ตอนที่ 294 หรือว่า… นางต้องการครอบครองข้า
เมื่อเทพหลิวได้ยินคำพูดของเย่ฉางชิง
ร่างที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกแสงของนางก็สะดุ้งเบา ๆ
ความจริงแล้ว นางมิได้อยากแปลงกายเป็นมนุษย์เท่าไรนัก
แน่นอนว่ามิใช่เพราะนางรู้สึกว่าตนเองมิสวย แต่เป็นเพราะนางมิชอบจริง ๆ
เพียงแต่ในเมื่อยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานท่านนี้เอ่ยปากแล้ว นางจะปฏิเสธได้เยี่ยงไร ?
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เทพหลิวก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “เสี่ยวหลิว น้อมรับคำสั่ง”
สิ้นเสียงร่างที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกแสงก็เดินตรงไปที่ห้อง
ตอนนั้นเอง หลังจากมองร่างที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกแสงหายเข้าไปในห้องแล้ว ถูสือซานที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ก็ได้สติขึ้นมา
นางลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงความกล้าเดินมาหยุดที่ข้าง ๆ เก้าอี้
“ท่านเย่ สือซานดูเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ”
ดวงตาดำขลับของสือซานเป็นประกาย พร้อมกับเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวังถ้อยคำ
‘ดูเป็นเช่นไร ? ’
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปเล็กน้อย
จากนั้นมินาน เขาก็คิดถึงนิทานปรัมปราบางเรื่องที่เขาเคยอ่านตอนอยู่อีกโลกขึ้นมา
ในบรรดานิทานปรัมปราเหล่านั้น ส่วนมากมักจะพูดถึงเรื่องราวบุญคุณความแค้นระหว่างบัณฑิตหนุ่มกับพวกปีศาจ
แต่ว่าสิ่งที่เขาคาดมิถึงก็คือ
เขากลับบังเอิญโผล่มายังโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแห่งนี้ ทั้งยังได้มารู้จักกับปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งอีกด้วย
อีกทั้งถูสือซานยังเอ่ยถามเช่นนี้ขึ้นมาอีก
‘คงมิใช่ว่า… นางต้องการที่จะครอบครองข้าหรอกนะ ? ’
คิดถึงตรงนี้ในสมองของเย่ฉางชิงก็ปรากฏภาพที่ถูสือซานแปลงกายเป็นมนุษย์เมื่อครู่ขึ้นมาอีก
ทว่าเพียงครู่เดียว เขาก็ต้องสลัดความคิดนั้นออกจากหัวอย่างรวดเร็ว
นางเป็นถึงปีศาจจิ้งจอกที่มีตบะบารมีระดับจ้าวปีศาจ ส่วนเขามีตบะบารมีเพียงระดับรวบรวมชีพจรขั้นกลางเท่านั้น
พวกเขาต่างกันราวฟ้ากับดิน
หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็
ถึงตอนนั้นหากถูสือซานบังเอิญรู้ฐานะที่แท้จริงของเขา มิแน่นางอาจทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมอะไรขึ้นมาก็ได้
คิดถึงตรงนี้
“สือซาน เจ้าต้องจำเอาไว้ โลกนี้ต่อให้จะงดงามเพียงใด ก็เป็นเพียงหนังที่หุ้มกระดูกเท่านั้น”
เย่ฉางชิงปรายตามองถูสือซานเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มหามรรคายากเกินเอื้อม พวกเราผู้บำเพ็ญเพียรควรละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด และจงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบำเพ็ญเพียรจะดีกว่า”
“อีกอย่าง เวลานี้เจ้ามีตบะบารมีเพียงระดับจ้าวปีศาจ ภายภาคหน้ายังมีหนทางอีกยาวไกลนักที่เจ้าต้องเดินไป จำไว้ว่ามิควรลืมความตั้งใจแรกเริ่ม ถึงจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด”
สิ้นเสียงสีหน้าของถูสือซานก็ซีดลงทันที อดมิได้ที่จะรู้สึกละอายใจขึ้นมา
ผู้อาวุโสเย่สูงส่งเพียงนั้น แต่ยังสามารถรักษาจิตใจเช่นนี้เอาไว้ได้
แต่นางมีระดับตบะบารมีแค่เพียงระดับจ้าวปีศาจ มีคุณสมบัติอันใดที่จะเย่อหยิ่งจองหองกัน ?
“ท่านเย่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว สือซานจะระลึกไว้เสมอเจ้าค่ะ”
ถูสือซานโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง พร้อมกับตกปากรับคำหนักแน่น
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้ จากนั้นก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ร่างอันมีเสน่ห์และงดงามร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากภายในห้อง
ต่อจากนั้นเสียงของสตรีที่เรียบนิ่ง และดูเย่อหยิ่งน้อย ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นายท่าน”
ได้ยินเช่นนั้นทั้งเย่ฉางชิงและถูสือซานก็หันไปมองพร้อม ๆ กัน
ก็พบว่าเป็นสตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้าอันงดงาม ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชา สวมชุดคลุมยาวสีม่วงเข้ม แต่ยังคงยากที่จะปกปิดรูปร่างอันอรชรอ้อนแอ้นเอาไว้ได้ ก็ปรากฏสู่สายตา
เห็นได้ชัดว่านางก็คือเทพหลิวที่แปลงกายเป็นมนุษย์นั่นเอง
และแม้นางจะแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว แต่ท่าทางของนางก็ยังคงเย่อหยิ่ง ทั้งยังแผ่พลังที่พร้อมทำลายล้างทุกสิ่งออกมาด้วย
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น
ที่เปล่งประกายสีเขียวออกมา ทว่ากลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและหนาวเหน็บจนเข้ากระดูก
วินาทีต่อมา เมื่อเย่ฉางชิงเห็นเทพหลิวที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้
‘สาวน้ำแข็ง ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘สาวน้ำแข็งตัวจริง ! ’
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ เย่ฉางชิงก็พยักหน้าให้ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หลังแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว คงมิส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
เทพหลิวชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “เรียนนายท่าน ระดับของข้ายากที่จะมีการบรรลุบนโลกนี้ได้อีกแล้ว ตอนนี้จึงมิต้องบำเพ็ญเพียรแล้วเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิง “……”
‘ยากที่จะมีการบรรลุ?’
‘ต้นหลิวเอ๊ย ! ’
‘เยี่ยงไรเสีย ข้าก็เป็นคนที่นำเจ้ากลับมานะ’
‘เจ้ามิเห็นจะต้องพูดจาทำร้ายจิตใจข้าถึงเพียงนี้ก็ได้ ! ’
‘แต่ก็ช่างเถอะ’
‘ท่าทางสาวน้ำแข็งเหมือนในตอนนี้ ก็ยังดีกว่าต่อไปต้องเห็นต้นหลิวต้นนั้น แล้วต้องคอยรู้สึกประหม่าเป็นไหน ๆ ’
ในตอนนั้นเอง เมื่อราชันทมิฬที่จมอยู่ในความเจ็บปวดของการจากลา บังเอิญเหลือบไปเห็นสตรีท่าทางเย็นชาที่ยืนอยู่มิไกลนัก
วินาทีต่อมา ตัวของเขาก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง
‘ที่แท้ ! ’
‘พี่ต้นไม้เป็นผู้หญิงหรอกหรือนี่ ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่… มันจะกะทันหันเกินไปกระมัง ! ’
‘จริงสิ ! ’
‘พี่… ต้นไม้ นางคงมิใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรอกกระมัง ? ’
หลังจากได้สติขึ้นมา
ราชันทมิฬก็เพ่งกระแสจิต “พี่… ต้นไม้ ก่อนหน้านี้ข้าคิดมิถึงจริง ๆ ว่าท่านจะเป็นสตรีที่งดงามเช่นนี้ ที่ข้าเรียกท่านว่าพี่ชายไป ขอท่านโปรดอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะขอรับ”
เทพหลิวที่แปลงกายเป็นมนุษย์เพียงแค่ปรายตามองราชันทมิฬแวบหนึ่งเท่านั้น แต่มิได้ตอบกลับใด ๆ
ตอนนั้นเอง
“ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว คืนนี้พวกเจ้าก็หาที่หลับที่นอนเอาเองไปก่อนแล้วกันนะ”
เย่ฉางชิงลุกขึ้นกวาดตามองไปยังเทพหลิวและถูสือซานที่แปลงกายเป็นมนุษย์ พลางเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วพรุ่งนี้ข้าจะจัดห้องหับให้พวกเจ้าทั้งสองก็แล้วกัน”
เอ่ยจบ เย่ฉางชิงก็โบกมือเบา ๆ จากนั้นก็เดินตรงเข้าห้องของตัวเองไปทันที
…………………………
เพียงพริบตาราตรีก็ผ่านพ้น
เช้าวันต่อมา
รอจนขอบฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น
คนกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ นอกเมืองเสี่ยวฉือตั้งแต่เมื่อใดมิทราบได้
อีกทั้งเวลานี้พวกเขายังคงจ้องมองไปทางเมืองเสี่ยวฉืออย่างแน่วแน่
เห็นได้ชัดว่า สองคนในนั้นเคยพบกับเย่ฉางชิงมาก่อน
พวกเขาก็คือหนานกงเสวียนจีและมู่หรงลี่จู
“เสวียนจี เจ้าบอกว่าผู้อาวุโสเย่ที่สอนจิตแท้แห่งวิถีหมากให้เจ้าผู้นั้น พักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ ? ”
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำ ท่าทางเย่อหยิ่งผู้หนึ่งหรี่ตาลง พร้อมกับเอ่ยขึ้นโดยยังคงมองตรงไปข้างหน้า
“เรียนท่านบรรพบุรุษ ผู้อาวุโสเย่พักอยู่ที่นี่จริง ๆ ขอรับ”
หนานกงเสวียนจีเอ่ยด้วยความนอบน้อม “ผู้อาวุโสเย่เป็นผู้ไร้เทียมทาน บำเพ็ญเพียรในหลายวิถี คิดว่าท่านเองก็คงสัมผัสได้”
“ต่อให้ตรงนี้จะอยู่ห่างจากเมืองเสี่ยวฉืออีกหลายลี้ แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังเต๋าจาง ๆ ”
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่ตรงนี้สามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังเต๋าฟ้าดินหลากหลายรูปแบบจริง ๆ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ไอพลังเต๋าภายในเมืองเสี่ยวฉือแห่งนั้นคงจะเข้มข้นกว่าหลายเท่า”
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำเอ่ยตามที่คิด “หากไอพลังเต๋ามากมายเช่นนี้กำเนิดมาจากฝีมือของผู้อาวุโสเย่ผู้นั้นล่ะก็ เช่นนั้นก็ควรค่าที่จะเสียเวลาตรวจสอบประวัติของผู้อาวุโสเย่ผู้นี้แล้ว”
ตอนนั้นเอง มู่หรงลี่จูที่สวมกระโปรงหงษ์โลหิตและยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วพลางถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสหนานกง ท่านเย่ท่านนั้นเร้นกายอยู่ที่นี่จริงหรือ ? ”
หนานกงเสวียนจีหันไปพยักหน้าให้กับมู่หรงลี่จู จากนั้นก็เบนสายตาไปมองผู้เฒ่าร่างผอมที่อยู่ทางด้านหลังของมู่หรงลี่จู
“ผู้อาวุโสมู่หรง คุณหนูมู่หรง ในเมื่อท่านเคยพบผู้อาวุโสเย่มาก่อน คิดว่าท่านก็คงเคยได้ยินอะไรมาบ้างแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“เรื่องเกี่ยวกับท่านเย่ ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างจริง ๆ ”
ผู้เฒ่าร่างผอมใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พลางลูบหนวดของตน “อีกทั้งความคิดของข้าและพี่หนานกงก็คล้าย ๆ กัน หากทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของท่านเย่ล่ะก็ เช่นนั้นท่านเย่ผู้นี้ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะมาจากเบื้องบนจริง ๆ ”
ได้ยินเช่นนั้น
“เสวียนจี ข้ารับปากเจ้าว่าข้าจะไปแดนเหนือด้วย”
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำและผู้เฒ่าร่างผอมสบตากันเล็กน้อย “แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากที่จะพบผู้อาวุโสเย่ผู้นี้สักครา”
หนานกงเสวียนจีมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พลางเอ่ยออกมาอย่างลำบากใจ “ท่านบรรพจารย์ เวลานี้เกรงว่าผู้อาวุโสเย่ยังคงเข้าฌานอยู่ อีกทั้งจักรพรรดิมารตนนั้นออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว เชื่อว่าอีกมิกี่วันก็คงบุกไปยังแดนเหนือเป็นแน่”
“เสวียนจี เจ้าคงจะรู้ดี”
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำเอ่ยต่อว่า “ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณทั้งสี่ มีเพียงในยามที่ลัทธิเต๋าประสบภัยพิบัติร้ายแรงเท่านั้น จึงจะออกมาภายนอก”
เอ่ยจบ ก็มีเงาร่างมากมายเหาะมาจากขอบฟ้าทางทิศใต้