ตอนที่ 318 นอกเสียจากนายท่านจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วย
ได้ยินเช่นนั้น เทพหลิวก็มองตู๋กูชิงเฟิงอย่างมีเลศนัย หลังจากลังเลเล็กน้อย นางจึงพยักหน้ายอมรับ
“นึกมิถึงว่า…”
ตู๋กูชิงเฟิงมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที อดมิได้ที่จะมองเทพหลิวใหม่อีกครั้ง
เพราะตอนอยู่ที่เขายลสรวง
ขณะที่ค่ายกลสังหารอันน่าสะพรึงกลัวมากมายที่อยู่รายรอบเขายลสรวงถูกกระตุ้นขึ้นจนหมด
ต้นหลิวลึกลับที่อยู่ด้านหลังของนางต้นนั้นพลันโน้มลงมาพร้อมแสงสว่างเจิดจ้า ก่อนที่สัญลักษณ์โบราณมากมายจะปกคลุมนางเอาไว้
จึงช่วยให้นางรอดพ้นจากความตายมาได้
จินตนาการดูก็รู้แล้วว่าในตอนนั้น พลังของต้นหลิวนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
แต่สิ่งที่นางสงสัยมากที่สุดก็คือ ตอนนั้นมีศิษย์ลัทธิเต๋าอีกเกือบร้อยคน เหตุใดกลับช่วยนางเพียงคนเดียวเล่า ?
แต่ยังมิทันที่ตู๋กูชิงเฟิงจะได้เอ่ยปากถาม เทพหลิวก็เหมือนจะอ่านความคิดของนางออก
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังสงสัยเรื่องอะไร”
เทพหลิวจึงเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ชีวิตเช่นพวกเรานั้น หากต้องการจะกำเนิดปัญญา จำเป็นจะต้องรวบรวมจิตวิญญาณฟ้าดินจำนวนมาก และนับตั้งแต่ตอนเกิดปัญญาไปจนถึงรู้แจ้งมหามรรคานั้นก็จะยาวนานยิ่งนัก”
“ส่วนเหตุผลที่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ในตอนนั้นเป็นเพราะ ในร่างของเจ้ามีสายเลือดของเผ่าแม่มดไหลเวียนอยู่ ส่วนข้าในตอนที่เพิ่งกำเนิดปัญญานั้น เคยได้รับของขวัญล้ำค่าจากเผ่าแม่มดของพวกเจ้า จึงถือว่าติดหนี้บุญคุณเผ่าแม่มดของเจ้าอยู่”
สิ้นเสียง
‘สายเลือดเผ่าแม่มด ? ’
ตู๋กูชิงเฟิงได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ท่าทางเต็มไปด้วยความงงงวย
“ข้าจำได้ว่าบิดาของข้าเป็นนักรบของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมารดาของข้านั้นเป็นมนุษย์ เช่นนั้นภายในกายของข้าจึงมีสายเลือดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์และสายเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ แล้วข้าจะมีสายเลือดของเผ่าแม่มดได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงมองใบหน้าเรียบนิ่งของเทพหลิว พร้อมเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
เทพหลิวเพียงแค่ยกมือขึ้นโบกปัดเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ อธิบายว่า “เจ้าคงรู้ดีมิว่าจะเป็นสมัยบรรพกาลหรือในยุคนี้ สำหรับมนุษย์และเผ่าปีศาจแล้ว เผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นถูกขนานนามว่าเผ่ามารใช่หรือไม่ ? ”
“นับตั้งแต่ที่ข้ามีสติปัญญา มิว่าจะเป็นยุคบรรพกาลหรือว่ายุคนี้ล้วนแต่ยาวนานยิ่งนัก”
หลังจากชั่งใจเล็กน้อย ภายในดวงตาของเทพหลิวคู่นั้นก็เปล่งประกายสีเขียวออกมา พร้อมเอ่ยต่อว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ทายาทของเผ่าแม่มดแต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง แต่เมื่อบำเพ็ญเพียรจนถึงช่วงท้าย จะมิสามารถรู้แจ้งถึงจิตแท้ของมหามรรคาได้”
“ต่อมาข้าก็ได้รับความทรงจำของผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจตนหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงได้รู้ว่าเคยมีคัมภีร์โบราณบันทึกเอาไว้ว่า เผ่าแม่มดนั้นขาดความรู้สึกนึกคิดตั้งแต่กำเนิด ทำให้คนของเผ่าแม่มดนั้นโหดร้ายทารุณชอบเข่นฆ่าเอาชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงได้ถูกเรียกว่ามารอย่างไรเล่า”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
ที่ต้นหลิวลึกลับต้นนี้พูดมามีเหตุผลจริง ๆ
ในสมัยบรรพกาลคนในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของนาง ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์รุนแรง มักจะทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เสมอ มิเพียงแต่เข่นฆ่ามนุษย์เท่านั้น แม้แต่เผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งในตอนนั้นก็ยังเปิดศึกกันอยู่เนือง ๆ
เช่นนั้นด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าเผ่ามาร
นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลังจากเผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมาแล้ว จึงเกิดสงครามครั้งใหญ่ทางแดนเหนือขึ้น
“แต่ที่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ที่เขายลสรวงนั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็เพราะภายในกายของเจ้าแม้มีสายเลือดของเผ่าแม่มด ทว่าก็ยังมีสายเลือดของเผ่ามนุษย์อยู่ด้วย”
ต้นหลิวยังได้เอ่ยต่ออีกว่า “ต้องยอมรับว่านี่เป็นความเห็นแก่ตัวของข้า”
“เพราะข้าคิดว่าหากสามารถแก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดของเผ่าแม่มดบนกายของเจ้าได้ จากนั้นก็จะสามารถให้เผ่าแม่มดทั้งหมดได้รู้แจ้งจิตแท้ของมหามรรคา เพื่อยับยั้งนิสัยอันโหดร้าย นี่จะต้องเป็นบุญกุศลที่ประมาณค่ามิได้อย่างแน่นอน”
“และด้วยบุญกุศลนี้สำหรับข้าแล้ว นี่จะต้องเป็นโอกาสและวาสนาที่ยิ่งใหญ่อย่างมิต้องสงสัย”
เอ่ยถึงตรงนี้มุมปากของเทพหลิวก็ค่อย ๆ ยกขึ้น เผยรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองขึ้นมา “แต่น่าเสียดาย ที่ในตอนนั้นแม้ข้าจะรู้ผลที่ได้รับ แต่กลับคิดหาหนทางที่จะทำให้แผนนี้เป็นจริงมิได้”
“จากนั้นรอยประทับที่ข้าทิ้งเอาไว้บนกายของเจ้า ก็ถูกลบด้วยเคล็ดวิชาโบราณบางอย่าง ข้าจึงได้ขจัดความคิดนี้ออกไปจนสิ้น”
หลังจากได้ฟังประโยคนี้จากเทพหลิว
คิ้วของตู๋กูชิงเฟิงก็ขมวดขึ้นเบา ๆ สีหน้าเย็นชาลงภายในพริบตา
ขณะเดียวกัน แววตาพลันเปล่งประกายเย็นเยียบออกมา
ทว่าในวินาทีต่อมา ขณะที่นางบังเอิญมองเข้าไปในครัว จิตสังหารภายในใจก็มลายหายไปในทันที
เวลานี้หลังจากใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อแล้ว
เย่ฉางชิงก็เดินมาที่หน้าต่างอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง เพื่อแอบฟังบทสนทนาระหว่างตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิวด้วยความสนใจ
โดยเฉพาะเมื่อเทพหลิวอธิบายถึงประวัติของเผ่าแม่มด
เขาก็นึกถึงตำนานโบราณบางอย่างในโลกนั้นขึ้นมาได้โดยบังเอิญ
โดยเขาก็จำได้ลาง ๆ ว่า ในโลกนั้น ก็มีตำนานเกี่ยวกับแม่มดด้วยเช่นกัน
เพียงแต่การจะแก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดของเผ่าแม่มดนั้น จำเป็นจะต้องได้รับตราประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมจากเทพบรรพบุรุษ
ทว่าในโลกบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ในเมื่อมีเผ่าแม่มดเหมือนกัน เช่นนั้นหรือว่าขอเพียงมีตราประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมจากเทพบรรพบุรุษสักองค์ ก็จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิดของเผ่าแม่มดได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาทำการสอนที่เมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยน ฟ้าได้ประทานสมบัติพิสุทธิ์มาให้ และตอนอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็ยังได้รับสมบัติพิสุทธิ์มาอีกถึงสองชิ้น
แม้ตอนนี้จะยังมิรู้ว่าสมบัติพิสุทธิ์สามชิ้นนี้ทรงพลังมากเพียงใด แต่การที่เขาได้รับสมบัติพิสุทธิ์ทั้งสามชิ้นนี้มาง่าย ๆ
เช่นนั้นเขาจึงคิดว่าพลังก็คงจะมิได้แข็งแกร่งเท่าไรนัก
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะแอบเพ้อฝัน
‘มีข่าวลือว่าเผ่ามารนั้นมีทหารหลายแสนตน หากสามารถแก้ไขข้อบกพร่องโดยกำเนิดของพวกเขาได้ และได้สมบัติพิสุทธิ์ชิ้นใหม่จะต้องเป็นสิ่งที่คาดมิถึงอย่างแน่นอน’
มินานเย่ฉางชิงก็ส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปทันที ‘เย่ฉางชิงเอ๊ยเย่ฉางชิง เจ้ากำลังเพ้อฝันอะไรอยู่ คิดจริง ๆ น่ะหรือว่าด้วยตบะบารมีระดับรวมชีพจรขั้นกลางของเจ้า จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิดของกองทัพมารหลายแสนตนได้ ? ’
‘จิตวิญญาณดั้งเดิมคืออะไร เจ้ารู้หรือไม่ ? ’
ในตอนนั้นเอง ขณะที่ตู๋กูชิงเฟิงหันมา
เย่ฉางชิงที่กำลังยิ้มเยาะตัวเองอยู่ก็อดมิได้ที่จะขนลุกชันขึ้นมา ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ’
‘หรือว่าจักรพรรดิมารตนนั้นจะได้ยินอะไรเข้า ? ’
‘มิใช่หรอกกระมัง ! ’
‘แต่เหตุใดสายตาของนางถึงได้น่ากลัวเช่นนั้นเล่า ? ’
‘เจ้าอย่าเข้ามานะ ! ’
‘เสี่ยวหลิวยังอยู่ที่นี่นะ ! ’
‘ข้าจะเรียกนางจริง ๆ นะ ! ’
………………………
ขณะเดียวกัน วินาทีที่สายตาของทั้งสองต่างสบกันโดยมิได้ตั้งใจนั้น
เมื่อสังเกตุเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาของเย่ฉางชิงมีความหวาดระแวงอะไรบางอย่าง
พลันตู๋กูชิงเฟิงก็มีท่าทีอ่อนลง จิตสังหารอันแรงกล้าภายในใจเมื่อครู่จางหายไปทันที
‘ที่ฉางชิงมีท่าทางเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในใจของข้าเป็นแน่’
‘มิได้ ! ’
‘จะทำให้ฉางชิงผิดหวังอีกมิได้’
มินานในหัวของตู๋กูชิงเฟิง ก็ปรากฏภาพก่อนที่เขาคนนั้นจะกายแตกสลาย เต๋าสูญสิ้น ขึ้นมา
ซึ่งในตอนนั้นเขาก็มีท่าทางเหมือนกับเย่ฉางชิงในเวลานี้มิมีผิด
ขณะเดียวกัน เสียงที่เกือบจะสิ้นหวังดังก้องขึ้นในโสตประสาท
‘ชิงเฟิง ปล่อยวางจิตสังหารภายในใจเจ้าเสียเถอะนะ’
หลังจากได้สติขึ้นมา ตู๋กูชิงเฟิงจึงได้สาบานกับตัวเองในใจว่า ‘ฉางชิง เจ้าวางใจเถอะ นับแต่นี้ไป ข้าจะมิมีจิตสังหารใด ๆ อีกแล้ว’
ตอนนั้นเอง มุมปากเทพหลิวก็ค่อย ๆ โค้งขึ้น เอ่ยราวกับขบขันว่า “เจ้าจะสังหารข้าที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หากมิใช่วันนี้เวลานี้ ข้าคงลงมืออย่างมิลังเลใด ๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าทำมิได้แล้ว และภายหน้าก็คงทำมิได้เช่นกัน”
เทพหลิวจึงฉีกยิ้มออกมา พร้อมเอ่ยประโยคที่แฝงความหมายลึกซึ้งว่า “ดูเหมือนเจ้าจะเห็นด้วยกับข้าในตอนนั้นแล้วสินะ แต่การจะแก้ไขข้อบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิดของเผ่าแม่มดนั่น เส้นทางนี้มิง่ายเลย”
“แน่นอนว่า นอกเสียจากนายท่านจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วย”