ตอนที่ 335 เยือนเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยนอีกครั้ง
การที่เย่ฉางชิงมอบกระบี่ให้ตู๋กูชิงเฟิงเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน
‘กระบี่จักรพรรดิ ! ’
‘สิ่งนี้เป็นถึงสมบัติพิสุทธิ์ในตำนานเชียวนะ ! ’
แต่เขากลับมอบให้แก่ตู๋กูชิงเฟิง โดยมิมีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ความใจกว้างเช่นนี้ นับแต่อดีตมาจนถึงบัดนี้จะมีสักกี่คนที่ทำได้กัน ?
ขณะเดียวกัน เมื่อเย่ฉางชิงเห็นว่าเหล่ามารทั้งหลาย ต่างมองเขาด้วยสายตายกย่องเทิดทูนเช่นนี้ เขาจึงอดมิได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจออกมา
ความจริงแล้วหากมิใช่ความฝัน กระบี่จักรพรรดิในตำนานเล่มนี้ เขาย่อมต้องรู้สึกเสียดายอยู่แล้ว
เพราะในความเป็นจริง แม้เขามีสมบัติพิสุทธิ์อยู่หลายชิ้นก็จริง
แต่เมื่อเทียบกับกระบี่จักรพรรดิที่มีพลังทำลายล้างน่ากลัวเล่มนี้แล้ว สมบัติพิสุทธิ์ที่เขามีล้วนดูธรรมดาไปแทบจะทันที
และนับตั้งแต่เขาสามารถบำเพ็ญเพียรได้ เขาก็อยากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ ที่สามารถขี่กระบี่เหาะเหินออกไปท่องโลกยังที่ต่าง ๆ ได้ตามใจปรารถนา
จินตนาการดูก็รู้แล้วว่าหากนี่คือเรื่องจริง กระบี่จักรพรรดิเล่มนี้จะมีความหมายต่อเขามากมายเพียงใด !
และยิ่งเห็นตู๋กูชิงเฟิงหลงใหลกระบี่จักรพรรดิถึงเพียงนี้
ตัวเขารู้ดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความฝัน
เมื่อเขาตื่นขึ้น เรื่องทั้งหมดก็จะเหมือนหมอกควันที่จางหายไป
เช่นนั้นเมื่อตู๋กูชิงเฟิงชื่นชอบมันถึงเพียงนี้ มิสู้มอบให้นางไปคงดีกว่า
“ฉางชิง เจ้าจะมอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้าจริง ๆ น่ะหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงมีสีหน้าสับสน ขณะถามเย่ฉางชิงด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
เย่ฉางชิงมีท่าทีนิ่งสงบ ก่อนจะพยักหน้าและยิ้มออกมา “เจ้าชอบหรือไม่ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย พลางพยักหน้ารับเบา ๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้เถอะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยหยอกล้อต่อว่า “นี่เป็นถึงกระบี่จักรพรรดิในตำนาน แม้ข้าจะมีสมบัติพิสุทธิ์หลายชิ้น ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นถึงกระบี่จักรพรรดิ ระวังข้าจะเอาคืนทีหลังล่ะ”
ตู๋กูชิงเฟิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะจัดการเก็บกระบี่จักรพรรดิให้เรียบร้อย ตามที่เย่ฉางชิงบอก
ตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงมองหน้าตู๋กูชิงเฟิงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกวาดสายตามองเหล่ามารทั้งหลาย
“ข้าช่วยแก้จุดบกพร่องแต่กำเนิดให้พวกเจ้าแล้ว”
เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยนำเสียงจริงจัง “และจากนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งหมดกลับไปยังดินแดนบรรพบุรุษ และจะผนึกเอาไว้ที่นั่นหมื่นปี”
ได้ยินเช่นนั้นเหล่ามารทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน
มินานพวกเขาก็ลอบสื่อสารกันผ่านทางสายตา ก่อนจะหันไปมองทางตู๋กูชิงเฟิง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามิอยากถูกผนึกเอาไว้ ที่ดินแดนบรรพบุรุษยาวนานถึงหมื่นปีเช่นนี้
แต่กลับต้องยอมจำนน เพราะนี่ถือเป็นความประสงค์ของผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ หาใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถขัดขืนได้
อีกทั้งผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านนี้ ยังมอบสมบัติพิสุทธิ์ในตำนาน ให้แก่ท่านจักรพรรดิของพวกเขาได้อย่างง่ายดายเพียงนั้น
นั่นแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ จะต้องลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็นอย่างแน่นอน
เช่นนั้นจึงทำได้เพียงฝากความหวังเอาไว้ที่ท่านจักรพรรดิเท่านั้น
เห็นเช่นนั้นแล้ว
“พวกเจ้ามิต้องมองข้าเช่นนี้”
ตู๋กูชิงเฟิงไตร่ตรองอยู่สักพัก ก็ได้เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ว่าจะมิยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องใด ๆ ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์อีก”
“แต่เห็นแก่ที่ภายในกายของข้าส่วนหนึ่งยังมีสายเลือดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ ข้าจะบอกอะไรให้ฟังสักอย่าง”
เอ่ยถึงตรงนี้ตู๋กูชิงเฟิงก็หันไปสบตากับเย่ฉางชิงเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยต่อว่า “การที่ฉางชิงทำเช่นนี้ มิได้มีอะไรมาก”
“เนื่องจากเผ่าของเรามีข้อบกพร่องตั้งแต่กำเนิด จึงทำให้มีนิสัยโหดร้าย อารมณ์รุนแรง บัดนี้แม้ข้อบกพร่องตั้งแต่กำเนิดจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ยังต้องถูกกักขังเอาไว้เพื่อขัดเกลาจิตใจให้ถึงหมื่นปี”
“อีกทั้งฉางชิงมิต้องการที่จะเห็น พวกมนุษย์และเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเราก่อสงครามกันอีก เช่นนั้นจึงต้องทำเช่นนี้”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารโดยการนำของจอมมารเนตรทิพย์ รวมทั้งกองทัพฝ่ายมารนับแสนตนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
สิ่งที่ท่านจักรพรรดิอธิบายมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
บัดนี้ข้อบกพร่องแต่กำเนิดของพวกเขาแม้จะได้รับการแก้ไขแล้วก็จริง ทว่าการจะขัดเกลาจิตใจอันโหดร้ายและรุนแรง ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น มิมีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
เช่นนั้นการผนึกพวกเขาเอาไว้ในดินแดนบรรพบุรุษ ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นี่ถือเป็นความประสงค์ของผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ หาใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถขัดขืนได้ไม่
มิเช่นนั้นมิเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา อาจจะต้องกลับไปอย่างดินแดนรกร้างทางเหนือที่หนาวเหน็บแห่งนั้นอีกครั้งก็เป็นได้
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านนี้ อาจทำให้เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา หายไปจากโลกใบนี้เสียก็เป็นได้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก จอมมารเนตรทิพย์จึงโค้งคำนับลงอีกครั้ง
มินาน มารตนอื่น ๆ ก็ได้โค้งคำนับตาม
“พวกเราน้อมรับคำสั่งของผู้อาวุโสและท่านจักรพรรดิ ! ”
ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็กึกก้องไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงก็ได้สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ก่อนจะเพ่งสมาธิ
วินาทีต่อมา ในรัศมีร้อยลี้ก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยไอพลังมรรคาจำนวนมหาศาล ก่อนที่ห้วงอากาศจะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น จนกลายเป็นระลอกคลื่น ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เพียงพริบตากองทัพมารจำนวนมากก็เริ่มเลือนลางลง ก่อนจะหายวับไปในอากาศ
เมื่อเห็นภาพอันน่าอัศจรรย์และงดงามเช่นนี้
เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น ภายในใจเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา
‘นี่คือความรู้สึกของการเป็นผู้ไร้เทียมทานเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่ความรู้สึกนี้ เหตุไฉนถึงมิได้มีความสุขอย่างที่คิดเอาไว้เลย’
‘มิว่าจะเป็นเรื่องอะไร เพียงแค่คิดก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย’
‘ราวกับมิได้ลงมือทำอะไรเลยแม้แต่น้อย ! ’
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะลอบบ่นอยู่ภายในใจ
‘ตอนนี้ดูเหมือนว่า บางครั้งผลลัพธ์หาได้สำคัญอย่างที่คิดไม่ กลับกับเรื่องราวระหว่างทางต่างหากสำคัญที่สุด’
‘ต่อให้เรื่องทั้งหมดนี้มิใช่ความฝัน แต่การเป็นผู้ไร้เทียมทานที่ทำอะไรได้ตามใจปรารถนาเช่นนี้ ช่างน่าเบื่อจริง ๆ ’
ตอนนั้นเองตู๋กูชิงเฟิงก็หันมาเอ่ยกับเย่ฉางชิง ด้วยท่าทีเกรงใจว่า “ฉางชิง ขอบใจเจ้ามากนะ”
เย่ฉางชิงจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม ๆ ให้นางเพียงเท่านั้น
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก
“ชิงเฟิง เจ้าอยากจะไปท่องโลกใบนี้กับข้าหรือไม่ ? ”
จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็เอ่ยขึ้นมา
ความจริงแล้วเย่ฉางชิง มีความคิดที่อยากจะไปท่องกว้างมาตั้งนานแล้ว
แต่ในความเป็นจริง เนื่องจากตบะบารมีของเขานั้นต่ำต้อยเกินไป จึงทำให้มิสามารถทำอย่างที่ใจต้องการได้
ทว่าเวลานี้กลับต่างออกไป แม้ว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน แต่เยี่ยงไรตอนนี้เขาขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานแล้ว
แต่ขณะที่เขากล่าวประโยคนี้ออกไป
เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
หากจู่ ๆ ตื่นจากความฝันขึ้นมาเล่า ?
ตู๋กูชิงเฟิงลังเลเล็กน้อย “ฉางชิง เจ้าจะไปแล้วจริง ๆ หรือ ? ”
‘ไป ? ’
‘เจ้าหมายถึงขึ้นสวรรค์งั้นหรือ ? ’
เย่ฉางชิงอดมิได้ที่จะชะงักงันไป ก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้นน้อย ๆ
หากสามารถทำตามที่ใจปรารถนาเช่นในความฝันได้ เขาย่อมมิมีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน
ส่วนสวรรค์นั้น เขาเองก็ใฝ่ฝันที่จะขึ้นไปสักครั้ง
“เรื่องนี้… ก็ยังมิแน่”
เย่ฉางชิงยิ้มออกมา พร้อมตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
ตู๋กูชิงเฟิงพยักหน้ารับ จากนั้นจึงเป็นฝ่ายจับแขนเย่ฉางชิงเสียเอง
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปท่องโลกใบนี้กันเถอะ”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยพลางยิ้มหวานออกมา
เย่ฉางชิงพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็ได้ขยับตัว
เสี้ยววินาที ร่างของทั้งสองก็ค่อย ๆ เลือนลางลง ก่อนจะหายวับไปในความว่างเปล่า
มิกี่อึดใจต่อมา
ทั้งสองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ที่ด้านนอกเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยน
…………………………..
ในวันเดียวกันนี้เอง ข่าวดีถึงสองเรื่องก็แพร่สะพัดไปยังลัทธิเต๋าทั่วทั้งจงหยวน ภายในเวลามิถึงหนึ่งก้านธูป
กองทัพมารนับแสนที่บุกเข้าดินแดนทางเหนือของจงหยวน จู่ ๆ ราวกับหายวับไปจากโลกก็มิปาน
ขณะเดียวกัน ก็ได้มีสตรีที่สวมอาภรณ์สีเขียว ทว่ากลับมีพลังแข็งแกร่ง มือถือสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งเอาไว้ และไล่สังหารสิ่งมีชีวิตโบราณมากมายด้วยตัวคนเดียว
มิเพียงเท่านั้น สตรีที่สวมอาภรณ์สีเขียว และมีพลังแข็งแกร่งนางนี้ ยังได้ไล่สังหารสิ่งมีชีวิตโบราณตามดินแดนต้องห้ามทั่วทั้งจงหยวนอีกด้วย
คิดดูก็รู้แล้วว่าสตรีที่สวมอาภรณ์สีเขียวนั้นต้องการจะทำสิ่งใด
ทันใดนั้น ลัทธิเต๋าทั่วทั้งจงหยวนก็เกิดความโกลาหลขึ้น