ตอนที่ 304 เสี่ยวหลิว เรื่องนี้คงมิเหนือบ่ากว่าแรงเกินไปใช่หรือไม่ ?
เวลานี้หลัวชุนเฟิงเริ่มรู้สึกหมดความอดทนเต็มที
หากมิใช่เพราะที่นี่เป็นที่พำนักของผู้อาวุโสเย่ เขาอยากจะตบหัวตาแก่เรื่องมากผู้นี้เสียจริง ๆ
แดนใต้แตกพ่าย กองทัพปีศาจนับแสนบุกเข้าจงหยวน ศิษย์ลัทธิเต๋านับแสนคนต้องล้มตาย
คิดดูก็รู้แล้วว่าจิตใจของเขาในตอนนี้ย่ำแย่เพียงใด !
หากมิใช่เพราะเขาเคยพบหน้าผู้อาวุโสเย่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเพียงครั้งเดียวแล้วละก็ เขาคงมิต้องมาถามเรื่องที่พำนักของผู้อาวุโสเย่เช่นนี้หรอก
‘ข้าเพียงต้องการทราบที่พำนักของผู้อาวุโสเย่ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าต้องการหมอเพื่อรักษากัน ? ’
‘เจ้าต่างหากที่ประสาท ! ’
‘บ้านเจ้าสิประสาทกันทั้งบ้าน! ’
“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นอะไรมางั้นหรือ ? ”
เถ้าแก่เว่ยเอ่ยถามอีกครั้ง “หรือว่าใกล้ ๆ เมืองเสี่ยวฉือมีโจรภูเขา ? ”
“มิใช่สิ โจรภูเขาอะไรถึงได้เลือกออกมาปล้นฆ่าใกล้เมืองเสี่ยวฉือเช่นนี้”
“นอกจากที่นี่จะมิมีขบวนพ่อค้าผ่านมาแล้ว ที่นี่ยังอยู่ในเขตความดูแลของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอีกด้วย เจ้าโจรภูเขาพวกนี้ช่างมิรู้เรื่องรู้ราวอะไรบ้างเลย!”
“พวกมันยังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่ ถึงได้ลงมือกับคนแก่เช่นท่านได้ เฮ้อ โลกเราตกต่ำลงจริง ๆ สินะ ! ”
หลัวชุนเฟิงปรายตามองเถ้าแก่เว่ยที่พูดมิหยุดด้วยความโมโห ก่อนจะหมุนตัวจากไปทันที
จากนั้นหลัวชุนเฟิงก็สืบถามไปทั่ว จนในที่สุดด้วยการนำทางของช่างตีเหล็กซ่ง จึงได้มาถึงหน้าประตูเรือนของเย่ฉางชิงในที่สุด
ขณะเดียวกัน แม้จู่ ๆ จะมีภรรยาที่งดงามราวกับเทพธิดาเพิ่มขึ้นมาถึงสองคน ทว่าช่วงที่ผ่านมาอารมณ์ของเย่ฉางชิงกลับมิค่อยดีเท่าไรนัก
กลับกันผู้ที่รู้ความจริงทุกอย่างเช่นเขา ในทุก ๆ วันกลับต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดันบางอย่าง ช่างน่าอึดอัดใจยิ่งนัก
มิเพียงเท่านั้น เขาก็ยังต้องมากังวลเรื่องหินหุนหยวนที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรอีก
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวนั้น
นอกเรือนก็มีเสียงชราที่ฟังดูคุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ท่านเย่ ผู้น้อยหลัวชุนเฟิงมาขอพบขอรับ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ลืมตาขึ้น จากนั้นก็เผยสีหน้าฉงนออกมา
‘หลัวชุนเฟิง ? ’
‘ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘หลัวชุนเฟิงผู้นี้เหมือนจะเป็นเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวนี่นา ! ’
คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็รีบลุกขึ้นยืน และเดินไปเปิดประตูทันที
ทว่าในวินาทีที่เขาเปิดประตูออก
ร่างทั้งร่างพลันนิ่งค้างอย่างห้ามมิได้
‘ชายชราที่คราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้นี้ เป็นเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวจริง ๆ แล้วเขาจะมาที่นี่ด้วยสภาพนี้ทำไมกัน ! ’
‘ขอภาพอักษรพู่กันและภาพวาดเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่ดูท่าทางก็มิจะใช่นี่นา ! ’
“ผู้น้อยหลัวชุนเฟิงคารวะท่านเย่ขอรับ”
หลัวชุนเฟิงโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง ด้วยท่าทางนอบน้อม
เย่ฉางชิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา
“เจ้าสำนักหลัว เชิญเข้ามาคุยกันด้านในเถอะ”
เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ
แม้เจ้าสำนักต้าหลัวตรงหน้าท่านนี้จะมีสภาพสะบักสะบอม แต่ดูจากหน้าตาแล้วยังคงเป็นเจ้าสำนักต้าหลัว ที่เขาเคยพบที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจริง ๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมมิอาจปล่อยให้เจ้าสำนักต้าหลัวท่านนี้ ตากลมอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานได้
ทว่าขณะที่เย่ฉางชิงเดินนำเข้าไป
วินาทีที่หลัวชุนเฟิงเข้ามาในเรือน แล้วหมุนตัวไปปิดประตูเสร็จแล้วนั้น
“ตุบ ! ”
หลัวชุนเฟิงพลันน้ำตาไหลอาบแก้ม พร้อมกับทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นในทันที
“ผู้อาวุโสเย่ ลัทธิเต๋ากำลังตกอยู่ในอันตรายขอรับ ! ”
หลัวชุนเฟิงโขกหัวลงกับพื้น พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บแค้น
‘ลัทธิเต๋ากำลังตกอยู่ในอันตราย ? ’
เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปทันที เมื่อหมุนตัวไปแล้วพบว่าหลัวชุนเฟิงกำลังหมอบอยู่ที่พื้น ก็ตะลึงงันอีกครั้ง
‘เจ้าสำนักต้าหลัว ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร ? ’
‘ลัทธิเต๋าตกอยู่ในอันตราย แล้วเกี่ยวอะไรกับข้ากัน ? ’
‘อีกอย่างเจ้าเองก็เป็นถึงเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่’
‘ควรจะมีศักดิ์ศรีหน่อยได้หรือไม่ ? ’
คิดได้เช่นนั้น มุมปากเย่ฉางชิงก็กระตุกขึ้นทันที
ทว่าในวินาทีต่อมา เหมือนว่าเขาจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้
‘ลัทธิเต๋ากำลังตกอยู่ในอันตราย ? ’
‘บรรพจารย์เย่ท่านนั้นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ! ’
‘มิใช่หรอกกระมัง ! ’
‘เจ้าคงมิคิดจะให้ข้าออกหน้าไปแก้ไขวิกฤตให้กับลัทธิเต๋าหรอก ใช่หรือไม่ ? ’
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงจึงแสดงท่าทางให้ดูสงบนิ่งมากขึ้น
“เจ้าสำนักหลัว ท่านลุกขึ้นมาพูดกันดี ๆ เถอะ”
เย่ฉางชิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับเอามือไพล่หลัง
ทว่าหลัวชุนเฟิงก็ยังคงหมอบอยู่ที่พื้นราวกับมิได้ยิน
“มินานมานี้ จักรพรรดิมารแห่งแดนรกร้างทางเหนือได้ทำลายผนึกและออกมาสู่โลกภายนอกได้สำเร็จ จากนั้นก็ได้นำกองทัพมารนับล้านบุกเข้าทางด้านกำแพงทางทิศเหนือ”
“ในวันเดียวกันนั้น เผ่าปีศาจแห่งเทือกเขาแดนใต้ก็อาศัยโอกาสบุกเข้าโจมตีแดนใต้ของจงหยวนเช่นกัน คนในลัทธิเต๋าของเรานับแสนคน ยืนหยัดต่อสู้อยู่หลายวันจนบาดเจ็บล้มตายกันเกือบหมด ทว่าสุดท้ายก็ยังมิอาจสู้ได้ แดนใต้จึงพ่ายแพ้ในที่สุด กองทัพปีศาจนับแสนตนจึงบุกเข้าจงหยวนได้สำเร็จขอรับ”
“บัดนี้แม้แดนเหนือจะยังคงต้านทานเอาไว้ได้ แต่ตามข่าวที่แดนเหนือส่งมานั้น ลัทธิเต๋าต่างสูญเสียคนไปจำนวนมาก สุดท้ายเกรงว่าคงยากที่จะต้านกองทัพฝ่ายมารได้เช่นกัน”
“เช่นนี้ต่อไปจงหยวนจะต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกย่อมหญ้า ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย เช่นนั้นผู้น้อย หลัวชุนเฟิง จึงต้องการขอให้ท่านเย่ได้โปรดยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเราด้วยขอรับ”
หลัวชุนเฟิงยังคงก้มหน้าอยู่บนพื้น แม้จะเห็นสีหน้ามิชัด ทว่าน้ำเสียงกลับโศกเศร้าและเต็มไปด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้น
เขาก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว มีเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาท
‘กองทัพปีศาจนับแสน ! ’
‘กองทัพมารนับล้าน ! ’
‘ลัทธิเต๋าในจงหยวนรวมกำลังทั้งหมดแล้ว ก็ยังมิอาจขวางทั้งสองกองทัพนี้ได้ ! ’
‘เช่นนี้ภายภาคหน้าจงหยวนมิเท่ากับเป็นดินแดนของพวกมารและปีศาจหรอกหรือ มนุษย์ก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและตกเป็นทาสในที่สุด ? ’
‘ยิ่งไปกว่านั้นศึกในครานี้ลัทธิเต๋าออกหน้าขัดขวาง เช่นนั้นเผ่าปีศาจและฝ่ายมารก็จะต้องสังหารลัทธิเต๋าในจงหยวนให้สิ้นซากเป็นแน่’
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พร้อมกับลอบบ่นอยู่ภายในใจ
บังเอิญหลุดมาในโลกนี้ แถมยังมิมีดัชนีทองคำอะไรนั่นกับเขาด้วยซ้ำ แม้แต่รากวิญญาณที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรก็ยังต้องให้คนอื่นประทานให้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังถูกคนทั่วทั้งลัทธิเต๋าเข้าใจผิด คิดว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอะไรนั่นอีก
มิหนำซ้ำตอนนี้ !
จงหยวนยังตกอยู่ในวิกฤตที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าพวกเขากลับวิ่งมาให้ข้าช่วยอีก !
แล้วข้าจะเอาอันใดไปช่วยพวกเจ้ากันเล่า ?
ภาพวาด ?
เขียนอักษรพู่กัน ?
ดีดพิณ ?
วางหมาก ?
…………………………….
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจนั้น
ถูสือซานที่นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่มิไกลนักก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็กลอกตาไปมา ก่อนจะลุกเดินเข้ามา
นางชำเลืองมองหลัวชุนเฟิงที่ยังคงหมอบอยู่ที่พื้น จากนั้นก็ได้เอ่ยถามเย่ฉางชิงด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า
“ท่านเย่ ปีศาจเผ่าต่าง ๆ จากเทือกเขาแดนใต้ บุกโจมตีจงหยวนหรือเจ้าคะ ? ”
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้ารับ
ทว่าในตอนนั้นเองดวงตาของเย่ฉางชิงก็เกิดประกายบาง ๆ แวบผ่าน
‘เกือบลืมไปแล้ว ! ’
‘ถูสือซานมาจากเผ่าจิ้งจอกวิญญาณแห่งเทือกเขาแดนใต้นี่นา อีกทั้งนางยังมีตบะบารมีระดับจ้าวปีศาจอีกด้วย’
‘เช่นนี้แล้วก็สามารถให้ถูสือซานออกหน้า ไปช่วยเกลี้ยกล่อมปีศาจเผ่าต่าง ๆ ได้น่ะสิ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ยังมีเสี่ยวหลิวอีกนี่นา ! ’
‘บัดนี้นางยังเป็นถึงผู้ที่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ตลอดเวลา’
‘ที่สำคัญนางก็เป็นปีศาจเช่นกัน ! ’
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงก็เอามือไพล่หลัง พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบว่า “เสี่ยวหลิว”
สิ้นเสียงร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเย่ฉางชิงราวกับภูตผี
“ท่านเย่”
เทพหลิวย่อกายลงคำนับให้แก่เย่ฉางชิง
“เสี่ยวหลิว สือซาน ข้าอยากให้พวกเจ้าไปหาปีศาจเผ่าต่าง ๆ ”
ใบหน้าของเย่ฉางชิงเวลานี้มิได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ เขาเพียงเอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยขึ้นมาเรียบ ๆ ว่า “พวกเจ้าสองคนจงไปบอกปีศาจเผ่าต่าง ๆ ว่า นับแต่สมัยบรรพกาลพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เทือกเขาแดนใต้มาเนิ่นนานแล้ว เช่นนั้นก็จงอยู่ในเทือกเขาแดนใต้ต่อไป”
เอ่ยถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็ถามเทพหลิวขึ้นว่า “เสี่ยวหลิว มิเหนือบ่ากว่าแรงเจ้าเกินไปหรือไม่ ? ”
เทพหลิวมิได้เผยสีหน้าใด ๆ ออกมา นางเพียงแค่ส่ายหน้าน้อย ๆ
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้ารับ จากนั้นก็บังเอิญเหลือบไปเห็นราชันทมิฬที่อยู่มิไกลนัก
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็พาราชันทมิฬไปด้วยก็แล้วกัน”