เล่มที่ 19 ตอนที่ 548 เจ้าเดาได้หรือไม่
ไม่เพียงแต่ถูกไล่ต้อนให้ยอมรับการกระทำของมั่วจวินเหยา ทั้งยังต้องเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่เขาจับตัวมาอย่างยากลำบากถูกซั่งกวนเซ่าเฉินพาตัวไป ยามนี้ในใจอามู่เต๋ออยากจะฆ่าทุกคนไปเสีย
ยามที่เดินมาส่งซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาฉวยโอกาสที่ไม่มีผู้ใดสังเกตคว้าแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ “ต่อให้เจ้ากลับไปอยู่ข้างกายซั่งกวนเซ่าเฉินแล้วอย่างไร สิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ในมือข้า ขอเพียงข้าสามารถเปิดห้องลับนั้นได้ หลังจากนี้สามวันเจ้ามิใช่ว่าต้องมาร้องขอให้ข้าเอาของสิ่งนั้นมอบให้เจ้าหรือ!”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่หายจากอาการชาหนึบราวกับได้รับชีวิตใหม่ นางสะบัดการจับกุมของอามู่เต๋อออกได้อย่างง่ายดายก่อนจะดีดนิ้วเล่น “หืม เหลืออีกเพียงสามวันหรือ?”
แต่ไม่นานนางก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ยังมีเวลาอีกสามวันอย่าได้พูดให้มากความเกินไปเลย ระวังจะพลาดท่าเล่า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินในฐานะฮ่องเต้แคว้นเทียนเฉา ทั้งยังมาแสดงความยินดีกับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้องค์ใหม่ เป็นธรรมดาที่จะถูกจัดให้อยู่ในตำหนักรับรองแขกที่โดดเด่นที่สุด
หลิงมู่เอ๋อร์เป็นหวางโฮ่วของเขาย่อมต้องตามเขาไปด้วย
หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีคนของอามู่เต๋อคอยจับตาดูอีก หลิงมู่เอ๋อร์ก็กอดซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ปล่อยด้วยความร้อนรนจนแทบรอไม่ไหว “ตกลงมันเกิดอันใดขึ้น? เซ่าเฉิน เรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
“เด็กโง่ เจอหน้าข้าคราแรกมิใช่คิดถึงแต่กลับเป็นการถามไถ่กันหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “แต่ข้าคิดถึงเจ้ามาก แล้วเจ้าเล่าไม่คิดถึงข้าหรือ?”
คำว่าคิดถึงมาพร้อมกับสายตาอันร้อนรุ่มและน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องมองนางราวกับจะจับนางกินในวินาทีต่อมา
แม้จะมีเรื่องมากมายเต็มท้องที่อยากถามแต่สุดท้ายหลิงมู่เอ๋อร์ก็ทนไม่ไหว ยามที่โผเข้าไปในอ้อมกอดของเขาน้ำตาก็หลั่งรินออกมา
“เหตุใดจึงเพิ่งมายามนี้!”
หมัดเล็กชกบนหน้าอกของเขาราวกับแมวตัวน้อยที่กำลังข่วน แต่กลับทำให้หัวใจของซั่งกวนเซ่าเฉินปวดร้าวราวกับกำลังถูกฉีกออก
แม่นางน้อยผู้นี้เคยแสดงท่าทีอ่อนแอเช่นนี้ต่อหน้าเขาเมื่อใดกัน?
“ขอโทษ ขอโทษมู่เอ๋อร์ เป็นข้ามาช้า”
ไม่รู้ว่าพูดขอโทษไปกี่ครา ซั่งกวนเซ่าเฉินกอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่นแทบอยากให้นางประสานเข้ามาในเลือดเนื้อของเขา
จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจอันหนักแน่นและรู้สึกว่าน้ำตาของนางไม่ได้ไหลรินอีกแล้ว จึงผ่อนแรงลงเล็กน้อย “มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าข้าแทบอยากจะพุ่งมาที่นี่เพื่อพาเจ้ากลับไปทุกวัน แต่…”
คำพูดยังไม่ทันจบริมฝีปากก็ถูกนิ้วอ่อนนุ่มของหลิงมู่เอ๋อร์ขวางเอาไว้ นางส่ายศีรษะ “อย่าพูดอันใดอีกเลย ข้าเข้าใจ”
อิงอยู่ในอ้อมแขนประหนึ่งว่ารู้สึกปลอดภัย หลิงมู่เอ๋อร์กอดเอวของเขาแน่นราวกับคาดเดาทุกสิ่งที่เกิดในเมืองหลวงได้
“ข้าหายตัวไปอย่างกะทันหันทั้งยังถูกคนใส่ความว่าลอบนัดเจอกับซูเช่อ ท่านจะต้องกังวลมากทั้งยังมีเรื่องที่แก้ไม่ตกเป็นแน่กระมัง? แต่จู่ๆ ท่านก็กลายเป็นฮ่องเต้อีกทั้งซูเช่อยังกลายเป็นมหาเสนาบดี ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าท่านคงไม่อาจปลีกตัวมาได้ ที่เมืองหลวงเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
ยามที่ถามประโยคสุดท้ายออกไปในดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความกังวล
นอกจากสถานการณ์ของเมืองหลวงแล้วยังมีคนที่นางเป็นห่วงอีกด้วย ครอบครัวของนาง ทุกคนยังสบายดีหรือไม่?
“ฉินรั่วเฉินสมรู้ร่วมคิดกับอามู่เต๋อวางแผนลอบทำร้ายเจ้ากับซูเช่อ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของเจ้าซูเช่อจึงจับตัวทุกคนที่ปล่อยข่าวลือ แต่เพราะการกระทำนี้ทำให้เขากลายเป็นปีศาจบ้าคลั่งกระหายเลือดในสายตาเหล่าประชาชน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินอธิบายโดยไม่ปิดบังอันใด “ฉินรั่วเฉินทำกับเจ้าเช่นนี้ ข้าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร? หอข้อมูลของซูเช่อช่วยพวกเราได้มาก ในที่สุดก็หาหลักฐานที่เขาสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นซีอวี้ได้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายเขาหนีไปได้”
“หนีไปหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ “เช่นนั้นหลันซือเฮ่อเล่า? ค้นหาทุกที่ในเมืองหลวงแล้วหรือ? หาทุกสถานที่ที่เขาอาจปรากฏตัวแล้วหรือ?”
“ไม่มีตกหล่นแม้แต่ที่เดียว ทว่ากลับไม่มีร่องรอยของเขาเลย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอย่างละเอียด การเผชิญหน้าของเขากับฉินรั่วเฉิน ความกังวลของเขา ความร้อนรนของเขา การต่อต้านและความช่วยเหลือของหลันซือเฮ่อ ซูเช่อพยายามไปกี่มากน้อย กล่าวทุกเรื่องอย่างไม่มีปกปิด
เห็นใบหน้าของแม่นางน้อยที่เดี๋ยวก็กังวลเดี๋ยวก็ปล่อยวางเรื่องหนักใจ เขาโอบกอดนางแน่นเกรงว่านางจะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นเกินไป
“มู่เอ๋อร์วางใจเถิด ต่อให้ฉินรั่วเฉินและหลันซือเฮ่อจะหนีไปสุดขอบฟ้า คนของข้าก็จะต้องนำตัวพวกเขากลับมาได้แน่นอน เพื่อให้พวกเขาชดใช้ทุกสิ่งที่ทำลงไป!”
เห็นใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว หลิงมู่เอ๋อร์ก็พยักหน้า “มู่เอ๋อร์เชื่อสามี!”
เขาพุ่งเข้ามาจุมพิตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวตกใจ ทั้งยังถูกทำให้หายใจไม่ออก
หากมิใช่เพราะหายใจไม่ออกย่อมไม่ปล่อยร่างของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ซั่งกวนเซ่าเฉินเพิ่งจะรู้สึกผ่านคลายความตึงเครียดที่มีมาทั้งวัน
“ก่อนออกเดินทางข้าไปที่จวนตระกูลหลิงมาแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยาย ท่านลุงรวมถึงพวกจือเซวียนล้วนเป็นห่วงเจ้ามาก แต่พวกเขาก็เชื่อในตัวเจ้ามากเช่นกัน ทว่าเจ้าบอกข้ามาก่อนเถิดว่าโฉนดที่ดินเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร?”
เห็นสีหน้าของเขาที่แปรเปลี่ยนไปเป็นความโกรธเกรี้ยว หลิงมู่เอ๋อร์ก็ก้มศีรษะราวกับเด็กที่ทำความผิด และอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง “ร่างกายของข้าตัวข้าย่อมเข้าใจดี มิใช่เพราะกลัวว่าข้าจะ…”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าจะไม่ยอมให้เกิดอันใดขึ้นกับเจ้าเด็ดขาด!”
ขัดจังหวะคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ซั่งกวนเซ่าเฉินเชยคางนางบังคับให้สบสายตากับตนเอง “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารับปากข้าเถิดว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอันใดกับตนเอง และข้าก็จะรับปากเจ้าเช่นกันว่าจะปกป้องเจ้า ข้าเคยบอกแล้วว่าต่อให้วางแผนไว้เผื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ต้องทำให้เจ้าปลอดภัย เจ้าเข้าใจหรือไม่!”
วางแผนเผื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือไม่ต้องมีลูก
ไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำตาจึงคลอหน่วยขึ้นมาโดยพลัน หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะไม่หยุด “ข้าไม่เอา เขาเป็นรูปร่างอยู่ในร่างกายข้าแล้ว เซ่าเฉิน ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น!”
น้อยครั้งยิ่งที่จะเห็นท่าทีพังทลายของนาง ไหนเลยเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวด?
ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้มือข้างหนึ่งกดหลังศีรษะของนางให้พิงอกของตน “เด็กโง่ ไม่อนุญาตให้เจ้าคิดให้วุ่นวายมากอีกแล้ว หืม?”
“อามู่เต๋อบอกว่าดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้สามารถช่วยรักษาร่างกายของข้าได้ ไม่ว่าคำพูดนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จข้าก็อยากลองดู” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ปิดบังเขาอีกต่อไป
“ได้ สามีจะช่วยเจ้า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ตำหนิทั้งยังไม่ซักไซ้ มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าหัวใจของเขาถูกน้ำตาของนางท่วมจนไม่อาจตำหนิอันใดได้นานแล้ว
ขอเพียงสามารถทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ดีขึ้นได้ เขายอมทำทุกสิ่งเพื่อนาง
“แล้วท่านไม่ตำหนิข้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยังรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง
นางมีมิติอยู่ในมือย่อมสามารถซ่อนตัวเข้าไปในมิติได้ทุกเมื่อ กล่าวคือต่อให้อามู่เต๋อพานางมาที่แคว้นซีอวี้ก็ไม่อาจทำร้ายนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคุมขังนางเลย! แต่นางกลับไม่หนีจนถึงขั้นถูกอามู่เต๋อคุมตัวไว้ในวังและบอกว่านางเป็นหวางโฮ่วในอนาคตของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินควรจะโกรธจึงจะถูก
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่เจ้าถามข้าอยู่หลายคราว่าหากเกิดสงครามกับแคว้นซีอวี้จะเป็นเช่นไร ก็เพราะอยากมาแคว้นซีอวี้หรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินราวกับเข้าใจเป็นอย่างยิ่งโดยพลัน “เจ้าซื้อร้านค้ามากมายส่งมอบให้ครอบครัวทั้งยังเอาโฉนดที่ดินไปวางไว้ในที่ที่พวกเราสามารถเห็นได้ เพราะกังวลว่าหลังจากมาที่แคว้นซีอวี้แล้วจะไม่ได้กลับไปอีก หรือดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้อาจไม่ได้ผลใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใด ทำเพียงแค่เบิกตากว้างมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง ต้องการเห็นการตอบสนองของเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาอีกคราและกอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น “ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นหลังจากนี้อย่าได้ปิดบังข้าอีก จำไว้ว่าไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรข้าก็จะสนับสนุนเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
ความรู้สึกในใจของนางซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งจนพูดไม่ออกนานแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “สามีดีต่อข้าจริงๆ แต่เหตุใดสามีจึงกลายเป็นฮ่องเต้ได้เล่า?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินอธิบายสถานการณ์หลังจากการสวรรคตของเสด็จพ่อรวมถึงการต่อต้านของพวกฉินรั่วเฉินสั้นๆ แต่หลิงมู่เอ๋อร์ฉลาดเฉลียวจึงเข้าใจโดยพลันว่าช่วงหนึ่งเดือนที่นางจากมาเกิดเรื่องอันใดขึ้นในเมืองหลวงบ้าง
“เช่นนั้นยามที่ฝ่าบาทสวรรคตเมื่อยืนยันแล้วว่าพระองค์มอบบัลลังก์ให้ท่าน ฉินรั่วเฉินย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่จึงก่อกบฏโดยพลัน ด้วยเหตุนี้สงครามของพวกท่านจึงปะทุขึ้นทำให้ยามนี้ไม่พบร่องรอยของเขาใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก “แต่ตราบใดที่ฉินรั่วเฉินยังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน ท่านก็ย่อมตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นอีกหนึ่งวัน เขาเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ”
“ดังนั้นข้าจึงออกคำสั่งให้ไล่ล่าเขาแล้ว มู่เอ๋อร์วางใจเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าต่อให้นางกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเป็นเรื่องกลยุทธ์นางย่อมสู้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้
เพียงแต่นางรู้สึกประหลาดใจมากเพราะคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะสวรรคตไปเช่นนี้จริงๆ
“ในคราแรกแม้ว่าฝ่าบาทจะมิได้ชอบข้านัก แม้ว่าคนผู้นี้จะมีจิตใจโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด แต่เขาจากไปเช่นนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจของข้าจึงรู้สึกไม่ดีเช่นนี้ นับตั้งแต่หวางโฮ่วและอี้กุ้ยเฟยจากไป พระวรกายของฝ่าบาทก็ไม่สู้ดีลงทุกวัน คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาจะไม่อาจทนผ่านไปได้ แต่เป็นเช่นนี้ก็ยังดีที่ไม่ได้เห็นท่านและฉินรั่วเฉินห้ำหั่นกันเอง ไม่เช่นนั้นต่อให้จากไปเขาก็คงไม่รู้สึกสงบ”
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะรู้สึกเสียใจแต่ถึงอย่างไรเรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้นางจะมีทักษะแพทย์ล้ำเลิศนางก็หาใช่เทพเซียนต้าหลัว มนุษย์จะฟื้นจากความตายหรือจะเป็นอมตะได้อย่างไร?
“ดังนั้นท่านจึงแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญให้ซูเช่อ ยามนี้เขาหาได้เป็นเพียงเสียนหวางทว่าเป็นถึงมหาเสนาบดีของแคว้นแล้วหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกแปลกใจกับการตัดสินใจนี้ของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ซูเช่อเป็นผู้ที่มากความสามารถซึ่งหาได้ยาก หลังจากแต่งตั้งเขาขึ้นมาข้าจึงเพิ่งเข้าใจคำกล่าวที่ว่าได้ใจซูเช่อย่อมได้ครองแผ่นดิน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีข้อมูลที่ส่งมาจากหอข้อมูลของเขา ข้าจะสามารถชี้ความผิดของฉินรั่วเฉินได้อย่างไร ซูเช่อมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากจริงๆ”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้พูดอันใดอีก พวกเขาเป็นหนี้ซูเช่อมากเกินไปจริงๆ ในคราแรกพวกเขาตัดสินใจให้ซั่งกวนเซ่าเฉินทุ่มเทกับการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ เมื่อถึงเวลาจึงแต่งตั้งซูเช่อขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญ ทว่าเพียงแค่นึกถึงหงยวนในใจของนางก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
ซูเช่อ ท่านให้คนแฝงตัวมาอยู่ข้างกายข้าเพื่อจับตาดูข้า ข้าเชื่อใจท่านเหตุใดท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้?
“เป็นอันใดหรือมู่เอ๋อร์?”
เห็นนางไม่ค่อยมีความสุขนัก ซั่งกวนเซ่าเฉินก็คิดว่าร่างกายของนางรู้สึกไม่สู้ดีจึงรีบคว้าไหล่ของนาง “รู้สึกไม่สบายส่วนใดหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบส่ายศีรษะ “ไม่มี เพียงแค่นึกถึงเรื่องที่คิดไม่ตกขึ้นมาได้เท่านั้น”
ซั่งกวนเซ่าเฉินหาได้พูดอันใดและใช้สายตาสื่อให้นางกล่าวต่อ
“วันนี้ท่านจำข้าได้ตั้งแต่แรกเห็นได้อย่างไรหรือ ยิ่งไปกว่านั้นหน้ากากที่ถูกสร้างโดยอามู่เต๋อทำให้ถอดไม่ออกอันนั้น เหตุใดท่านจึงรู้ว่าต้องใช้กริชมาแทงให้แตกเล่า? อีกทั้งเหตุใดท่านจึงมาที่แคว้นซีอวี้เพียงลำพัง? หนานกงอี้จือเล่า เหตุใดจึงไม่มาคุ้มกันท่าน?”
เห็นความสงสัยใคร่รู้ในก้นบึ้งดวงตาของนาง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“แม้ว่าที่นี่คือแคว้นซีอวี้ซึ่งเป็นอาณาเขตของอามู่เต๋อ แต่เพราะเป็นอาณาเขตของเขาดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำอันใดเจิ้น ส่วนหน้ากากนั่น…”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจงใจทำให้นางสงสัย “เจ้าเดาได้หรือไม่?”
——————————