจจุบัน
แล้วก็… เขาเคยเป็นผู้สมัครที่มีแนวโน้มมากที่สุดสำหรับหัวหน้าตระกูลคนต่อไปด้วยเช่นกัน
แต่ว่าหลังจากพลังวิญญานของฮินะ ลูกสาวคนโต และอาโออิ ลูกสาวคนรองปรากฏขึ้นมา เขาก็ยอมสละตำแหน่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหัวหน้าครอบครัวด้วยความสมัครใจ
แม้ว่าเขายังเหนือกว่าพวกเขาในช่วงเริ่มต้นของเนื้อเรื่องเดิมละนะ
เขาคิดว่าลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของเขาจะต้องเหนือกว่าเขาในอนาคต
สิ่งนี้จะนำไปสู่ความรุ่งเรืองของตระกูลคิซึกิทั้งหมด(ผู้แปล พี่ชายมีความคิดสุดยอด)
ก็นะ ตัวพี่เองก็สามารถฟื้นตัวได้แม้ว่าคอของเธอจะบิด และตัวน้องก็สามารถเสริมกำลังร่างกายของเธอด้วยเพียงแค่พลังวิญญานธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
พลังของเธอนั้นทำให้การผูกมัดหรือบิดคอไม่ได้ผลใดๆ เลยทีเดียว(ผู้แปล ะไร)
เรื่องแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ละนะ
แต่ถึงยังไงช่วงต้นของเกมก็แข็งแกร่งกว่าพวกเธอสุดๆ เลยละแม้จะไม่ต้องใช้งานดวงตาก็ตาม
(แล้วก็… เขาเป็นตัวละครที่ไม่สามารถทำให้เขาเปิดใจ)
ภายในเกม คิซึกิ ชิซุย ไม่โหดร้ายหรือโหดเหี้ยมเลย และเขาเป็นชายที่คิดถึงตระกูลของเขาในภาพรวมด้วยความใจเย็นและพร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์ของตระกูล ดังนั้นตอนเข้าเนื่อเรื่อง เขาจะช่วยร่วมมือกับพระเอกแต่ต้องประลองกับพระเอกเช่นกัน เพื่อดูความสามารถของตัวเอกว่าพอได้ไหม
และเมื่อเขาเริ่มประลอง เขาจะไร้ความปรานีทันที
เมื่อคำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่ของผมละก็…
ผมก็ไม่อาจพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมกับเขาได้
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ต้องระวังมากขนาดแต่กันไว้ก่อนดีกว่าแก้
” ‘ชิน/เชน’งั้นรึ… ข้าเคยได้ยินว่าโยวไคตัวนั้นมีขนาดยังเล็กในตอนแรกและพอเวลาผ่านไปก็กลายเป็นโยวไคที่แข็งแกร่งด้วย แม้ว่ามันได้รับบาดเจ็บอยู่ก็เถอะ… อาจเป็นไปได้ว่ามันพ่ายแพ้ในการต่อสู้แย่งชิงอาณาเขตกับโยวไคตัวหนึ่ง จากนั้นก็โดนซัดและหนีจนถึงป่าภูเขานั้นสินะ…”
ชิซุยเปิดม้วนกระดาษที่ดูเหมือนเป็นรายงานการตรวจสอบจากกลุ่มนักวิจัยที่วิเคราะห์ซากศพ
และอธิบายเนื้อหาของมันราวกับรู้อย่างกับเป็นพวกมันเอง
“หนวดหลายเส้นของมันถูกตัดออก แล้วก็มีบาดแผลร้ายแรงเกิดจากใบมีดที่บิดเข้าไปในรอยบุ๋มในเปลือก ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่ออวัยวะภายใน, ฮืม?”
เขากล่าวจบลงและได้มองมาที่ผม
“ข้าก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะแต่ด้วยอุปกรณ์ที่จัดเตรียมให้กับพวกข้ารับใช้ มันก็ยากหรือไม่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างความเสียหายต่อผิวหนังด้านนอกของโยวไคที่แข็งแกร่งแบบนี้น่ะแม้ว่ามันจะได้รับบาดเจ็บอยู่ก็ตาม”
“ผมใช้มีดที่ท่านหญิงอาโออิมอบให้ขอรับ ข้าจึงสามารถทำภารกิจของกระผมสำเร็จได้ขอรับ”
ผมก็คาดเดาไว้แล้วละ สิ่งที่เขาต้องการถามและจะตอบคำถามของเขาล่วงหน้ายังไง สิ่งที่ผมพูดนั้นก็เป็นความจริงอีกด้วย
และยิ่งไปกว่านั้นการตอบคำถามก่อนด้วยความรวดเร็ว
จะทำให้เขาคิดว่าผมเชื่อฟังเขาและเขาจะไม่มีทางที่คิดว่าผมน่าสงสัยใดๆ ฮึๆ เพราะการเป็นศูตรกับเขามันน่ากลัวสุดๆ เลยละ
ดังนั้นจะปล่อยให้ความประทับใจที่มีต่อผมลดลงเด็ดขาด
“ข้าไม่ต่อว่าเจ้าหรอกนะ ที่ได้รับอาวุธจากท่านหญิงอาโออิน่ะ แต่อย่างน้อยเจ้าควรที่จะรายงานข้าก่อนสิ ข้ามีหน้าที่ที่ต้องดูแลเจ้าอยู่หรอกนะ”
ผมคิดว่าเขาน่าจะหมายถึง “การตรวจสอบและการดูแลไปด้วย” แต่เขาไม่ได้พูดมันตรงๆ
ท่ามกลางผู้ใต้บังคับบัญชาของตระกูลคิซึกิกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด และมีแนวโน้มจะก่อกบฏมากที่สุดเนื่องจากถูกปฏิบัติไม่ดีที่สุด หรือก็คือตัวข้ารับใช้นั้นเอง
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการศึกษา (โดยการล้างสมองนั้นแหละ) จากนั้นก็ถูกสาปแช่ง และถูกควบคุมข้อมูลเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือการกบฏ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าว่าเขาจะไม่อันตรายเหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบความเชื่อใจ
ดังนั้น ชิซุยจึงถูกวางไว้ต่ำกว่าสมาชิกคนอื่นในตระกูลไปหนึ่งระดับหรือก็คือเป็นหัวหน้ากลุ่มข้ารับใช้ เพราะเขามีความสามารถในการปราบกบฏด้วยตัวเขาเองเมื่อมันเกิดขึ้นยังไงละ
“ขออภัยอย่างสูงขอรับ ท่านหญิงอาโออิขอร้องข้าไว้ว่าห้ามบอกใครขอรับ”
มันไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกน้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงเช่นเดียวกัน ตอนที่เจ้าหญิงกอริลล่ามอบมีดให้ เธอไม่ยอมให้ผมปฏิเสธด้วยซ้ำแล้วบอกว่าห้ามบอกใคร แต่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามรายงานนี้นา เค้าไม่ผิดนะ
แต่ถึงงั้นก็เถอะ ที่ผมไม่ได้รายงานเพราะผมไม่ต้องการให้มีความสนใจกับตัวผมเอง หรือก็คือไม่ต้องการให้ใครรู้เหมือนกัน
ก็นะ จริงๆแล้วเธอเป็นเจ้าหญิงที่มีไหวพริบดีแม้จะมีนิสัยที่แปลกประหลาด
ถ้าชิซุยถามคำถามเธอในภายหลังละก็
เธออาจจะทำการปรับเปลี่ยนเรื่องนี้ละนะ หรืออย่างน้อยๆ เธอก็ควรที่จำเรื่องแบบนี้อีก เอาละๆ สู้เข้าละ บอกเลยผมบ่ผิดเด้อ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปเตือนเธอเอง ข้าก็ไม่ใช่เป็นคนลำเอียงในเรื่องของอารมณ์ชั่ววูบแบบนี้อยู่แล้วด้วย แต่ตราบใดที่มันยังสามารถควบคุมได้ละก็นะ ข้าก็ขอขอบคุณเจ้าละนะที่เจ้ามาบอกข้า”
อีกนัยหนึ่งก็คือข้ารับใช้ได้รับการเตือนว่าอย่าปกปิดสิ่งใดจากเขาอีกเป็นเด็ดขาด นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของสุภาษิตที่กล่าวไว้
“เอาล่ะๆ แม้อาจมีปัญหาอยู่บ้างและโชคช่วยก็ตาม แต่สุดท้ายความจริงที่ว่าเจ้าฆ่ามันได้สำเร็จก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี แม้ว่าเจ้าจะเป็นเพียงข้ารับใช้ก็ตาม แต่ความสำเร็จของเจ้าควรได้รับการชื่นชมอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน”
คำพูดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า คิซึกิ ชิซุย เป็นคนที่ไม่เคยลืมให้รางวัลหลังจากที่สั่งสอนไป
หรือก็คือ เขาก็ไม่ละเลยผมเลยแม้ว่าผมจะเป็นเพียงข้ารับใช้ก็ตาม
(แต่ว่าถึงงั้นก็เถอะที่มาของผมก็แตกต่างเล็กน้อยจากข้ารับใช้คนอื่น ๆ อยู่ดีนั้นแหละ … ดังนั้นเขาจึงระวังผมในจุดนั้นด้วย)
ผมเดาว่าเขาคิดว่าผมนั้นดูน่าสงสัยเพราะผมเคยเป็นผู้ดูแลท่านพี่ (อาเนโกะ-ซามะ) และตอนนี้อยู่ๆ ผมกลายเป็นข้ารับใช้ ดังนั้น เขาจึงพยายามแสดงถึงความใส่ใจเพื่อลดความไม่พอใจของผม
และในขณะเดียวกัน เขาพยายามสังเหตุปฏิกิริยาของผมเพื่อคาดเดาว่าผมกำลังคิดทำอะไรอยู่ด้วย
“พวกเราข้ารับใช้ประสบความสูญเสียอย่างมากเนื่องจากพวกเรานั้นได้ทำภารกิจล้มเหลวสองภารกิจก่อนหน้านี้มา มันเป็นการสูญเสียที่แสนเจ็บปวด แม้ว่านี่จะเป็นงานที่มีการลงทุนสูงตั้งแต่แรกก็ตาม แล้วก็ด้วยการสนับสนุนของเจ้า ข้าได้ขอให้เจ้าเข้ารับตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวและข้าต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อมอบคำสั่งให้เจ้าควบคุมกลุ่มอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าเจ้าจะถูกปฎิบัติใหม่อีกด้วย”
สำหรับหัวหน้ากลุ่มย่อย มันเป็นการชดเชยที่เหมาะสมและเอื้อเฟื้อชนิดหนึ่ง เพื่อป้องกันการกบฏและการสมรู้ร่วมคิดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้นเอง
ข้ารับใช้นั้นไม่มีหน่วยงานที่แน่นอน โดยปกติพวกเขาจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างลำดับชั้นบนและล่างอย่างจริงจังเพราะพวกเขาก็คิดว่าการเป็นข้ารับใช้ก็อยู่ระดับต่ำในชนชั้นเหมือนกัน
นอกจากนี้ ไม่มีลำดับชั้นที่สูงกว่าหัวหน้ากลุ่มอีกด้วย
และหัวหน้ากลุ่มจะได้รับห้องส่วนตัว ซึ่งแตกต่างจากพวกลูกน้องที่นอนรวมกันในห้องเดียวกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงถูกแยกออกจากกลุ่มอื่น ๆ และด้วยความโดดเดี่ยวนั้น การวางแผนสิ่งใด ๆ ร่วมกับพวกลูกน้องก็เป็นเรื่องยาก บรรพบุรุษของตระกูลคิซึกิที่ทำให้องค์กรนี้มีลักษณะเช่นนี้มีนิสัยไม่ดีจริงๆ เลยนะ
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะไม่ให้ท่านผิดหวัง”
…แต่ที่จริงผมก็รู้จากหนังสือมาแล้ว และผมก็ไม่คิดว่าผมจะสามารถหลุดพ้นจากตำแหน่งข้ารับใช้ด้วยวิธีเช่นนี้ได้อยู่ดี
ดังนั้นผมจึงสามารถเก็บอาการตกใจหรืออาการดีใจเพราะมันก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายขนาดนั้น
ผมจึงยอมรับการแต่งตั้งอย่างตรงไปตรงมาได้แบบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
(ใช่แล้วผมกำลังรอโอกาสที่เหมาะสมอยู่ไงละ ตอนนี้อาจยังไม่ชัดเจนแต่ต้องมีทางออกที่แน่นอนแน่ๆ จะต้องรอจนกว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เนื้อเรื่องหลักไป…)
ถ้าให้พูดแบบเข้าใจละก็ มี bad ending มากมายที่พวกข้ารับใช้หรือทั้งตระกูลคิซึกิจะถูกกวาดล้างหรือถูกทำลายล้างแน่ๆ
ดังนั้นผมจะต้องนำพระเอกไปสู่เส้นทางที่เขาสามารถทำลายธงของเส้นทางเช่นนั้นและหนีไปให้ได้(ผู้แปล พี่ชายคิดว่าเขาเป็นตัวโกงที่หลอกใช้พระเอก)
แม้ว่ามันจะยาก และสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปบางส่วนจากเกมอยู่…
แต่มันก็ยังคงเป็นไปได้ที่จะติดตามเนื้อเรื่องหลักของเกมเหมือนเดิมอยู่ดี
ผมจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นไงละ ฮึๆๆ…
“…!!!”
ตอนที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นเอง
หัวหน้าข้ารับใช้เองก็กำลังจ้องมองผมจากข้างหน้าตลอดเวลา
ผมจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ(ผู้แปล พี่ชายคิดว่าตัวเองมีความคิดแบบตัวโกง)
“…โอ้ใช่แล้วก็ เกี่ยวกับเสบียง เจ้าสามารถบอกคนทำเครื่องมือคำสาปเกี่ยวกับอาวุธและเสื้อผ้าได้ ข้าได้คุยกับพวกเขามาแล้ว”
พูดอย่างนั้นเขาก็ดึงบางอย่างออกจากกระเป๋าและยื่นให้ผม
มันคือหน้ากาก noh (ผู้แปล ใครนึกภาพไม่ออก)
(จะประมาณนี้ครับ)
ไม่ใช่หน้ากากขนาดเล็กที่ผมเคยใส่ตอนเป็นสมาชิกระดับต่ำ แต่เป็นหน้ากากโนที่แทนตัวชายชรา มันคือหน้ากากสำหรับหัวหน้ากลุ่ม
ผมโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งและรับหน้ากากนี้ไว้ ก่อนที่จะรับหน้ากาก ผู้ที่มอบให้ผมก็ยิ้มอย่างมีความหมาย(ผู้แปล ayo?)
“ทำงานให้ดีต่อไป ข้าจะอยู่ข้างเจ้านานเท่าที่เจ้ารู้หน้าที่ของเจ้าในฐานะข้ารับใช้ และสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลคิซึกิ และอุทิศตนเพื่อหน้าที่ของเจ้าด้วยความจริงใจและความทุ่มเท”
ผมรู้สึกเย็นที่คอและเหงื่อออกเย็นเฉียบ อาจเป็นคำเตือน ถ้าผมพูดอะไรผิดไปละก็
คอกุจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอนเลยละ
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
ผมตอบสั้น ๆ จากนั้นสักครู่หนึ่งก็เกิดแรงกดดันจากพลังวิญญานก็ได้หลั่งไหลเข้ามาก็เติมเต็มห้อง… และมันใช้เวลาประมาณสิบวินาทีจึงจะสงบลง
“…รีบใส่หน้ากากสะเถอะ ข้ายังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย”
เมื่อแรงกดดันจากพลังวิญญานที่หนาแน่นลดลงอย่างสมบูรณ์ เขาจึงเรื่มพูด
ผมใส่หน้ากากบนใบหน้าอย่างเงียบ ๆ และพยายามหยุดมือที่กำลังสั่น
กุยังไม่อยากตายหรอกนะโว้ย
“เจ้าไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
ผมตอบคำสั่งจากหัวหน้าข้ารับใช้ด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบและหันตัวกลับ
(พ่องมึงอ่ะ กุอยู่ที่นี้ต่อไปคงจะโดนฆ่าตอนไหนก็ได้ เหี้ยเอ๊ย)
ผมรู้ว่าหัวใจของผมนั้นเต้นแรง ผมพยายามทำใจให้สงบและซ่อนอารมณ์ของตัวเองเหมือนข้ารับใช้ปกติ
พยายามหลีกเลี่ยงความประหม่าและความกลัวที่ทำให้ขาเกือบทรุด
แต่ว่าสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น
ข่าวร้ายที่สุดสำหรับผมอาจเป็นการรายงานสิ่งที่ผมรายงานให้ในตอนแรก
เพราะตอนนี้ เขามองดูหลังของผมและกำลังพูดราวกับพึ่งจำได้
“โอ้ ช่ๆ ข้าว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลัง แต่ข้าว่าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ โทโมเบะคุง เจ้าได้ร่วมทางไปกับข้าในการเดินทางครั้งต่อไปไปยังเมืองหลวง ข้าคาดหวังให้เจ้าเตรียมตัวและเต็มใจทำหน้าที่ของเจ้า”
“ขอรับ?”
นานิ?!?
คำพูดสุดที่จะไร้ความปรานีและกะทันหันของคิซึกิ ชิซุย ทำให้ผมลืมเรื่องการแสดงของผมทีกำลังอยู่และให้คำตอบโง่ ๆ เช่นนั้นไป
เวรเอ๊ยภารกิจนี้เป็นภารกิจที่แย่ที่สุดในสถานที่ที่แย่ที่สุดในเวลาที่แย่ที่สุดแล้วละ
ยังไงก็ตาม นี่เป็นช่วงเวลาของคิซูริ ชิโรกิ (狐璃白綺) หนึ่งในนางเอกจาก “หิ่งห้อยแห่งราตรีกาล (Yamiyo no Hotaru)” และหนึ่งในตัวละครอสูรที่โด่งดังที่สุดในเกม… ต้นกำเนิดของเธอกำลังจะเริ่มขึ้นในเมืองหลวง..