เล่มที่ 19 ตอนที่ 557 ท่านแม่
“น่าเสียดาย สุดท้ายข้าก็เสียลูกไปอยู่ดี ดังนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็ทุ่มเทให้กับการศึกษาวิชาปรุงยา ทุ่มเทจนมักจะลืมกินลืมนอน ไม่สนใจดูแลตนเอง เป็นผลให้ร่างกายของข้าถูกทรมานจนเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง และข้าก็ไม่สามารถรักษาคนที่ข้ารักเอาไว้ได้เลยสักคน”
ท่านปรมาจารย์ถอนสายตามาสบ แววตาที่มองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์แฝงไปด้วยความเจ็บปวด วินาทีที่เห็นปลายหางตาของนางประดับด้วยหยาดน้ำใสแวววาว นางเดินเข้าไปทรุดกายนั่งยองๆ ตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ปาดเช็ดน้ำตาให้เบาๆ “เด็กน้อย คนที่รักเจ้าจากใจจริงย่อมไม่มีทางสนใจว่าเจ้ากับเขาจะมีลูกด้วยกันหรือไม่ คนที่เขาใส่ใจย่อมเป็นเจ้า! คนที่มาจากโลกอนาคตเช่นเจ้าไม่รู้ความหมายของความสัมพันธ์ฉาบฉวยหรือ?”
เอ่ยจบ สายตาของนางก็หันไปมองซั่งกวนเซ่าเฉิน แววตาของนางราวกับว่ากำลังเอื้อนเอ่ยอันใดบางอย่างอยู่
ยามซั่งกวนเซ่าเฉินหันสายตากลับไปสบ ในแววตาของเขากลับยิ่งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ “มู่เอ๋อร์!”
เพียงสองคำเท่านั้น สองแขนของเขากระชับแน่น โอบอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนของเขา
ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน ความห่วงใยที่เขามีต่อนาง ผู้ใดที่มีสายตาเฉียบแหลมล้วนมองออกทั้งสิ้น ทว่านางสูญเสียลูกไปแล้ว ความเจ็บปวดในยามนี้มันมากกว่าคำว่าทรมานจะพรรณนาออกมาได้
“อามู่เต๋อ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเองให้ได้ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้!”
หลิงมู่เอ๋อร์คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว คล้ายว่านางสามารถระเบิดโทสะได้ทุกวินาที
ยามที่เห็นว่าร่างกายของนางชักกระตุกด้วยอารมณ์รุนแรงที่มิอาจควบคุม ท่านปรมาจารย์ก็รีบรุดเข้ามากอบกุมสองมือของนางไว้ ก่อนหันไปออกคำสั่งกับตงฟางเชวี่ย “เจ้ายังยืนบื้ออะไรอยู่อีก รีบฝังเข็มเร็วเข้า”
“อ่อๆ ใช่ ฝังเข็ม!” ตงฟางเชวี่ยที่ตกอยู่ในอาการตะลึงเพราะเรื่องราวของท่านอาจารย์ วินาทีที่ได้ยินเสียงคำราม เขาถึงได้สติกลับมาก่อนจะเริ่มฝังเข็มเพื่อผนึกเส้นลมปราณของหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้
จนกระทั่งหลิงมู่เอ๋อร์สงบลงอย่างสมบูรณ์ ในยามนั้นทุกคนถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เด็กโง่ ในที่สุดก็คิดตกจนได้ ดีแล้วละ หากเจ้ายังคงจมอยู่กับความพ่ายแพ้ของตนเอง ตลอดชีวิตนี้เจ้าจะไม่มีวันเดินออกมาได้อีก”
ท่านปรมาจารย์เอ่ยจบ นางก็คิดจะหยัดกายลุกขึ้นเพื่อจากไป ทว่าเพียงก้าวออกไปได้ก้าวเดียวเท่านั้น นางก็ขยับตัวไม่ได้อีก
ยามที่หันศีรษะกลับไปมอง นางถึงได้เห็นว่าเป็นฝีมือของหลิงมู่เอ๋อร์ที่ฟื้นกลับคืนมา เป็นมือของนางที่กำลังจับแขนเสื้อตนเอาไว้แน่น
“ตกลงแล้ว ท่านคือใครกันแน่!”
คำถามนี้ถูกถามซ้ำอีกครั้ง มันชวนให้ร่างทั้งร่างขมวดเกร็งเครียดเขม็ง นางหันหลังให้หลิงมู่เอ๋อร์ ไม่กล้าแม้แต่จะหันศีรษะกลับไปมอง
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ากำลังเอ่ยอันใดกัน นางก็คือปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางของพวกเราอย่างไรเล่า”
ตงฟางเชวี่ยมองนางด้วยสายตาที่ใช้มองคนไร้สมอง
เขาวิ่งไปตรงหน้าท่านปรมาจารย์อีกครั้ง ก่อนจะได้ยินความลับที่เขาไม่ควรได้ยิน ตงฟางเชวี่ยประสานมือคำนับเขาอย่างซื่อสัตย์จริงใจอย่างหาใดเปรียบ “ผู้น้อย ตงฟางเชวี่ย จะแอบฟังความลับของท่านอาจารย์ได้อย่างไร เรื่องนี้ย่อมไม่เหมาะไม่ควร ทว่าขอให้ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ผู้น้อยคนนี้จะไม่มีทางเอ่ยวาจามั่วซั่ว เรื่องราวที่ได้ยินมาวันนี้จะไม่เอ่ยออกไปให้โลกภายนอกได้รับฟังแม้เพียงครึ่งคำ”
หลังจากมองตงฟางเชวี่ยด้วยแววตาขอบคุณแล้ว ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางก็หันสายตากลับมาสบ นางมองเข้าไปในดวงตาสงสัยใคร่รู้ของหลิงมู่เอ๋อร์ อดทนอยู่เนิ่นนาน “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการรู้จริงๆ?”
“ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงรีบพุ่งเข้าไปช่วยท่านโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง จนเป็นเหตุให้ทารกในครรภ์ของข้าโชคร้ายเสียชีวิต ทว่าข้าอยากรู้มากกว่านั้นคือ ตกลงแล้วท่านเป็นใครกันแน่!”
ลมหายใจของหลิงมู่เอ๋อร์อ่อนระโหยโรยริน ทว่าน้ำเสียงของนางกลับหนักแน่นราวกับหากไม่ได้คำตอบ นางจะไม่มีทางยอมแพ้โดยเด็ดขาด
ท่านปรมาจารย์ยืนอยู่ที่เดิมปล่อยให้เวลาไหลผ่านเนิ่นนาน ทันใดนั้น นางก็คุกเข่าลงและเปิดคอเสื้อของหลิงมู่เอ๋อร์โดยปราศจากความเกรงใจเลยแม้แต่นิด
ด้วยการเคลื่อนไหวที่จู่โจมอย่างกะทันหันของนาง ทั้งซั่งกวนเซ่าเฉินและตงฟางเชวี่ยล้วนตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ คนหลังนั้นรีบร้อนหมุนกายหนีไม่กล้าหันไปมองฉากที่เขาไม่ควรจะมอง ส่วนคนหน้ากลับผลักท่านปรมาจารย์ออกไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ “ท่านจะทำอันใด!”
สายตาสบมองเห็นแววตาปรารถนาจะสังหารของซั่งกวนเซ่าเฉิน นอกจากท่านปรมาจารย์จะไม่โกรธแล้ว นางยังหัวเราะอีกต่างหาก
หัวเราะเสียงดังเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า!”
สตรีคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนนางราวกับแกะ แฝงไปด้วยรูปโฉมงามล้ำล่มเมืองกำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง มิอาจไม่ยอมรับได้เลยว่าภาพตรงหน้านี้แปลกมากทีเดียว
หลิงมู่เอ๋อร์มองนางอย่างระมัดระวัง ทว่าในใจกลับบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น
นางบังคับตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง กดข่มความระทึกในใจ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังมิอาจบังคับตนเองไม่ให้สั่นไหวได้ “ท่านรู้จักข้า? หมายความว่าอย่างไรบอกข้ามาให้ชัดเจน เมื่อครู่ข้าช่วยชีวิตท่านเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ควรจะอธิบายความจริงให้ข้าได้ฟัง! ท่านเป็นใคร แล้วข้าเป็นใคร!”
“หากข้าบอกว่าข้าคือมารดาแท้ๆ ของเจ้า เจ้าเชื่อหรือไม่?”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยไม่ดังไม่เบา พอดีที่จะแว่วเข้าหูของทุกคน
นางเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง ราวกับว่านางแค่เล่าเรื่องที่มิได้มีนัยสำคัญอันใด
ตงฟางเชวี่ยที่หันหลังให้ประหลาดใจจนอ้าปากหวอ ส่วนซั่งกวนเซ่าเฉินที่กำลังกอดหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ข้างกายจะไม่ตื่นตะลึงได้อย่างไร
ท่านแม่?
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่เกิดที่หมู่บ้านตระกูลหลิงหรือ? มารดาของนางมิใช่หยางซื่อ สตรีแสนธรรมดาที่ไร้การศึกษาหรอกหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร?
“ท่าน ท่านเอ่ยอีกรอบที!” หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจจนถึงขีดสุดแล้ว
หลังจากเอ่ยคำนี้ออกไป หูของนางก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ รอบตัวอีก
นางถึงขนาดเสียใจในภายหลังที่ตัดสินใจตามหาท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางด้วยซ้ำ!
“ไม่ ไม่จริง ท่านกำลังโกหกข้า ท่านกลัวว่าข้าจะโทษที่ข้าช่วยชีวิตท่านจนเป็นต้นเหตุทำให้ข้าเสียลูกไป ดังนั้นท่านจึงจงใจโกหกข้าใช่หรือไม่?”
“เด็กโง่ คำพูดเช่นนี้จะเอ่ยหยอกเล่นส่งๆ ได้อย่างไร?”
เห็นได้ชัดว่าท่านปรมาจารย์สงบนิ่งมากกว่านางหลายเท่า
“มิใช่ว่าอาศัยเพียงรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันของเจ้ากับข้า เจ้าก็ควรจะเดาออกแล้วหรือ? ไม่ผิด ข้าเลือดเย็นกว่าเจ้า ข้าไร้หัวใจกว่าเจ้า ข้าเหี้ยมโหดกว่าเจ้า ทว่าข้าคือคนที่ส่งเจ้าไปยังหมู่บ้านตระกูลหลิงด้วยสองมือของข้าเอง เจ้ามีปานบนกระดูกไหปลาร้าแบบเดียวกับของข้า และเจ้ายังเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อช่วยข้า นี่คือความพันผูกทางสายเลือดระหว่างแม่ลูก เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไร!”
จังหวะการพูดยิ่งพูดก็ยิ่งเร็ว ยิ่งเอ่ยอารมณ์ก็ยิ่งพุ่งสูง ในช่วงท้ายถึงขนาดพังทลาย น้ำตาไหลอาบโดยไม่รู้สึกตัว
นางมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความประหม่า ยามที่เห็นสีหน้าไม่เชื่อ นางก็เปิดปากหัวเราะอย่างไร้เสียง “เจ้าไม่อยากรู้จักข้าใช่หรือไม่?”
ผ่านไปเนิ่นนาน หลิงมู่เอ๋อร์มิอาจเอ่ยคำให้ครบประโยคสมบูรณ์ได้
ความจริง ตั้งแต่วินาทีที่นางเห็นท่านปรมาจารย์ปรากฏตัวอย่างอาจหาญ นางก็พอจะคาดเดาถึงผลลัพธ์นี้ได้อยู่แล้ว ทว่านางไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง
ท่านแม่ของนางคือหยางซื่อ หลายปีที่นางเกิดใหม่นี้ทำให้นางรู้สึกถึงความรักของแม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่เหมือนผู้ใด นางสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะดีต่อหยางซื่อให้มาก จะเป็นบุตรสาวที่ดีของนาง จะเลี้ยงดูนางไปจนแก่เฒ่า
ทว่าเพียงหมุนกาย นางก็กลายเป็นบุตรสาวของคนอื่น เหล่าเด็กน้อยในโลกนี้สามารถโยนให้ตามใจชอบได้เลยหรือ?
อีกทั้งยังเป็นสตรีเลือดเย็นที่ไร้หัวใจและปราศจากความรู้สึกใดๆ อีกต่างหาก!
“ไม่ใช่สิ ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่าท่านมิอาจมีลูกมิใช่หรือ?”
ตงฟางเชวี่ยตระหนักถึงประเด็นสำคัญของเรื่อง เขาเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าคำถามนี้มิได้สลักสำคัญ ทว่าเขาเชื่อว่าทุกคนในยามนี้ล้วนสงสัยใคร่รู้กันทั้งสิ้น
“ไม่ผิด ข้ามิอาจมีบุตรได้จริงๆ ลูกคนแรกของข้าเสียชีวิตด้วยโรคประหลาดนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่วันเดียว หรือแม้เพียงชั่วยามเดียวก็ตาม ข้าศึกษาร่างกายและโรคแปลกประหลาดของข้ายาวนานถึงห้าปี ในที่สุดข้าก็พบวิธีที่จะฟื้นคืนร่างกายได้ ทว่ากลับต้องแลกมาด้วยราคามหาศาล” ท่านปรมาจารย์เอ่ยปากอธิบาย สายตาฉายประกายเจ็บปวดล้ำลึก
ราวกับหวนย้อนคืนสู่อดีตอันแสนปวดร้าวที่นางไม่เคยอยากจะนึกถึงอีกเลยตลอดชั่วชีวิตนี้ ร่างทั้งร่างของนางแผ่บรรยากาศทั้งน่าเศร้าและน่าสงสาร
“ทว่าไม่เป็นไร ตราบใดที่ข้าสามารถให้กำเนิดลูกชายลูกสาวให้เขาได้ ตราบใดที่ข้าจะได้รั้งอยู่ข้างกายเขาอย่างถูกครรลองครองธรรม ขอเพียงแค่ข้าได้มีลมหายใจต่อไป ต่อให้ต้องจ่ายด้วยความเจ็บปวดมากมายแล้วจะนับเป็นกระไรได้เล่า? ทว่าในยามนั้นหัวใจของอาเจิ้งกลับปราศจากเงาของข้าตั้งนานแล้ว”
ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งเจ็บปวด ท้ายที่สุดนางก็คล้ายสตรีแรกแย้มที่ดำดิ่งอยู่ในห้วงธาราแห่งความรัก ทรุดกายนั่งยองๆ ลงกับพื้นเปล่งเสียงร่ำไห้ด้วยความรวดร้าวเหนือคนานับ “ทั้งหัวใจทั้งชีวิตของข้ามีไว้เพียงเพื่อเขา เขาคือบุรุษคนแรกที่ข้าตกหลุมรัก! ข้ายอมเสียสละแม้กระทั่งหุบเขาเย่าหวางก็เพื่อเขา ข้ายอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่าเพียงเพราะข้ามิอาจมีบุตรให้เขาได้ เพราะข้าทรมานตนเองจนเป็นคนก็มิใช่เป็นผีก็มิเชิง สุดท้ายเขาถึงได้ทิ้งข้าไปอย่างมิใยดี! เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ข้าจึงเพื่อวางแผนที่ผูกตนเองอยู่กับเขา สุดท้ายข้าก็ตั้งท้องลูกของเราได้สำเร็จ ทว่าไม่ว่าข้าจะอธิบายเช่นไร เขาก็ไม่เชื่อว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเราอยู่ดี เขามั่นใจว่าข้าไร้หนทางมีบุตร เขาถึงขนาดคิดจะบีบคอทารกแรกเกิดที่อยู่ในผ้าอ้อมจนตายด้วยซ้ำ…”
ยามที่เอื้อนเอ่ย ใบหน้าของนางก็อาบย้อมไปด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้า นางยกสองมือขึ้นทำท่าทางอุ้มเด็กทารก ราวกับว่าในอ้อมแขนของนางมีทารกอยู่จริงๆ
“เลือดเนื้อที่หลุดออกมาจากกายข้า ข้าจะยอมปล่อยให้คนอื่นเข่นฆ่าสังหารได้อย่างไร? แม้ข้าจะโหดเหี้ยม ในสายตามีเพียงบูชาความรัก ทว่าข้าเองก็เป็นแม่เหมือนกันนี่นา ข้าจะยอมให้คนอื่นฉกชิงเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าไปได้อย่างไร?”
นางสะอึกสะอื้นอยู่หลายครั้งหลายหน ทว่าความเศร้าโศกในดวงตาของนางกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความชัดเจน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบเฉยชาอีกหน
“ในเมื่อไร้ทางเลือกอื่น ข้าจึงทำได้แค่เพียงพาเจ้าไปที่หมู่บ้านตระกูลหลิงอันห่างไกล ทว่าเนื่องจากข้าเพิ่งจะคลอดบุตร ร่างกายจึงยังไม่ฟื้นตัว หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนาน โรคเก่าของข้าก็กำเริบขึ้นอีกครา ยามที่ข้ากลับไปยังแคว้นซีอวี้อีกครั้ง ข้างกายอาเจิ้งก็มีคนรักคนใหม่แล้ว ข้าขู่เขาไม่ให้ทิ้งข้า ข้าถึงขนาดถวายวังหลวงเพื่อเอาอกเอาใจเขา ทว่าเขายอมให้ข้าอยู่แต่ในห้องลับเท่านั้น ทว่าไม่เป็นไร ตราบใดที่ข้าได้อยู่เฝ้าเขาก็เพียงพอแล้ว ข้าอาศัยอยู่ในห้องลับในห้องบรรทมของเขาทุกวัน ยามใดที่คิดถึงเขาข้าก็จะออกมาพบเขา ช่วยเขาวางแผน ช่วยดูแลรักษาเขาให้หายดี ทว่ามีครั้งหนึ่งที่เขาป่วยหนัก เพื่อที่จะรักษาเขา ข้าอดหลับอดนอนเพื่อปรุงยา เวลานั้นข้าก็เผลอกินยาของตนเองผิดจนทำให้ร่างกายของข้าตกอยู่ในความเจ็บปวดไม่รู้จบ ทุกๆ สองชั่วยามจะเจ็บปวดขึ้นมาหนึ่งครา ดังนั้นข้าถึงได้ปลูกดอกไม้ประจำแคว้นขึ้นมาอีกครั้ง เพียงเพื่อให้ผลของมันควบคุมเส้นลมปราณของข้า”
ท่านปรมาจารย์กำผลไม้ไว้ในมือ มองผ่านจนเห็นถึงแก่นแท้ความจริง “ทว่าน่าเสียดายที่ทั้งเจ้าและข้าไม่อาจใช้มันได้อีกแล้ว ลูกไม่อยู่แล้ว อีกไม่นานร่างกายของเจ้าก็จะฟื้นตัวในไม่ช้า ส่วนข้า หากข้าเดาไม่ผิดละก็ ผลไม้นี้มิอาจรักษาเส้นลมปราณของข้าได้ ข้ายังต้องทนต่อการทรมานที่เจ็บปวดยิ่งกว่าความตายนี้ต่อไป”
แม้ว่านางจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่านางยังคงยัดผลไม้ลูกนั้นใส่ในมือของหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ดี “ข้ารู้ดีว่าเจ้าจะไม่มีวันยกโทษให้แก่ข้า ข้าเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวและข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ของเจ้า ทว่านี่เป็นเพียงของขวัญชิ้นเดียวที่ข้าจะสามารถมอบมันให้แก่เจ้าได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธ”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้เอ่ยอันใด หญิงสาวค่อยๆ หุบนิ้วมือทั้งห้าของนางช้าๆ แม้ว่าในมือจะกอบกุมสมบัติที่ทุกคนในแคว้นซีอวี้ต้องการ ทว่าในวินาทีนี้ นางกลับรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนเผือกร้อน
“คิดไม่ถึงว่าท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางจะมีความรักลึกซึ้งกับเสด็จพ่อขนาดนี้ เป็นเสด็จพ่อที่ติดค้างท่านแล้ว”
แว่วเสียงไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง
ยามที่หันสายตากลับไป ถึงได้เห็นว่าเป็นอามู่ทั่วที่ไม่รู้ว่าฟื้นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยามใด
ถึงแม้ว่าจะมีคนรู้เรื่องอดีตอันน่าอับอายของนางเพิ่มอีกหนึ่ง ทว่าบางทีอาจจะเพราะความเศร้า ยากมากที่วันนี้ท่านปรมาจารย์ไร้แววตาหมายจะสังหารเอาชีวิต
“เจ้าคือบุตรชายที่เขารักมากที่สุด ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ทว่าคิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็เก่งกาจมากเช่นกัน”
อามู่ทั่วย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางกำลังเอ่ยถึงเรื่องอะไร ทว่าเขากลับหาได้สนใจไม่ “เสด็จพ่อเอาเปรียบท่าน แต่ท่านก็ยังสร้างวังหลวงที่เหมือนกับป้อมปราการให้เสด็จพ่อของข้า ท่านต่างหากที่ควรเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นซีอวี้”
ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ อามู่ทั่วจะเอ่ยคำเช่นนี้ออกมา
เขากำลังเป็นฝ่ายที่เริ่มละทิ้งแคว้นซีอวี้ก่อนหรือ?
“เหอะ สมแล้วที่เจ้าเป็นบุตรที่อาเจิ้งรักมากที่สุดจริงๆ เขาเคยบอกว่าเจ้าเหมือนเขามากที่สุดในบรรดาองค์ชาย ที่แท้แล้วเขาก็เอ่ยไม่ผิด พอเถิด หยุดชื่นชมข้าได้แล้ว ข้าจะไม่รู้หรือว่าในใจของเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?”
ท่านปรมาจารย์แย้มรอยยิ้มเย็นชา ราวกับว่าเดินออกมาจากความเจ็บปวดรวดร้าวได้แล้ว
เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของอามู่ทั่ว นางก็ส่ายศีรษะ “เสด็จพ่อของเจ้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ แม้อามู่เต๋อผู้นั้นจะเก่งกาจมากความสามารถ ทว่าเขารีบร้อนที่จะประสบความสำเร็จมากเกินไป หาได้สงบและความเฉียบแหลมเช่นเจ้าไม่ ข้ามิได้สนใจว่าผู้ใดจะได้ครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งแคว้นซีอวี้ ข้าเป็นเพียงสตรี สตรีหมกมุ่นอยู่ในความรัก แม้แต่บุตรสาวของตนเอง ข้ายังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ แล้วจะมีคุณสมบัติที่จะปกครองแคว้นซีอวี้ได้อย่างไร? แต่ว่า เจ้าคือพี่ชายของมู่เอ๋อร์ เจ้าจะช่วยนาง ใช่หรือไม่?”