ตอนที่ 296 ท่านเย่ต้องการให้ช่วย ?
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก หนานกงชิงหมิงก็หันไปมองหนานกงเสวียนจี พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เสวียนจี หรือว่าคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสเย่งั้นหรือ ? ”
ขณะเดียวกัน
มู่หรงหลินก็ขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับถามมู่หรงลี่จูอย่างฉงน “ลี่จู เจ้าบอกว่าผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้โกรธเกรี้ยวเช่นนี้เล่า ? ”
มู่หรงลี่จูมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับอย่างอึกอักว่า “ท่านบรรพบุรุษ คือ…”
ตอนนั้นเองซีเหมินเหลยหู่จึงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย พร้อมส่ายศีรษะไปมา “ทั้งสองท่าน พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว คนผู้นี้หาใช่ผู้อาวุโสเย่ไม่ ทว่าเป็นผู้อื่น”
วินาทีต่อมา หลังสิ้นเสียงของซีเหมินเหลยหู่
เสียงลึกลับที่แยกมิออกว่าเป็นชายหรือหญิง อีกทั้งยังเต็มด้วยพลังอันน่ากลัวและจิตสังหารที่รุนแรงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“กล้ากำเริบเสิบสานในสถานที่พักผ่อนของนายท่าน เจ้าคิดว่าตนเองไร้เทียมทานจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น
“ผู้อาวุโส ได้โปรดยั้งมือก่อนขอรับ”
ซีเหมินเหลยหู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะรีบเอ่ยอธิบาย “ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยนมิได้ตั้งใจที่จะล่วงเกิน ขอผู้อาวุโสอย่าได้สังหารเขาเลยนะขอรับ”
“เวลานี้จักรพรรดิมารตนนั้นออกมาสู่โลกภายนอกได้แล้ว ทางเหนือของจงหยวนจึงได้แจ้งเหตุด่วนมา พวกข้าผ่านมาทางนี้จึงได้ล่วงเกินผู้อาวุโสเข้าโดยมิได้ตั้งใจขอรับ ! ”
สิ้นเสียงเทพหลิวที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกแสงอันเจิดจ้า ก็ค่อย ๆ สะกดไอพลังและจิตสังหารลง
“หากมีคราหน้าอีกล่ะก็ ตายสถานเดียว พวกเจ้าจงจำเอาไว้ ! ”
เอ่ยยังมิทันจบประโยค ร่างของเทพหลิวก็เลือนรางหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ทั่วบริเวณก็อยู่ในความเงียบงัน
ทุกคนในที่นั้นต่างได้ยินเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน
หลังจากที่เงียบกันอยู่พักใหญ่ ซีเหมินเหลยหู่ก็ได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนจะกวาดสายตาไปมองคนอื่น ๆ
“ขอเรียนทุกท่านตามตรง คนผู้นี้คือสิ่งมีชีวิตโบราณตนหนึ่งในแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตทางเหนือ ที่ตระกูลซีเหมินของข้าคอยดูแลอยู่”
ซีเหมินเหลยหู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การที่เขายอมลดตัวเป็นผู้ติดตามเช่นนี้ ดูก็รู้แล้วว่านายท่านของเขา หรือก็คือผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นแท้จริงแล้วเก่งกาจเพียงใด ! ”
“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ”
หนานกงชิงหมิงขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับชำเลืองมองหนานกงเสวียนจีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คล้ายกับกำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ “ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าคงจะมีสายตาที่ตื้นเขินเกินไป ผู้ที่สามารถควบคุมจิตแท้แห่งเต๋าได้เช่นนี้ คนอย่างพวกเราไหนเลยจะคาดเดาได้ ? ”
มู่หรงหลินยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา “สามารถเอาชนะผู้อาวุโสฮูเอี๋ยนอย่างง่ายดาย ถึงขนาดว่าผู้แข็งแกร่งท่านนั้นยอมเป็นผู้ติดตาม แค่คิดดูก็รู้ว่าท่านผู้นี้น่าเกรงกลัวเพียงใด”
“แต่ว่าก็น่าเสียดาย”
มู่หรงหลินและหนานกงชิงหมิงสบตากัน จากนั้นก็เอ่ยออกมาพร้อมทอดถอนใจ “หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสฮูเอี๋ยนก่อความวุ่นวาย บางทีวันนี้พวกเราอาจได้พบผู้อาวุโสเย่แล้วก็ได้”
หนานกงชิงหมิงถอนหายใจออกมา พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
หลังจากฝุ่นควันจางหายไป ในที่สุดฮูเอี๋ยนเจินชวนที่จมลงไปใต้ดินก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นมา
สภาพของเขาในตอนนี้ดูสะบักสะบอมยิ่งนัก ศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยเศษดินและฝุ่นผง
“ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยน ! ”
พวกหนานกงชิงหมิงเห็นเช่นนั้น ต่างก็รีบลงไปหาเขายังหลุมนั้นทันที
ฮูเอี๋ยนเจินชวนนั่งหมดสภาพอยู่ที่พื้น ก่อนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
“ผู้อาวุโสเย่ท่านนี้แท้จริงแล้วมีตบะบารมีระดับใดกันแน่ ข้ามีกายเนื้อบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง ยิ่งกว่านั้นยังมีตบะบารมีระดับมหายานขั้นสุดท้ายเสียด้วยซ้ำ”
“ทว่ายังมิทันที่จะได้พบหน้าก็ถูกโจมตีจนหมดท่า มิหนำซ้ำยังมิทันที่ข้าจะได้โต้ตอบก็ถูกซัดจนกระเด็ดเสียแล้ว”
“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือจริง ๆ คาดมิถึงว่าบนโลกนี้ยังจะมีผู้ที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วย”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงัน ก่อนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้มิไหว
ที่แท้ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยนยังมิรู้ว่าผู้ที่ลงมือเมื่อครู่หาใช่ผู้อาวุโสเย่ไม่ แต่เป็นเพียงคนรับใช้ผู้หนึ่งของผู้อาวุโสเย่เท่านั้น
มินานสีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
แม้จะเป็นเพียงคนรับใช้ผู้หนึ่งของผู้อาวุโสเย่ แต่กลับสามารถเอาชนะฮูเอี๋ยนเจินชวนได้อย่างง่ายดาย
แล้วพวกเขาเล่า ?
ตอนนั้นเอง ซีเหมินเหลยหู่ก็ยกมือขึ้นลูบหนวดตัวเอง “ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยน เมื่อครู่ท่านได้ล่วงเกินผู้อาวุโสเย่ไปโดยมิได้ตั้งใจ เกรงว่าครานี้พวกเราคงมิมีวาสนาที่จะได้พบผู้อาวุโสเย่เสียแล้ว”
หนานกงชิงหมิงพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับถามว่า “ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยน ท่านมิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่ ? ”
ฮูเอี๋ยนเจินชวนพ่นลมหายใจออกมา พลางเอ่ยด้วยความหวาดหวั่นว่า “โชคดีที่เมื่อครู่ผู้อาวุโสเย่ยังยั้งมือเอาไว้ มิเช่นนั้นเกรงว่าหากข้ามิตายก็คงบาดเจ็บหนักเป็นแน่”
ตอนนั้นเอง มู่หรงหลินจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยน เมื่อครู่ผู้ที่ลงมือกับท่านนั้น หาใช่ผู้อาวุโสเย่ไม่ แต่เป็นคนรับใช้ผู้หนึ่งของผู้อาวุโสเย่เท่านั้นขอรับ”
“อะไรนะ ! ”
ฮูเอี๋ยนเจินชวนจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกถึงขีดสุด
เพราะเมื่อครู่ตอนที่คนผู้นั้นเอาชนะเขานั้น ได้ปล่อยเคล็ดวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
มิใช่ !
พูดให้ถูกก็คือ แดนสนธยาที่อยู่ในตำนานโบราณ
อีกทั้งเคล็ดวิชานี้เคยมีปรากฏในสมัยบรรพกาลเท่านั้น
บัดนี้เขากลับได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
เมื่อถูกเคล็ดวิชานี้โจมตี ประสาทสัมผัสทั้งห้าและสติของเขาราวกับถูกผนึก
อีกทั้งขณะที่ตกอยู่ในพลังของเคล็ดวิชานี้ ราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่จมอยู่ในบ่อโคลน ยากนักที่จะหลุดพ้นออกมาได้
ทั้งไร้เรี่ยวแรงและสิ้นหวัง
แค่ดูก็รู้แล้วว่าผู้ที่สามารถใช้เคล็ดวิชานี้ได้ แท้จริงแล้วน่ากลัวเพียงใด !
แต่สิ่งที่ฮูเอี๋ยนเจินชวนคาดมิถึงก็คือ
คนผู้นี้กลับเป็นเพียงคนรับใช้ผู้หนึ่งของผู้อาวุโสเย่เท่านั้น !
ถ้าเช่นนั้นผู้อาวุโสเย่ผู้นั้นเล่า จะเก่งกาจเพียงใด !
คิดถึงตรงนี้ฮูเอี๋ยนเจินชวนก็รู้สึกตัวชาวาบขึ้นมา รู้สึกเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน ฮูเอี๋ยนเจินชวนก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหมุนกายและโค้งคำนับไปทางเมืองเสี่ยวฉือ
“ผู้อาวุโสเย่ ผู้น้อยฮูเอี๋ยนเจินชวนก่อนหน้านี้มุทะลุเกินไป ขอท่านอย่าได้ถือโทษผู้น้อยเลยนะขอรับ”
ฮูเอี๋ยนเจินชวนเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
พวกหนานกงชิงหมิงสบตากันเล็กน้อย หลังจากได้เห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะรีบโค้งคำนับไปทางเมืองเสี่ยวฉือเช่นกัน
“ผู้อาวุโสฮูเอี๋ยนเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางไปแดนเหนือกันเลยดีหรือไม่ขอรับ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฮูเอี๋ยนเจินชวนมองไปทางเมืองเสี่ยวฉืออีกครั้งด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะเหาะตรงไปทางเหนือต่อทันที
…………………………
ขณะเดียวกัน
เพื่อปฏิเสธการจับคู่ของเปาต้าเหมย
วันนี้เย่ฉางชิงจึงเดินออกมาจากห้องตั้งแต่เช้า
“สือซาน เสี่ยวหลิวไปไหนเสียล่ะ ? ”
เย่ฉางชิงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามถูสือซานที่กำลังนั่งสมาธิอยู่
ถูสือซานได้ยินเช่นนั้นก็รีบหยุดการเจริญภาวนา ดวงตาดำขลับคู่นั้นเปิดกว้างขึ้นทันที ก่อนจะมีท่าทางอึกอัก
ผู้ที่เก่งกาจอย่างผู้อาวุโสหลิวจะไปที่ใดนั้น ผู้น้อยเช่นนางจะสามารถเอ่ยถามได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ทว่าในตอนนั้นเอง ร่าง ๆ หนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศภายในลานเล็ก ๆ
นางก็คือเทพหลิวที่ได้ลงมือกับผู้บุกรุกเมื่อครู่
และจากมาโดยมิเอ่ยสิ่งใด ก็เป็นเพราะนางได้ยินว่าเย่ฉางชิงนั้นกำลังถามหาตนอยู่
“เสี่ยวหลิวคาราวะนายท่าน”
เทพหลิวที่เย็นชาราวกับสาวน้ำแข็ง คำนับให้แก่เย่ฉางชิง
เย่ฉางชิงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมา ก่อนจะส่ายหน้าให้นาง
“เสี่ยวหลิว หากเจ้ามิว่าอะไร ต่อไปก็เรียกข้าว่าท่านเย่เถอะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปหานาง
ความจริงแล้วคำเรียกขานว่านายท่านนั้น สำหรับเขาแล้วราวกับเป็นคำเตือนอย่างหนึ่ง
เพราะตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่เทพหลิวเรียกเขาว่านายท่าน เขาจะมีความรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
เทพหลิวชั่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ารับคำ “เจ้าค่ะ”
มินาน
“สือซาน เสี่ยวหลิว พวกเจ้าทั้งสองมาทางนี้หน่อยสิ”
เย่ฉางชิงนั่งลงหน้าโต๊ะชา จากนั้นก็เอ่ยเรียกทั้งสองคนขึ้น
“ท่านเย่”
“ท่าน... เย่”
“พวกเจ้าทั้งสองมิต้องยืนหรอก นั่งลงคุยกันเถอะ”
“อีกอย่างวันนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่าง”
“ช่วยหรือเจ้าคะ ? ”